นับตั้งแต่ที่ลงเล่นเกมแรกใน ยูโร 2024 ลามีน ยามาล และ นิโก้ วิลเลี่ยมส์ ได้รับคำชมไม่ขาดปาก ไม่ว่าจะผ่านคู่แข่งระดับไหน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำหน้าที่ของ "ตัวริมเส้น" ได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกครั้งไป
นักเตะผิวดำคนแรกที่เล่นให้ สเปน คือ มาร์กอส เซนน่า ซึ่งเป็นชาวบราซิลโอนสัญชาติ แต่หากเทียบเรื่อง "อิมแพ็กต์" โดยรวมที่สร้างให้กับทีม ดูเหมือนว่า 2 ริมเส้นเชื้อสายแอฟริกันอย่าง ยามาล และ วิลเลี่ยมส์ กำลังทำให้วงการฟุตบอลสเปนได้เห็นอะไรที่แตกต่าง และทำให้เกมรุกของพวกเขาเร็วเหมือนกับลูกกระสุนในแบบที่ไม่เคยเห็นในสเปนชุดไหน ๆ มาก่อน
ความเป็นแอฟริกันของทั้งคู่ สร้างความแตกต่างได้อย่างไร และอะไรที่รอพวกเขาทั้ง 2 อยู่ ติดตามที่ Main Stand
ลืมยุคทอง สู่ยุคใหม่
สเปน คือชาติที่หากคุณดูฟุตบอลมานานระยะหนึ่ง คุณจะหลับตาและนึกภาพถึงแนวทางการเล่นฟุตบอลที่เป็น DNA ของพวกเขาได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงยุคทองที่พวกเขาคว้าแชมป์ ยูโร 2008 ฟุตบอลโลก 2010 และ ยูโร 2012 3 รายการติดต่อกัน ที่เป็นภาพสะท้อนแบบชัด ๆ ของแนวทางการเล่นแบบสเปนของแท้
ต่อบอลเยอะ ครองบอลเหนียว แย่งบอลคืนเก่ง และมีชั้นเชิงเหลี่ยมบอลที่แพรวพราว แม้นักเตะพวกเขาจะตัวไม่ใหญ่นักหากเทียบกับชาติอื่น ๆ ในยุโรป แต่ไม่ว่าใครจะเจอกับสเปนก็ต้องปวดหัวกับจุดเด่นเหล่านี้ของพวกเขาทั้งนั้น
ทีมยุคทองสร้างสไตล์การเล่นที่เรียกว่าฝั่งตรงข้าม "ไล่ไม่จน" ขึ้นมา ด้วยคุณสมบัติที่เด่นชัดที่สุดในแดนกลางที่ผู้เล่นตรงตามสเปก ตอบโจทย์ตามสไตล์การเล่นทุกอย่าง ด้วยการเอา 3 กองกลางชั้นเซียนลงสนามพร้อมกันทั้ง เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, ชาบี อลอนโซ่ และ ชาบี เอร์นานเดซ นี่คือ 3 นักเตะที่มีค่าเฉลี่ยผ่านบอลสำเร็จเกิน 90% แทบจะทุกเกมที่ลงสนาม บางเกมนั้นบางคนแทบจะไม่จ่ายบอลพลาดเลยสักครั้ง ... และเมื่อพวกเขามายืนเป็น 3 หัวใจในแดนกลางในช่วงเวลาพีก ๆ ทีมไหนจะสามารถต่อกรได้ ?
แต่ประเด็นสำคัญมันไม่ได้จบที่กองกลางแบบนั้น สเปนยุคนั้นมีนักเตะตัวรุกริมเส้นที่ทำให้เรื่องการผ่านบอลและการคุมจังหวะของพวกเขามันเทพขึ้นไปอีกขั้น ปีกของสเปนยุคเก่าจะเป็นนักเตะในเชิงตัวรุกกึ่งเพลย์เมคเกอร์ ถ้าให้คุณหลับตานึกภาพ พวกเขาจะเป็นนักเตะที่ตัวเล็ก ๆ คล่องแคล่ว มีทักษะการครองบอลที่ดี จ่ายบอลคมกริบ และตัดสินใจได้เฉียบขาดในพื้นที่สุดท้าย อาทิ ฆวน มาต้า, ดาบิด ซิลบา, เชส ฟาเบรกาส และอีกหลากหลายคนที่เป็นตัวรุกในทรง ๆ นี้กันแทบทั้งหมด ดูเหมือนว่าตัวรุกที่ประจำการด้านกว้าของสเปนจริง ๆ จะมีเพียง เฆซุส นาบาส คนเดียวเท่านั้นในยุคทองของพวกเขา
นักเตะเหล่านี้มีไอเดียสร้างสรรค์ระดับ 100% เต็ม แต่ก็มีจุดอ่อนเรื่องความแข็งแรง ความเร็ว สปีดสั้น-สปีดยาว ตามแบบฉบับตัวริมเส้นพิมพ์นิยมของชาติอื่น ๆ แต่อย่างที่บอกว่า รูปแบบฟุตบอลของสเปน มันมีความเฉพาะตัวจาก DNA ของนักเตะประเภทนี้ พวกเขาใช้บอลเคลื่อนที่ และไปพร้อมกันทั้งทีม มากกว่าการฝากความหวังเกมรุกไว้ที่ใครคนหนึ่งคนเดียว
ดังนั้นต่อให้ปีกไม่ต้องเร็วนรกแตกเหมือนกับชาติอื่น ๆ ก็ไม่เป็นปัญหา ขอแค่มีตัวจบระดับพระกาฬระดับ เฟร์นานโด ตอร์เรส และ ดาบิด บีย่า รวมถึงขุมพลังกองกลางที่จะเสริมบอลแนวลึกให้ได้ลุ้นประตูตลอด เท่านี้ก็เพียงพอที่จะครองความยิ่งใหญ่ในยุคทองของพวกเขาแล้ว
อย่างไรก็ตาม สัจธรรมของฟุตบอล และสัจธรรมของทุกสิ่งคือ "มีขึ้นต้องมีลง" เมื่อนักเตะยุคทองเริ่มผลัดใบ คุณภาพของนักเตะสเปนก็ตกลงไปตามระเบียบ จากทีมที่เคยคว้าแชมป์ 3 เมเจอร์ใหญ่ติดต่อกัน กลายเป็นทีมตกรอบไวยาว ๆ ตั้งแต่ ฟุตบอลโลก 2014 จนถึง ฟุตบอลโลก 2022 (ช่วงเวลาดังกล่าวมีเข้ารอบลึกแค่ครั้งเดียว คือ ยูโร 2020 ที่เข้าถึงรอบรองชนะเลิศ) ผ่านมาแล้วถึง 8 ปี พวกเขาจึงพบว่าบางครั้งอาจจะต้องไหลไปตามกระแสหรือวิวัฒนาการตัวเองเพื่อความอยู่รอดในฟุตบอลสมัยใหม่บ้าง
ในเมื่อฟุตบอลสมัยใหม่ ความเป็นศิลปินแทบถูกตัดทิ้ง นักฟุตบอลคลาสบอลระดับอัจฉริยะถูกลดทอนความสำคัญไป ฟุตบอลยุคใหม่มีอัตราเร่งที่มากขึ้นในเรื่องของจังหวะเกม แต่ละนัด ๆ ผู้เล่นจะต้องวิ่งมากขึ้น เร่งความเร็วของฝีเท้ามากขึ้น เพราะการเปลี่ยนจากรับเป็นรุกหรือที่เรียกกันว่าการ "ทรานสิชั่น" คือเทรนด์ของฟุตบอลยุคนี้
การเสียแล้วเอาบอลมาครอง ค่อย ๆ เซ็ตเพื่อความชัวร์ดูไม่ตอบโจทย์มากนัก และนั่นทำให้ สเปน ต้องเปลี่ยนโค้ชเอาคนที่ "คุยกันรู้เรื่องที่สุด" เข้ามา นั่นคือ หลุยส์ เดอ ลา ฟวนเต้ ชายผู้ฝังตัวกับสมาคมฟุตบอลสเปนมานานถึง 11 ปี พร้อมเป้าหมายเพื่อทำฟุตบอลสเปนให้ตามโลกให้ทัน กลับมาเป็นเต้ยในฟุตบอลทัวร์นาเมนต์อีกครั้ง
สิ่งที่ เดอ ลา ฟวนเต้ พูดตั้งแต่รับงานก็คือ การเปลี่ยนฟุตบอลของสเปนสู่ยุคใหม่ ด้วยวิธีการเล่นที่เร็วและแข็งแรงขึ้นโดยเฉพาะในการเล่นเกมรุกแบบโต้กลับ ซึ่งต้องการคุณสมบัติตัวริมเส้นในแบบใหม่ที่แตกต่างกับยุคทองอย่างสิ้นเชิง เรื่องคลาสหรือเซนส์เกมรุกในการจ่ายบอลอาจจะลดน้อยถอยลงไป แต่แลกมาด้วยความเร็ว ความสด ความแข็งแรง ที่สื่อสเปนเปรียบเทียบกับตัวริมเส้นของพวกเขาในยุคนี้ว่า "กระสุน" ซึ่งนั่นกลายเป็นไฮไลต์ชิ้นใหม่ของวงการฟุตบอลสเปนในเวลานี้ นั่นคือ 2 ดาวรุ่งเชื้อสายแอฟริกันอย่าง นิโก้ วิลเลี่ยมส์ จาก แอธเลติก บิลเบา และ ลามีน ยามาล จาก บาร์เซโลน่า
2 ตัวรุกริมเส้นคือความแตกต่าง คือสิ่งที่ฟุตบอลสเปนไม่เคยใช้งานนักเตะทรงนี้มาก่อน ปีกขวาถนัดซ้าย ปีกซ้ายถนัดขวา เป็นนักเตะเชื้อสายแอฟริกันที่เร็ว แข็งแรง มีทักษะการครอบครองบอลและการเลี้ยงบอลที่ดี ทุกครั้งที่ได้บอลจะพุ่งไปข้างหน้าเสมอ ... คำถามคือ เดอ ลา ฟวนเต้ เจอส่วนผสมที่ลงตัวแบบนี้ได้อย่างไรกันแน่ ?
การค้นพบ นิโก้ และ ยามีน
นิโก้ วิลเลี่ยมส์ เป็นนักเตะเชื้อสายกานา พ่อและแม่ของเขาอพยพมายังสเปน และอาศัยอยู่ในแคว้นบาสก์ช่วงปี 1993 จนกระทั่งเริ่มก่อตั้งรกราก และมีลูกชาย 2 คน คนแรกคือ อินากี้ วิลเลี่ยมส์ พี่ชายของเขาที่แก่กว่า นิโก้ 8 ปี ซึ่งปัจจุบัน อินากี้ เลือกเล่นให้กับทีมชาติ กานา ไปเรียบร้อยแล้ว (แม้เคยเล่นให้ทีมชาติ สเปน อยู่ช่วงสั้น ๆ ก็ตาม) แต่เรื่องของพรสวรรค์ ดูเหมือนว่าน้องชายอย่าง นิโก้ จะเป็นคนที่มีต้นทุนมากกว่า
แอธเลติก บิลเบา เป็นสโมสรที่เปิดโอกาสให้เยาวชนของเมืองไม่ว่าจะเป็นเด็กท้องถิ่นหรือมีเชื้อสายบาสก์จากบรรพบุรุษเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมได้ นั่นทำให้พี่น้องตระกูลวิลเลี่ยมส์กลายมาเป็นนักเตะอคาเดมี่ของสโมสร โดย นิโก้ ได้เดบิวต์ในปี 2021 และถูกเรียกว่า วันเดอร์คิด นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โดยคนที่ให้เขาได้โอกาสกับทีมชุดใหญ่คือ กาอิซก้า การิตาโน่ ที่ให้เหตุผลว่า "นี่คือปีกที่พร้อมสำหรับฟุตบอลยุคใหม่"
"ด้วยวัย 18 ปี ผมถือว่าเขาพร้อมแล้วกับการเล่นทีมชุดใหญ่ เขามีพลังขาและพลังปอดที่แข็งแรงมาก ๆ และยังถนัดเล่นได้ 2 เท้า ผมคิดว่าเขาจะเป็นนักเตะที่ช่วยเรื่องความยืดหยุ่นเพราะเล่นได้ในตำแหน่งปีกทั้ง 2 ฝั่ง" การิตาโน่ บอกแบบนั้น
ก่อนที่หลังจากเดบิวต์กับสโมสรได้เพียงปีเดียว หลุยส์ เอ็นริเก้ ก็ต่อสายตรงมาหาเขา และบอกกับ นิโก้ ว่า "คุณจะเป็นอนาคตของทีมชาติสเปน" ... และอย่างที่รู้กัน เอ็นริเก้ ใช้งานเขาตั้งแต่ ยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก ฤดูกาล 2022-23 จนไปถึงฟุตบอลโลก 2022 ที่ กาตาร์
เอ็นริเก้ ชมว่า นิโก้ เป็นนักเตะที่สร้างความแตกต่างให้เกมรุกของทีมได้ แต่ยังมีสิ่งที่ต้องพัฒนาขึ้นอีก ซึ่งหลังตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2022 เอ็นริเก้ ก็ลาออก ก่อนที่ สเปน จะดึง เดอ ลา ฟวนเต้ เข้ามาคุมทีม
ในยุค เดอ ลา ฟวนเต้ มีนักเตะที่เขาคุ้นหน้าหลายคนที่เคยทำทีมในชุดเยาวชนมาด้วยกัน แต่สำหรับ นิโก้ ต่อให้ไม่เคยร่วมงานด้วย เดอ ลา ฟวนเต้ ก็ให้คำจำกัดความว่า "นักเตะที่ได้รับของขวัญจากพระเจ้าอย่าง นิโก้ จะเป็นคนสำคัญในยุคของเขา"
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะหลังจากนั้นต่อมาอีก 1 ปี คำว่า "ของขวัญจากพระเจ้า" หลุดมาจากปากของ เดอ ลา ฟวนเต้ อีกครั้ง ... หนนี้กับนักเตะจาก บาร์เซโลน่า ที่เล่นให้กับทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 15 ปี อย่าง ลามีน ยามาล ... นักเตะที่เติบโตจากครอบครัวผู้อพยพ (พ่อเป็นชาว โมร็อกโก แม่เป็นชาว อิเควทอเรียลกินี)
ทันทีที่ เดอ ลา ฟวนเต้ เห็นยามาล เล่นให้กับเจ้าบุญทุ่ม เขาก็ติดต่อหานักเตะทันที และแจ้งให้ ยามาล ได้รู้ว่า เขากำลังมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่รออยู่ อยากให้ดูแลรักษาเนื้อตัวให้ดี พัฒนาตัวเองให้มากเพราะทีมชาติสเปนในยุคของเขาพร้อมเปิดประตูต้อนรับในวันที่เขาคู่ควร
ใครจะรู้ว่า ยามาล ใช้เวลาแค่ปีเดียวเท่านั้นจากวันที่ เดอ ลา ฟวนเต้ ติดต่อไปในครั้งแรก ... ยามาล เล่นกับทีมชุดใหญ่ด้วยคาแร็คเตอร์ของการเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ เรื่องเหล่านี้ผ่านการปรึกษาและลงความเห็นจากโค้ชเยาวชนและทีมงานวิเคราะห์จาก บาร์เซโลน่า หลายคน
แรกเริ่มพวกเขาเป็นห่วงว่า ยามาล กับวัย 15 ปีกว่า ๆ จะพร้อมสำหรับเกมชุดใหญ่หรือยัง เพราะถ้าขึ้นรุ่นผิดเวลา จากที่จะเป็นการพัฒนา อาจจะเป็นการก้าวผิดจังหวะที่ทำให้เด็กเสียศูนย์ได้ทั้งเรื่องของความมั่นใจ และอาการบาดเจ็บ แต่ก็อย่างที่เราเห็นกันในตอนนี้ ยามาล ถูกตัดสินว่าเก่งเกินกว่าจะมาเล่นในรุ่นเยาวชนแล้ว จะดีกว่าถ้าเขาได้เล่นในฟุตบอลในระดับที่สูงขึ้น หนึ่งในคนที่ผ่านการฝึก ยามาล คือ ออสการ์ โลเปซ อธิบายเหตุผลว่าทำไม ยามาล ได้เล่นชุดใหญ่ตั้งแต่อายุน้อยขนาดนี้ว่า
“เขาเป็นคนมีพรสวรรค์โดยกำเนิดที่คุณไม่สามารถหล่อหลอมได้" โลเปซ พยายามจะบอกว่า "ของขวัญจากพระเจ้า" อยู่ที่ ยามาล
"ที่ผมหมายความก็คือ เขาเป็นเด็กที่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่สมเหตุสมผลได้ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ออกมาดีสำหรับเขา เพราะพรสวรรค์ที่เขามี เช่นเมื่อเขามีกองหลังอยู่ขวางอยู่ข้างหน้าและเขาวิ่งตัดเข้าด้านใน เหมือนอย่างที่เขาทำกับลูกยิงเฉียง ๆ ที่เขาทำเพื่อประตู"
"เขามีเท้าซ้ายที่ดีมากและเขาพาบอลจากระยะใกล้ไปยังเซ็นเตอร์แบ็กฝั่งซ้ายเพื่อยิงไปยังเซ็นเตอร์แบ็กฝั่งขวา … เขาทำได้เร็วมากและเขาก็มีพรสวรรค์ที่หลอมรวมกันอย่างพอดีเป๊ะ"
"เชื่อมั้ยล่ะ โดยปกติแล้ว ไอ้การเลี้ยงแบบตัดเข้าในเพื่อยิงประตูจากนอกกรอบ 10 ครั้งที่คุณอาจจะผิดพลาดได้ประมาณ 8 ครั้ง แต่เขามีพรสวรรค์มากชนิดที่ว่า จากโอกาส 10 ครั้ง เขาสามารถยิงให้มันเข้าล็อกเข้าข้อได้ถึง 8 หรือ 9 ครั้ง มันออกมาดีได้อย่างเหลือเชื่อ” ... นี่คือบทสัมภาษณ์เมื่อปี 2023 และมันดูเหมือนประตูที่เขายิงใส่ฝรั่งเศสในรอบตัดเชือก ยูโร 2024 หรือเปล่า ?
ไม่มีประโยชน์ที่จะรอเมื่อคุณมีนักเตะที่ได้ของขวัญจากพระเจ้า เดอ ลา ฟวนเต้ เข้าใจในทันที เมื่อเขาได้สำรวจและเห็นวิธีการเล่นของ นิโก้ และ ลามีน ด้วยตัวเอง เขาก็เลือกใช้ทั้งคู่เป็นตัวริมเส้นของทีมชาติสเปนในยุคของเขาทันที ... และทั้งคู่ดูเหมือนจะเป็นความต่างที่ชัดเจนเหลือเกินใน ยูโร 2024 ครั้งนี้
ของขวัญจากพระเจ้า
"ของขวัญของพระเจ้า" ที่ เดอ ลา ฟวนเต้ พูดถึงทั้ง นิโก้ และ ยามาล นั้นตีความได้หลายแบบ ... อย่างแรกคือเรื่อง เซนส์ฟุตบอล ที่ว่ากันว่าของแบบนี้ฝึกกันไม่ได้ สร้างกันใหม่ไม่ได้ แต่ละคนมีข้อจำกัดของตัวเองตามที่พระเจ้าให้มา นักเตะระดับพรสวรรค์นั้นเปลี่ยนของยากให้เป็นของง่าย เปลี่ยนจังหวะที่ไม่มีอะไรให้กลายเป็นความแตกต่างได้ ถ้าคุณมีนักเตะแบบนี้อยู่ในทีม ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะส่งเขาลงเล่นโดยเฉพาะในเวลาที่ต้องการประตู
แต่ "ของขวัญจากพระเจ้า" อย่างที่ 2 นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ นิโก้ และ ยามาล ดีพอจะออกสตาร์ทเป็นตัวจริง ไม่ใช่แค่การเป็นตัวสำรองลงมาในช่วงที่ทีมต้องการนักเตะความสามารถพิเศษสูงเท่านั้น สิ่งนั้นคือ "ร่างกายแบบชาวแอฟริกัน" อย่าลืมว่าทั้ง 2 คนไม่ได้เป็นลูกครึ่ง หรือลูกเสี้ยว พวกเขามีพ่อและแม่เป็นชาวแอฟริกันทั้งคู่ และพันธุกรรมบางอย่างของชาวแอฟริกัน ก็เป็นที่รู้กันดีว่า ถ้าเกิดในยุคโบราณ พวกเขาจะเป็นนักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดสุด และสำหรับในยุคปัจจุบันก็ต้องบอกว่า พวกเขามีพันธุกรรมที่เกิดมาเพื่อเป็นนักกีฬา เพราะมีความได้เปรียบเรื่องร่างกายเป็นพิเศษ
ทำไมคนแอฟริกันหรือนักกีฬาที่มีเชื้อสายแอฟริกันจึง "แข็งแรงและรวดเร็ว ?" เรื่องนี้จริง ๆ แล้ววิทยาศาสตร์นั้นตอบได้ มีงานวิจัยของหลายแห่ง (เบื้องต้นขออ้างอิงจาก NCBI หรือ National Libary Of Medicne องค์กรที่ศึกษาเรื่องงานวิจัยจากสหรัฐอเมริกา) ที่บอกว่าชาวแอฟริกันมีความหนาแน่นของมวลร่างกายมากกว่ากลุ่มคนผิวขาวหรือผิวสีอื่น ๆ ซึ่งมวลร่างกายนี้หมายถึงกล้ามเนื้อล้วน ๆ ไม่รวมไขมัน
ส่วนเหตุผลที่มีมัดกล้ามมากกว่า ก็เกิดขึ้นจากมนุษย์ยุคปัจจุบันถือกำเนิดในแถบแอฟริกา ดังนั้นพวกเขาจึงมีเวลาสะสมการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งให้กับยีนของพวกเขา ที่พัฒนาขึ้นตามสภาพสิ่งแวดล้อม และชีวิตความเป็นอยู่ ... และถ้าจะเอาให้เห็นภาพชัดว่ากล้ามเนื้อของชาวแอฟริกันทำไมจึงโดดเด่นและเหมาะกับการเป็นนักกีฬาก็มีคำตอบเช่นกัน
โดยปี 2012 คณะนักวิจัยนำโดย ศาสตราจารย์ สตีฟ แฮร์ริดจ์ จาก คิงส์ คอลเลจ ลอนดอน ได้ทำการศึกษาจนค้นพบความลับอันน่าทึ่งประการหนึ่ง นั่นคือ คนเชื้อสายแอฟริกันมีกล้ามเนื้อที่เรียกว่า Fast-twitch หรือ กล้ามเนื้อกระตุกเร็ว มากกว่าคนเชื้อสายอื่น ๆ
ซึ่งกล้ามเนื้อ Fast-twitch นี้เองคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการที่ใครสักคนจะวิ่งได้เร็วหรือไม่ เนื่องจากกล้ามเนื้อแบบนี้สามารถหดตัวได้อย่างรวดเร็วและรุนแรง ช่วยให้พวกเขาสามารถระเบิดฝีเท้าในการวิ่งได้อย่างรวดเร็วกว่า
ไม่ใช่แค่เรื่องของกล้ามเนื้อเท่านั้น ยังมีเรื่องของจุดศูนย์ถ่วงด้วย เนื่องจาก เอเดรียน เบยาน แห่งมหาวิทยาลัยดุ๊ก และ ดอกเตอร์ เอ็ดเวิร์ด โจนส์ แห่งมหาวิทยาลัยโฮเวิร์ด ได้ทำการศึกษากายวิภาคของเหล่าทหารที่มีเชื้อสายแตกต่างกัน และพบความจริงที่น่าสนใจคือ คนที่มีเชื้อสายแอฟริกัน มีตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายสูงกว่าคนผิวขาว 3% นั่นทำให้พวกเขาไปข้างหน้าได้เร็วกว่า และมีศูนย์ถ่วงที่ดีกว่า ล้มได้ยากกว่า ... เท่านี้เราก็น่าจะพออธิบายเรื่องความแตกต่างของ นิโก้ และ ยามาล ที่พุ่งเหมือนกระสุน ให้กับทีมชาติสเปนได้เป็นอย่างดี
พวกเขาทั้งคู่คือส่วนผสมที่ลงตัว มี "ของขวัญจากพระเจ้า" ด้านร่างกายที่เป็นทุนเดิมอันทรงประสิทธิภาพ นอกจากนี้พวกเขายังเกิดและโตในประเทศสเปน ดินแดนที่บ่มเพาะนักฟุตบอลระดับคุณภาพ ผ่านการฝึกสอนที่เป็นศาสตร์ลึกล้ำ ดังนั้นเมื่อพวกเขามีร่างกายที่พร้อม ได้เรียนรู้ศาสตร์ฟุตบอลชั้นสูง มีความรู้ความเข้าใจในเชิงแท็คติก นั่นทำให้ทุกอย่างออกมาลื่นไหล และเป็นส่วนผสมที่ลงตัวเป็นอย่างยิ่ง
ใน ยูโร 2024 สเปน ใช้ประโยชน์จากนักเตะ 2 คนนี้ในการเล่นจังหวะสวนกลับได้เป็นอย่างดี ตอบโจทย์การเล่นของทีมแบบสุด ๆ อย่างในเกมกับ ฝรั่งเศส ปีกทั้ง 2 คนนี้ลงมาช่วยเล่นเกมรับบ่อยมาก นั่นสื่อถึงพละกำลังที่ล้นเหลือ นอกจากเรื่องเชื้อชาติแล้ว ยังมีเรื่องการเป็นวัยหนุ่มที่มีพลังงานเยอะ ซึ่งทั้ง ยามาล ก็มีจังหวะปิดตาย ตัดเกม เตโอ แอร์กน็องเดซ คู่ประกบของเขาที่เร็วจี๋ได้เป็นอย่างดี ขณะที่ นิโก้ ก็ไม่เคยปล่อยให้ ชูลส์ กุนเด้ ได้เติมเกมรุกอย่างสะดวก พวกเขาวิ่งลงมาช่วยเล่นในแดน และบางครั้งก็ลึกถึงหน้าเขตโทษเสมอ
สวนเกมสวนกลับเราจะเห็นได้ว่าทั้ง 2 คนจะพาพื้นที่ทำการที่เป็นพื้นที่ว่างได้ตลอด หากหนึ่งคนขึ้นมายืนรอบอลในแนวรุก อีกคนก็จะตามมาจากอีกฝั่ง เพื่อเป็นตัวสอด เลือกให้เพื่อนร่วมทีมมีตัวเลือกในการจ่ายบอลมากขึ้น
เกมด้านริมเส้นของสเปนจึงไม่ตายง่าย ๆ บอลเดินทางไปข้างหน้าตลอดเวลา ซึ่งจุดนี้เองเป็นเหตุผลที่สเปนเล่นได้สนุกที่สุดในทัวร์นาเมนต์นี้หากเรามองด้วยตาเปล่า และถ้ามองด้วยสถิติพวกเขาคือทีมที่ชนะรวด 6 นัด และโค่นทีมที่เป็นแชมป์โลกมาถึง 3 ทีม ก่อนเดินทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
เหนือสิ่งอื่นใดคือ พวกเขาไม่ได้มีแค่ปีก แต่ทั้งทีมตอนนี้ผสมผสานกันอย่างลงตัวทั้งเรื่องของทักษะเชิงบอล การคุมเกมแดนกลาง การเล่นเกมรับพร้อมกันทั้งทีม ดูเหมือนว่าการครองบอลที่เป็นจุดเด่นของพวกเขา ได้รับการเติมเต็มอย่างมาก ผ่านนักเตะที่เป็นความแตกต่างในแบบที่พวกเขาไม่เคยมีอย่าง นิโก้ วิลเลี่ยมส์ และ ลามีน ยามาล
กระสุนแอฟริกันจากสเปนคู่นี้ เหลืออีกก้าวเดียวเท่านั้นในรอบชิงดำ ... ไม่ว่าทีมไหนที่จะเจอกับ สเปน จะต้องรับมือกับพวกเขาให้ดี เพราะคู่นี้ถ้าได้บุกแล้วมันยากที่จะหยุดได้จริง ๆ
แหล่งอ้างอิง
https://www.goal.com/en/lists/explained-why-teenage-wonderkid-lamine-yamal-same-path-lionel-messi-barcelona-academy-graduate-make-difference-in-football/
https://www.lavanguardia.com/mediterranean/20240614/9733304/lamine-yamal-nico-williams-bullets-spain-soccer-team-euro-eurocup-young-fuente-forward.html
https://www.tribalfootball.com/article/soccer-laliga-spain-coach-de-la-fuente-seeks-adjustments-from-yamal-and-williams-2c11070c-bdcd-443f-ad2c-63614c1ea7a1
https://www.uefa.com/euro2024/news/028e-1b10c0b735bd-7e228a403118-1000--spain-coach-luis-de-la-fuente-on-the-value-of-nations-league/
https://www.givemesport.com/nico-williams-player-profile-career-history-style-of-play-stats/
https://www.quora.com/Why-are-black-people-stronger-and-faster
https://www.nbcnews.com/id/wbna30502963