Feature

ฟาเบียน เฮอร์เซเลอร์ : มองโลกฟุตบอลยุคใหม่ผ่านกุนซือหนุ่มของ ไบรท์ตัน | Main Stand

ฟาเบียน เฮอร์เซเลอร์ กลายเป็นชื่อที่น่าสนใจหลังจบพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2024-25 เกมแรก ที่กุนซือรายนี้พา ไบรท์ตัน บุกอัด เอฟเวอร์ตัน ถึง 3-0 และนำเป็นจ่าฝูง

 

ด้วยอายุแค่ 31 ปี มีประสบการณ์คุมทีมฟุตบอลอาชีพอยู่ไม่ถึง 2 ปี นี่คือกุนซือที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

แน่นอนว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้ไม่ธรรมดา เขาเป็นใครมาจากไหน และทำไม ไบรท์ตัน ถึงกล้าไว้ใจโค้ชหนุ่มคนนี้ให้เป็นคนพาทีมต่อยอดสู่ระดับที่สูงกว่าเดิม

ติดตามทั้งหมดที่ Main Stand 

 

ยุคของคนอายุน้อย 

ซังต์ เพาลี เป็นหนึ่งในสโมสรเก่าแก่ของวงการฟุตบอลเยอรมัน ก่อตั้งขึ้นมาปี 1910 และเลขปีนี้ถูกสลักลงบนตราสโมสรของพวกเขาด้วย

ต้นกำเนิดของ ซังต์ เพาลี ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนกับทีมมหาอำนาจหรือทีมบ้านใกล้เรือนเคียงอย่าง ฮัมบูร์ก ... พวกเขาเป็นสโมสรจากย่านเสื่อมโทรมที่ก่อตั้งมาเพื่อทำให้ฟุตบอลขับเคลื่อนความสุขของผู้คนในชุมชน จนกระทั่งในช่วงปี 1980 มีเหตุการณ์ที่ทำให้ ซังต์ เพาลี มีแฟนบอลเพิ่มขึ้นมหาศาล และที่มาก็คือแนวคิดของแฟนบอล (ส่วนหนึ่ง) ของ ฮัมบูร์ก ที่เป็นทีมนิยมฝั่งขวาเป็นอนุรักษ์นิยม มีความเป็น นีโอ-นาซี สร้างความรุนแรงผ่านความอันธพาลเสมอ 

เหตุดังกล่าวทำให้แฟนของ ฮัมบูร์ก บางกลุ่มเบื่อหน่าย จนต้องย้ายฝั่งมาเชียร์ ซังต์ เพาลี ที่เป็นสโมสรที่ประกาศจุดยืนว่าพวกเขาเป็นฝั่งซ้ายเต็มขั้น มีแนวคิดต่อต้านเผด็จการ และมีกิจกรรมทางสังคมแบบฝ่ายซ้ายหลากหลาย ทั้งการต่อต้านการเหยียดผิว, การเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศ, การสนับสนุนเปิดรับผู้ลี้ภัย และการกระจายอำนาจจากรัฐสู่ประชาชน

ที่เราจะบอกคือ ความเป็นหัวสมัยใหม่ของ ซังต์ เพาลี ทำให้พวกเขาเป็นทีมที่กล้าลอง กล้าทำอะไรที่ใหม่ ๆ เสมอ หนึ่งในนั้นคือการให้โอกาสโค้ชอายุน้อย ๆ ทำงานกับทีมมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วง 10  ปีหลังสโมสรแห่งนี้พยายามที่จะสร้างเป้าหมายด้วยการพัฒนาจากทีมในระดับลีกรองให้กลายเป็นทีมในลีกสูงสุดของประเทศอย่าง บุนเดสลีกา ให้ได้ โดยเชื่อมั่นพลังของคนรุ่นใหม่และแนวคิดใหม่ ๆ ที่ใช้ทดแทนจุดด้อยเรื่องการลงทุน 

ซังต์ เพาลี พยายามที่จะไปจุดนั้นให้ได้ แต่ก็ไม่เคยทำได้สักครั้ง นักเตะผลัดใบไปหลายรุ่น ความใกล้เคียงที่สุดในช่วงหลังเกิดในยุคของ ติโม ชูลซ์ กุนซือวัย 46 ปี ที่พยายามอย่างมากแต่ก็ได้แค่ใกล้เคียง จบอันดับที่ 5 ในฤดูกาล 2021-22 และ 2022-23

แม้ไม่ได้เพลย์ออฟ แต่แฟน ๆ ก็พอใจ เพราะทีมนั้นไม่ได้มีงบประมาณลงทุนเสริมทัพมาก แต่ ชูลซ์ ก็พาทีมเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นมากในอนาคต เพียงแต่ว่ากลางซีซั่น 2022-23 ชูลซ์ โดนไล่ออก จากการประชุมของกลุ่มผู้ถือหุ้น เนื่องจากทีมฟอร์มไม่ดีจนตกไปอยู่อันดับ 14 ของตาราง และการไล่ ชูลซ์ ออกถือเป็นเรื่องใหญ่ ๆ เพราะแฟน ๆ โมโหกับเรื่องนี้มาก เนื่องจาก ชูลซ์ คือคนที่ดีที่สุดในรอบหลายปี และทีมที่มีงบประมาณจำกัดจำเขี่ยเช่นนี้ จะหาใครมาแทน ชูลซ์ ได้ ? 

"ผมกล้าพูดได้เลยว่าแฟนบอลส่วนใหญ่ผิดหวังกับการตัดสินใจของสโมสรมาก ๆ ชูลซ์ เป็นฮีโร่ของสโมสร เขาผ่านประสบการณ์ร่วมหัวจมท้ายกับเรามากมาย ในหลายปีที่ผ่านมาพวกเราดีขึ้นมาก เราทุกคนเชื่อว่าหากเรายึดโยงกับเขา สิ่งที่เราฝันจะต้องเกิดขึ้น เรามีโอกาสมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ปี ... ตอนนี้มันเป็นปัญหาแล้ว" มัลคอม เฮิร์ส ประธานแฟนบอลของ ซังต์ เพาลี กล่าว 

เป็นอีกครั้งที่สโมสรโชว์ความเป็นทีมหัวสมัยใหม่ที่กล้าจะเปิดโอกาส เลือกคนจากแนวคิด วิธีการ และแพชชั่น มากกว่าสิ่งที่เคยทำมาในอดีต รวมถึงเรื่องของอายุหรือประสบการณ์ ... การปลด ชูลซ์ นำไปสู่การแต่งตั้ง ฟาเบียน เฮอร์เซเลอร์ มือขวาของ ชูลซ์ ที่ ณ ตอนนั้นอายุ 29 ปีเข้ามาคุมทีมแทน 

ไม่ใช่กุนซือรักษาการ แต่เป็นการเซ็นสัญญากันจริงจัง โดยสโมสรมีเวลา 6 เดือนในการส่งเขาไปเรียนให้จบโปรไลเซ่นส์ เพื่อรับงานนี้แบบไม่โดนค่าปรับ ... แม้แฟน ๆ ของสโมสรนี้จะคุ้นชินกับการเลือกโค้ชด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนใคร และได้เห็นอะไรใหม่ ๆ เป็นประจำ แต่สำหรับตำแหน่งโค้ชใหญ่ที่อายุแค่ 29 ปี มันไม่น้อยเกินไปหรือ ? และเขาจะทำทีมได้แบบที่ ชูลซ์ ฮีโร่ของทีมเคยทำได้หรือเปล่า ? 

 

นิว นาเกลส์มันน์ ปรากฏตัว

มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ทีมเล็ก ๆ อย่าง ซังต์ เพาลี จะใช้กุนซืออายุน้อย ดังนั้นในช่วงแรกๆ ข่าวคราวของ เฮอร์เซเลอร์ จึงไม่ได้ถูกเจาะลึกอะไรมากนัก มากไปกว่าการเป็นกุนซือในวัยย่าง 30 ปี ... มีการแซว ๆ กันว่าเขาจะตามรอย ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อย ไล่คุมทีมตั้งแต่ ไลป์ซิก, บาเยิร์น จนกระทั่งเป็นบุนเดสเทรนเนอร์ หรือกุนซือของทีมชาติเยอรมันชุดใหญ่ตามลำดับ 

แน่นอน เรื่องคุณสมบัติยังไม่มีใครเก็ต แต่เรื่องของอายุที่ทำให้เรื่องนี้ถูกมองเป็นเรื่องการเปรียบเทียบแบบขำ ๆ เท่านั้น จนกระทั่งทุกอย่างกลายเป็นเรื่องซีเรียสขึ้นมา เมื่อ เฮอร์เซเลอร์ พา ซังต์ เพาลี ชนะ 10 เกมรวดในบุนเดสลีกา 2 เรื่องทั้งหมดก็จางหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องความไม่พอใจของแฟน ๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งเขามาแทนที่ ชูลซ์ ไหนจะเรื่องการบอกว่า ซังต์ เพาลี พยายามจะทำตัวเป็นข่าวเหมือนกับสมัยที่ ฮอฟเฟ่นไฮม์ สร้าง นาเกลส์มันน์ ตั้งแต่ยังหนุ่ม 

10 เกมรวดคือสถิติที่ไม่ใช่ใครก็ทำได้ ดังนั้นเมื่อ เฮอร์เซเลอร์ ทำได้ เรื่องราวของเขาก็ถูกตีแผ่และเจาะลึกเหมือนที่สื่อทำประจำ เราจึงได้รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหนกันแน่ 

เฮอร์เซเลอร์ เป็นลูกครึ่งออสเตรีย - อเมริกัน เขาเกิดและโตที่รัฐเท็กซัส ก่อนที่ครอบครัวจะย้ายมาอยู่เยอรมันในแคว้นบาวาเรีย ตอนที่เขาอายุ 12 ปี ซึ่งการย้ายถิ่นฐานนี้เองทำให้ เฮอร์เซเลอร์ ได้เริ่มเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังจนตัวเขาได้ทดสอบฝีเท้ากับทีม บาเยิร์น มิวนิค และได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะเยาวชนของทีมเสือใต้ตอนที่เขาอายุ 17 ปี และตอนนั้นเขามีแววจะเป็นนักเตะที่ดี เนื่องจากเป็นกัปตันทีมของ บาเยิร์น ในชุดสำรอง 

นักเตะรุ่นราวคราวเดียวที่โตมาด้วยกันกับเขาคือ เอ็มเร่ ชาน ที่เป็นเหมือนคู่หูกันในตอนที่เล่นในระดับเยาวชน เพียงแต่ว่าเส้นทางนั้นแตกต่างออกไปสักหน่อยตรงที่ ชาน เติบโตกลายเป็นนักเตะที่ดี มีโอกาสได้ลงสนามให้กับที่มชุดใหญ่ และย้ายไปเล่นกับหลาย ๆ สโมสร รวมถึงเป็นนักเตะทีมชาติเยอรมันด้วย 

แต่ เฮอร์เซเลอร์ นั้นวิถีพลิกผัน ตรงที่เขาไม่สามารถข้ามระดับของการเป็นผู้เล่นชุดบี ไปสู่ชุดใหญ่ของ บาเยิร์น ได้ รอยต่อนั้นกว้างเกินไปกว่ารอยเท้าของเขา สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ต่อสัญญากับทีมและออกจากทีมไปตอนอายุ 21 ปี และย้ายไปอยู่กับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ ในปี 2013 และย้ายอีกครั้งไปอยู่กับ 1860 มิวนิค ในปี 2014 ... มันค่อนข้างชัดว่าเขายังห่างจากการเป็นนักเตะอาชีพชั้นดี 

เฮอร์เซเลอร์ ไม่เคยได้เล่นทีมชุดใหญ่ของทั้ง ฮอฟเฟ่นไฮม์ และ 1860 มิวนิค เลย จนกระทั่งสุดท้ายก็กลายเป็นนักเตะที่เล่นในลีกสมัครเล่น ซึ่งเจ้าตัวไม่ต้องรอให้ใครบอกว่าในวัย 23 ปี อาชีพค้าแข้งของเขาจะไม่ดีขึ้นจากนี้ สุดท้ายเขาก็ประกาศแขวนสตั๊ดและเริ่มศึกษาเรื่องการเป็นโค้ชในปี 2016 

โลกยุคใหม่มันเป็นเช่นนี้ ... นี่คือโลกของคนที่ความถนัดเฉพาะทางมีที่ทางให้ไปเสมอถ้าคุณรู้จริง เฮเซอร์เลอร์ เรียนโค้ชที่ Fussball Lehrer สถาบันฟุตบอลชื่อดังของแคว้นบาวาเรีย ที่นั่นเขาเรียนทั้งศาสตร์และศิลป์ กล่าวคือทั้งการเข้าห้องเรียนศึกษาความรู้บนกระดาน และการคุมทีมสมัครเล่นในแคว้นเพื่อหาประสบการณ์ทางตรง โดย เฮอร์เซเลอร์ บอกว่าฟุตบอลของเขาไม่ใช่ฟุตบอลสมัยใหม่จ๋าที่ทำลายทุกขนบของกุนซือเก่าทำมา เพราะศิลปะของการเปลี่ยนแปลง คือการค่อยปรับทีละนิด ทีละนิด ทำไปเรื่อยจนได้ฟุตบอลของตัวเองในแบบไร้รอยต่อ ชนิดที่ว่านักเตะในทีมอาจจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าโดนเปลี่ยนวิธีการเล่นไปแล้ว 

"ก่อนที่ทุกคนจะคิดไปไกลกว่านี้ ผมอยากบอกว่าทีม ๆ นี้ไม่ใช่พระเจ้า พวกเราจะเล่นแย่ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้" เฮอร์เซเลอร์ กล่าวกับสื่อหลังเขาพาทีมชนะ 10 เกมรวด และตัวเขาทำสถิติเป็นโค้ชที่คุมทีมระดับอาชีพและชนะรวดเกิน 7 นัด ซึ่งเจ้าของสถิติเดิมคือ เยอร์เก้น คล็อปป์ สมัยคุม ไมนซ์ 05

"อย่างไรก็ตาม ทีม ๆ นี้จะไม่ลงเล่นโดยที่ไม่สวมจิตวิญญาณของผู้ชนะและเล่นด้วยกันด้วยความสามัคคี ... ที่จะบอกคือผมไม่ได้เปลี่ยนวิธีการเล่นแบบสุดโต่งแบบพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือในคราวเดียว ผมค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ ศึกษาจากสิ่งที่ผมเรียนรู้มาโดยตลอด"

จากชัยชนะ 10 เกมรวด ซังต์ เพาลี ที่เคยดีที่สุดได้แค่อันดับที่ 5 เปลี่ยนโฉมใหม่อย่างที่ใครตามไม่ทัน ระบบการเล่นถูกดัดแปลงมาเป็น 3-4-3 เพื่อเพิ่มจำนวนของนักเตะในแดนกลางมากขึ้น โดยเน้นที่การครอบครองบอล และจากนั้นพวกเขากลายเป็นทีมที่เล่นเกมบุกอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างที่โลกฟุตบอลสมัยใหม่เรียกร้อง ซังต์ เพาลี ของ เฮอร์เซเลอร์ เป็นแบบนั้น ทั้งการดันผู้รักษาประตูขึ้นมาเป็นตัวเปิดเกมนอกกรอบเขตโทษ 

มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างบอกว่าวิธีการเล่นของ ซังต์ เพาลี ในยุค เฮอร์เซเลอร์ คับคล้ายคับคลากับที่ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น แชมป์ไร้พ่ายของ บุนเดสลีกา ในซีซั่น 2023-24 ที่ครองบอลเยอะ เคลื่อนที่เยอะ เข้าทำอย่างรวดเร็ว และมีสปิริตของผู้ชนะลุยจนนาทีสุดท้าย

ส่วนจะจริงมากน้อยแค่ไหนไม่อาจบอกได้ แต่ที่แน่ ๆ ซังต์ เพาลี ของ เฮอร์เซเลอร์ เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดในฐานะแชมเปี้ยนเมื่อซีซั่นที่แล้ว ถือเป็นการเลื่อนชั้นครั้งแรกในรอบ 13 ปี ... ฉายา นิว นาเกลส์มันน์ โด่งดังขึ้นมาอีกครั้ง ชื่อเสียงของ เฮอร์เซเลอร์ กระฉ่อนไปถึงอังกฤษ และมันทำให้ ไบรท์ตัน สโมสรหัวสมัยใหม่แห่งพรีเมียร์ลีกจ้างเขาเข้ามารับตำแหน่งกุนซือในซีซั่นนี้ 

 

ถูกทุกข้อ

อย่างหลายคนรู้กัน ไบรท์ตัน คือสโมสรนักปั้นมือทองไม่ว่าจะเป็นการสร้างโค้ชหนุ่มชั้นดี หรือนักเตะหนุ่มชั้นยอดเพื่อขายทำกำไรพวกเขาก็ทำได้ทั้งนั้น 

แนวคิดของพวกเขาไม่มีอะไรมากไปกว่าการวางโครงสร้างจากหลังบ้าน สร้างฟุตบอลที่เหมาะกับนักเตะหนุ่มและเป็นวิธีการแบบฟุตบอลสมัยใหม่ ที่มันตอบโจทย์ทั้งแง่ของผลการแข่งขัน การเรียกคนดู และกาทำให้นักเตะของพวกเขามีราคาด้วย 

จาก แกรห์ม พ็อตเตอร์ สู่ โรแบร์โต้ เดอ แซร์บี้ จาก เดอ แซร์บี้ สู่ง เฮอร์เซเลอร์ ในซีซั่นนี้ อายุกุนซือของ ไบรท์ตัน น้อยลงเรื่อย ๆ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือโค้ชทุกคนที่กล่าวมาทำฟุตบอลในแบบเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ โทนี่ บลูม เจ้าของสโมสรและทีมคัดสรร เลือก เฮอร์เซเลอร์ มารับงานต่อ เหตุผลง่าย ๆ คือด้วยวิธีการที่คล้าย ๆ กัน นักเตะที่ใช้จึงไม่ต่างกันมาก ทีมจึงไม่จำเป็นต้องโละนักเตะชุดเก่าทิ้ง กลับกัน โค้ชใหม่ยังเอาตัวที่มีไปต่อยอดเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย

ถามว่า บลูม รู้ได้อย่างไร ? คำตอบที่เดาไม่ยากนักคือ ไบรท์ตัน เป็นสโมสรที่เชื่อมั่นข้อมูลในมือที่พวกเขามีมาก ๆ พวกเขาวิเคราะห์โค้ชทุกคนที่เป็นแคนดิเดตอย่างละเอียด เอาวิธีการทำทีมของโค้ชแต่ละคนมาแยกย่อยข้อมูลเพื่อหาจุดอ่อน-จุดแข็ง เอามาบวกลบกัน และหาคนที่ตรงสเปกมากที่สุด ไม่ใช่คนที่ดังที่สุด มีผลงานในดอดีตดีที่สุดแต่อย่างใด นั่นคือสาเหตุว่าทำไมพวกเขาจึงกล้าตั้ง เฮอร์เซเลอร์

"นี่คือยุคของข้อมูลและข้อมูลที่เรามีสำคัญจริง ๆ ในการตัดสินใจหาเฮดโค้ชที่เหมาะสม ... ข้อมูลที่มีบอกว่า ฟาเบียน เป็นโค้ชที่สามารถจะทำทีมตรงกับแนวทางที่เราต้องการได้ เขาตอบทุกโจทย์ที่เรามองหาทั้ง การคัดเลือกผู้เล่นลง 11 ตัวจริง การเสริมทัพ และการวางกลยุทธ์ในการแข่งขัน"

"คุณอาจจะไม่รู้ แต่เขาคือโค้ชรุ่นใหม่ที่ทำงานร่วมกับทุกฝ่ายในสโมสร เขาเข้าหาปรึกษากับทีมแพทย์เป็นประจำ เพื่อทำให้เกิดผลดีกับนักเตะมากที่สุดก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไป ... วิธีการนี้สำคัญมาก ๆ และหลังจากได้คุยกับเขา มันยิ่งน่ายินดีที่เขาเห็นด้วยกับทุกอย่างที่เราคิดไว้" โทนี่ บลูม เจ้าของ ไบรท์ตัน ว่า 

"วิสัยทัศน์ระยะยาวของเราคือการเป็นสโมสรที่อยู่ในระดับท็อป 10 ของพรีเมียร์ลีกอย่างสม่ำเสมอ เรามีความทะเยอทะยานสูง เราไม่มีขีดจำกัด และเรารอคอยฤดูกาลที่จะมาถึงนี้จริง ๆ" เขาว่าในวันที่เปิดตัวเฮอร์เซเลอร์ 

ขณะที่ เฮอร์เซเลอร์ ก็เอ่ยมา 1 ประโยคที่ตอบทุกคำถามว่า ทำไม ไบรท์ตัน ถึงต้องเลือกเขา สิ่งนั้นคือเรื่องการสร้างและดึกศักยภาพที่ดีที่สุดออกมาจากนักเตะที่มี เขาไม่ได้ต้องการงบก้อนโตเกินกว่าทีสโมสรมีให้ และยืนยันว่าจะทำฟุตบอลที่สนุกที่สุดภายใต้งบประมาณที่จำกัดเช่นนี้ ... และเหนือสิ่งอื่นใดคือเขาจะทำให้ทีม ๆ นี้มีระเบียบวินัย โดยพัฒนาไปด้วยกันทั้งทีม แม้ว่าในทีมชุดนี้จะมีนักเตะอายุมากกว่าเขาถึง 6 คนก็ตาม 

ประโยคสุดท้ายที่เขาถูกสื่อถามว่าฟุตบอลของเขาคืออะไร และคาดหวังอะไรจากลูกทีมของเขามากที่สุด เฮอร์เซเลอร์ ทิ้งท้ายแบบตอบทุกคำถามว่า 

"ผมต้องการให้ทีมของผมมีลูกบอลอยู่กับตัวให้ได้มากที่สุด และรู้วิธีจ่ายบอลในเวลาที่โดนโจมตีเข้ามา เราจะต้องเป็นฝ่ายครองบอล นั่นคือดีเอ็นเอของผม" เฮอร์เซเลอร์ กล่าวทิ้งท้าย

และจากเกม ๆ แรกกับ เอฟเวอร์ตัน ดูเหมือนว่าฟุตบอลของเขาจะไม่หนีจากสิ่งที่ตัวเขาบอกมากนัก ... ไบรท์ตัน กำลังได้ของดีเข้าอีกแล้ว นั่นคือสิ่งที่หลายคนรู้สึก 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.fcstpauli.com/en/news/published/fc-st-pauli-name-fabian-hurzeler-head-coach/
https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/news/st-pauli-secure-promotion-from-second-tier-hurzeler-irvine-osnabruck-win-27221
https://analyticsfc.co.uk/blog/2023/11/10/st-paulis-year-of-hurzeler-now-also-playing-the-best-football-in-the-2-bundesliga/
https://www.wearebrighton.com/newsopinion/fabian-hurzeler-ticks-every-box-for-a-brighton-manager/
https://www.goal.com/en/lists/fabian-hurzeler-coaching-wonderkid-new-nagelsmann-brighton-manager/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ