ไม่เร็วก็ช้า จากกระแสข่าวตอนนี้ เชลซี จะได้โค้ชใหม่เป็น เอ็นโซ่ มาเรสก้า ชายผู้พา เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ แชมเปี้ยนชิพ เลื่อนชั้นสู่ พรีเมียร์ลีก มาหมาด ๆ
คำถามคือ เขาคนนี้เป็นใครมาจากไหน ? เก่งอย่างไร ? และเชลซี มองเห็นอะไรในตัวเขาถึงได้จ้างเข้ามารับงานใหญ่ชิ้นนี้ ?
นี่คือเรื่องราวที่เราจะไล่เรียงกันให้เห็นภาพ และทำให้คุณรู้จักชายที่ชื่อว่า เอ็นโซ่ มาเรสก้า มากขึ้น
ติดตามที่ Main Stand
ปูมหลังก่อนเป็นโค้ช
เอ็นโซ่ มาเรสก้า คือนักเตะชาวอิตาเลียนระดับมีชื่อเสียงคนหนึ่งในช่วงยุค 2000s กับการเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก และเบอร์ 8 ของทีม
โดยช่วงเวลาที่โดดเด่นคือการเล่นให้กับ ยูเวนตุส อยู่ในชุดคว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา ฤดูกาล 2001-02 และ เซบีย่า ในช่วงที่เปิดรัชสมัยการเป็นราชา ยูโรป้าลีก โดย เอ็นโซ่ มีส่วนร่วมกับการคว้าแชมป์ถึง 2 สมัยซ้อน ในฤดูกาล 2005-06 และ 2006-07 ก่อนที่เขาจะเล่นต่อไป และเเขวนสตั๊ดในปี 2017 กับ เฮลลาส เวโรน่า
เรื่องน่าสนใจระหว่างทางคือ มีหลายคนบอกเล่าเกี่ยวกับคาแร็คเตอร์ของเขาที่เป็นคนอัธยาศัยดี มีแนวคิดเป็นของตัวเอง มีความเชื่อมั่นในสิ่งนั้น แต่ก็ไม่ลืมที่จะเปิดกว้างรับฟังความคิดของคนอื่น ๆ คนที่เล่าเรื่องนี้คือ โรแบร์โต้ เด แชร์บี้ อดีตกุนซือของ ไบรท์ตัน ที่เป็นรุ่นพี่ตอนที่ทั้งคู่อยู่ในทีมเยาวชนของ เอซี มิลาน
"เอ็นโซ่ มาเรสก้า เป็นเด็กดี มาจากครอบครัวที่อบอุ่น เป็นคนที่เปิดใจคบหาด้วยได้สบาย ๆ ตัวของผมนั้นสนิทกับเขามาตั้งแต่ 10 ขวบแล้ว ตอนนั้นผมเล่นตำแหน่งเบอร์ 10 เขาเล่นตำแหน่งเบอร์ 8 แน่นอนว่าถึงจะเป็นรุ่นน้อง แต่หมอนี่เป็นนักฟุตบอลทีดีกว่าผม"
ที่ มิลาน มีโค้ชที่ดูแลพวกเขาทั้ง 2 คนชื่อว่า ฟุลวิโอ ฟิโอริน ซึ่งโค้ชคนนี้ ถือว่าเป็นคนที่ทำให้ทั้ง เด แชร์บี้ และ มาเรสก้า เข้าใจฟุตบอลลึกซึ้ง และในรายของ มาเรสก้า นั้น การได้เรียนรู้กับ ฟิโอริน ถือเป็นการจุดประกายการเป็นโค้ชของเขาเลยทีเดียว นี่คือสิ่งที่ เดอ แชร์บี้ เป็นคนเล่าต่อว่า
"พวกเราได้มาเรียนกับโค้ช ฟิโอริน ตอนอยู่ทีมยู 14 มาเรสก้า เก่งมากจนโค้ชต้องดันเขาขึ้นไปเล่นอีกรุ่นอายุนึงเลย สิ่งที่ ฟิโอริน บอกกับผมคือ นอกจากฝีเท้าจะดีแล้ว วิธีการการคิด การมองเกมของ มาเรสก้า น่าสนใจมาก เพราะเป็นคนที่ชอบอ่านภาพรวมทั้งสนาม มากกว่าจะโฟกัสแค่รอบ ๆ ตัวเอง ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่เจอไม่บ่อย ๆ ในบอลรุ่นเด็กขนาดนี้ เขาสามารถสอนเพื่อนในทีมได้เหมือนกับโค้ชเลย"
นั่นคือแววเล็ก ๆ ที่ฉายออกมา ทว่าของจริงของสิ่งที่ทำให้เขาเริ่มคิดจะเป็นโค้ชคือช่วงราว ๆ ปี 2012 ซึ่งถือเป็นช่วงท้าย ๆ ในอาชีพของเขาที่เขาอยู่กับ มาลาก้า ใน ลา ลีกา สเปน โดยตอนนั้นกุนซือของทีมคือ มานูเอล เปเยกรินี่ คนที่เคยพา แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และมีประสบการณ์คุม บียาร์เรอัล และ เรอัล มาดริด มาก่อน
"มานูเอล เปเยกรินี่ คือคนเปิดโลกและประสบการณ์ใหม่ด้านฟุตบอลในอีกระดับให้ผม เขาเป็นเหมือนพ่อ และเป็นคนที่โน้มน้าวให้ผมรู้ตัวว่า ตัวเองมีคุณสมบัติเหมาะกับการเป็นโค้ช" มาเรสก้า ว่าแบบนั้น
"ตอนนั้นผมเป็นนักเตะอยู่ที่ มาลาก้า ผมถือเป็นซีเนียร์ในทีม วันหนึ่งเขาเข้ามาคุยกับผมและบอกว่า ไอ้หนูแกต้องพยายามหาทางเป็นโค้ช และเริ่มเรียนรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ไว้บ้างได้แล้ว เพราะฉันเชื่อว่าแกจะเป็นโค้ชที่ดีได้ ... คือประโยคมันไม่ได้ยืดยาว มันเหมือนการคุยกันเล่น ๆ แต่เชื่อมั้ย จากนั้นผมความคิดเปลี่ยนทันทีเลย ผมคิดในหัวเสมอว่า ผมอาจจะเป็นโค้ชก็ได้ ใครจะรู้ มันคือการเริ่มต้นจุดประกายครั้งใหญ่จากคำพูดของเขา"
และหลังจากแขวนสตั๊ด เขาก็เริ่มทำตามที่ เปเยกรินี่ บอกทันที
หาแนวทางของตัวเอง
"ฟุตบอลเหมือนกับหมากรุก" นี่คือวิทยานิพนธ์ก่อนจบโค้ชตอนเขาเรียนที่ โคแวร์ชาโน่ (Coverciano) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยฟุตบอลของสหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี และเขาหมายความแบบนั้นจริง ๆ
"2 สิ่งนี้มีความคล้ายคลึงกันมาก ๆ เพราะสิ่งสำคัญที่สุด คือการเล่นตามตำแหน่งหน้าที่ การเดินแต่ละครั้งแฝงไปด้วยแท็คติกและกลยุทธ์ที่คิดนำหน้าเสมอ นี่คือหัวใจของเกมหมากรุก และถ้าคุณเป็นโค้ช การมีความคิดแบบผู้เล่นหมากรุกเป็นสิ่งสำคัญมาก มันจะสอนให้คุณรู้จักการวางแผน หาทางตอบโต้ทุกการเดินของคู่แข่ง และการจัดเรียงหมากของตัวเองในแต่ละกระดาน" มาเรสก้า กล่าว
นั่นคือแนวคิดเชิงทฤษฎี และ มาเรสก้า รู้ดีว่ามันไม่พอ เขาออกเดินทางไปทำงานกับโค้ชเก่าของเขาเพื่อเรียนรู้ภาคปฎิบัติ ไม่ว่าจะกับโค้ช ฟิโอริน ที่ อัสโคลี่ และการไปทำงานเป็นหนึ่งในทีมผู้ช่วยของ เปเยกรินี่ ที่ เวสต์แฮม ซึ่งก็มีนักเตะยืนยันว่า เห็นแววของ มาเรสก้า ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
"คนเป็นโค้ชมันสำคัญที่วิธีการสื่อสาร และ มาเรสก้า เป็นแบบนั้นเลย เขาดีและเหมาะสมกับงานประเภทนี้ คือมีความรู้ มีแนวคิด และมีความเป็นผู้ชนะในตัวเอง" โรเบิร์ต สน็อดกราสส์ อดีตนักเตะของ เวสต์แฮม ว่า
หน้าที่ของ เอ็นโซ่ ในตอนนั้นที่ เปเยกรินี่ มอบให้ คือผู้รับผิดชอบการคิดโปรแกรมซ้อม และคนช่วยคิดกลยุทธ์ต่าง ๆ ให้เหมาะกับแต่ละเกม ซึ่งจากคำบอกเล่าของ สน็อดกราสส์ นั้น ดูเหมือนว่าเราจะได้กลิ่นของวิธีทำงานของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มาจาง ๆ โดยเขาบอกว่า
"ตอนแรกผมคิดว่า การเพรสซิ่งและกดดันคู่แข่งสำคัญที่สุดใช่มั้ย แต่ เอ็นโซ่ บอกว่าการเพรสที่ดี คือการเพรสแบบถูกพื้นที่ (เพรส สเปซ) คือการมีพื้นที่ในการเพรสซิ่งแบบละเอียดยิบ เช่นถ้าคุณอยู่ในสนามตรงนี้ คุณมีเวลาเพรสได้กี่วินาที และควรถอนตัวจากการเพรสซิ่งออกเมื่ออยู่ในพื้นที่ไหน"
"เอาเป็นว่า เอ็นโซ่ มาเรสก้า เป็นโค้ชที่ทำให้ผมเป็นนักเตะที่ดีขึ้นได้ในแง่ของความเข้าใจเกม แม้กระทั่งตอนนี้ก็คุยกับเขาอยู่" สน็อดกราสส์ ว่าแบบนั้น
ด้วยความเข้าใจเรื่องแท็คติกเข้ม ๆ มีแนวคิดเรื่องการครองบอลและเพรสซิ่งเป็นหลัก ทำให้ชื่อเสียงของเขาเริ่มดังขึ้นมา เขาได้ไปคุมทีมสำรองของ แมนฯ ซิตี้ ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์ฝึกที่ดีที่สุดในอังกฤษ ณ เวลานี้ โดย มาเรสก้า พา ซิตี้ ชุดยู 23 คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก 2 ฤดูกาล 2020-21 ก่อนที่เขาจะลาออก เพื่อไปคุมทีม ปาร์ม่า ซึ่งก็ล้มเหลว จนต้องลาออกมาทำงานเป็นผู้ช่วยของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อีกครั้งในช่วงปี 2021-2023 จนกระทั่งเราได้เห็นฝีมือเขาจริง ๆ ก็คือการคุมทีม เลสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาล 2023-24
ซึ่ง 1 ปีกับ เลสเตอร์ จบลงด้วยตำแหน่งแชมป์ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ พาทีมเลื่อนชั้นกลับมายังลีกสูงสุดอีกครั้ง … ผลงานนี้นี่เองที่ทำให้ เชลซี จ้างเขาทำงานใหญ่แบบเซอร์ไพรส์กองเชียร์ และมันมีเหตุผล
มอง มาเรสก้า ผ่าน เลสเตอร์ ปีที่แล้ว
เชลซี จะได้อะไรจาก มาเรสก้า ? ประการแรกเลย มาเรสก้า เป็นโค้ชที่ดูแลห้องแต่งตัวได้ดีมาก ไม่มีนักเตะคนไหนที่มีปัญหาโดยตรงกับเขา หรือแม้กระทั่งการคุยฝากสื่อหรือผ่านโซเชี่ยลมีเดีย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ถือว่าเป็นพื้นฐานของโค้ชทีมใหญ่ ๆ ที่ดีมาก ๆ
ส่วนเหตุผลก็เพราะ มาเรสก้า เป็นโค้ชที่ให้ความสำคัญเรื่องนี้ ในวันที่เขารับตำแหน่งที่ เลสเตอร์ งานแรกที่เขาทำคือการนัดรวมตัวผู้เล่นชุดใหญ่ทุกคน ให้มาซ้อมและกินอยู่ที่สนามซ้อม ซีเกรฟ ของ เลสเตอร์ อยู่ถึง 2 สัปดาห์ เหตุผลหลัก ๆ ก็เพราะอยากให้เข้าใจปรัชญา วิธีการเล่น และสไตล์ที่เขาจะเอามาใส่ให้ทุกคน วางหน้าที่กันให้ชัดเจน
ส่วนเหตุผลรองที่ได้มาคือ กลุ่มนักเตะ เลสเตอร์ ชุดนี้เหนียวแน่นกันมากขึ้นจากการรวมตัวครั้งนั้น นักเตะหลายคนใช้เวลาฉลองแชมป์ด้วยกัน ไปเที่ยวพักร้อนด้วยกัน หรือแม้กระทั่งในเกมที่ต้องลุ้นผลการแข่งขันคู่อื่น ๆ นักเตะเลสเตอร์ จะมารวมตัวกันดูบอลที่บ้านของใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งหากจำกันได้ วันที่ทีมจิ้งจอกสยามการันตีการเลื่อนชั้น เหล่านักเตะมารวมพลที่บ้านของ มาเรสก้า ดู ควีนส์พาร์ก ถล่ม ลีดส์ 4-0 ก่อนฉลองกันสุดเหวี่ยง นั่นคือเหตุผลที่ว่าความกลมเกลียวเกิดขึ้นกับทีมชุดนี้ของเลสเตอร์ได้อยางไร
แน่นอนว่าเมื่อรวมตัวไว สร้างสปิริตไว แจกจ่ายงานไว สิ่งหนึ่งที่ตามมาจากเรื่องนี้ คือการสแกนหานักเตะ 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดในทีม เพื่อที่จะใช้ในฤดูกาลนี้ ความสุดยอดของ มาเรสก้า คือทีมชุดที่เขาใช้ในเกมนัดเปิดสนาม เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ที่ชนะ โคเวนทรี 2-1 คือทีมที่เขาใช้ไปยาว ๆ จนจบฤดูกาล เรียกได้ว่าการหา 11 ตัวจริงที่เหมาะสม ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ เลสเตอร์ โกยแต้มเน้น ๆ ในช่วงต้นซีซั่น ต่างกับทีมอื่น ๆ ที่กว่าจะตั้งทรงได้ก็โดนพวกเขาทิ้งห่างไปเป็น 10 แต้มแล้ว
การหา 11 ตัวจริงที่ว่า เหมาะมากสำหรับ เชลซี โดยในซีซั่นที่เพิ่งจบลงไป เชลซี ของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กว่าจะหา 11 ตัวจริงได้ลงตัวก็ต้องรอเอาถึงช่วงโค้งสุดท้าย จนทีมมีโครงที่แข็งแกร่ง โกยแต้มได้ จุดนี้เองน่าสนใจว่า เอ็นโซ่ ที่เก่งเรื่องนี้จะทำแบบเดียวกันกับที่ เชลซี ได้หรือไม
ส่วนอีกข้อหนึ่งที่ เชลซี อยากจะได้จาก มาเรสก้า และเขาน่าจะมีให้ คือการทำปรัชญาบอลเกมบุก และมีการครองบอลที่เหนียวแน่น เอาง่าย ๆ ให้เห็นภาพ คือเป็นบอลสไตล์ของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่เน้นการต่อบอลและการหมุนเวียนสลับเปลี่ยนตำแหน่ง มีการเซ็ตบอลจากข้างหลัง และเมื่อเข้าพื้นที่สุดท้ายจะเล่นบอลเร็ว เปลี่ยนแกน (สวิตช์) ไว เพื่อหาพื้นที่การยิงประตูให้ได้เร็วที่สุด เรียกได้ว่าเป็นโมเดิร์นฟุตบอลของแท้
และสิ่งที่คุณจะได้เห็นแน่ ๆ คือการใช้งานนักเตะตามสไตล์มหมากรุกอย่างที่เขาเคยบอก นั่นคือแต่ละตำแหน่งมีหน้าที่ของตัวเอง แต่วิธีเดินหมากสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ แก้ได้ตามแท็คติก อยางที่ เลสเตอร์ ในปีที่แล้ว นักเตะอย่าง ริคาร์โด้ เปร์ไรร่า ที่เป็นแบ็กขวาสายลุยสุดเส้นหลัง ต้องปรับมาเล่นเป็นอินเวิร์ท วิงแบ็ค โดยในบางช่วงบางจังหวะของเกม เขาขยับขึ้นไปเล่นในตำแหน่งเบอร์ 8 โดย ณ เวลานั้นทางฝั่งขวาจะเป็นหน้าที่ของเซ็นเตอร์แบ็กตัวยืนฝั่งขวาที่จะมาคอยสแตนด์บายแทน
นอกจากตำแหน่งแบ็ก ยังมีการใช้งานนักเตะที่แตกต่างออกไปในแบบที่คุณอาจจะงงว่าเป็นอย่างไร เช่น วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ ที่เป็นนักเตะสายเกมรับจ๋า ๆ ก็ถูก มาเรสก้า ส่งไปยืนหลัง เจมี่ วาร์ดี้ ที่เป็นกองหน้าตัวเป้า แต่กลับออกมาดีมาก เพราะ เอ็นดิดี้ ช่วยไล่แย่ง ไล่เพรส ในแดนบน จนทำให้ตัดเกมและเปลี่ยนจากรับเป็นรุกในแดนคู่แข่งได้บ่อยครั้ง
ยังมีอีกหลายตำแหน่งที่จะต้องยืนในตำแหน่งแปลก ๆ ไม่ตรงกับไลน์อัพตอนแข่งขันจริง ตรงนี้คือความยืดหยุ่นแก้ไขกลยุทธ์กันแบบเม็ดต่อเม็ดเหมือนกับหมากรุกที่เขาว่า
อย่างไรเสีย ใช่ว่าจะมีแต่จุดเด่นเท่านั้น จุดด้อยของ มาเรสก้า ก็มีเช่นกัน และมันเป็นเงาสะท้อนมาจากข้อดีคือ เมื่อเขาหา 11 ตัวจริงที่ดีที่สุดได้แล้ว เขาจะไม่ค่อยเปลี่ยนตัวมากนัก เรียกง่าย ๆ ว่าไม่ยืดหยุ่น การเปลี่ยนตัวในแต่ละเกมนั้นมักจะเป็นการเปลี่ยนตัวตามตำแหน่ง น้อยครั้งมากที่ มาเรสก้า จะส่งตัวรุกลงไปในสนามเยอะ ๆ เพื่อเปลี่ยนวิธีการเล่นและการกดดันคู่แข่ง
สิ่งนี้เห็นชัดมากในช่วงเดือนมีนาคมต่อเมษายน ที่ เลสเตอร์ ทำแต้มหล่นกระจาย เพราะหลายทีมจับทางได้และตั้งรับลึก จนที่ขนาดว่านำห่าง 10 กว่าแต้ม ยังเคยโดน ลีดส์ และ อิปสวิช สลับกันเขี่ยลงจากตำหน่งเลื่อนชั้นอยู่หลายหน โชคยังดีที่เขารวมใจทีมกลับมาได้ และเข้าฝักอีกครั้งเป็นม้าตีนปลายจนเป็นแชมป์
นี่คือเรื่องราวคร่าว ๆ ของ เอ็นโซ่ มาเรสก้า ... งานใหญ่จริง ๆ โปรเจ็คต์บิ๊กเบิ้มที่ เชลซี รอเขาอยู่ มารอดูกันว่าเขาจะนำพาความยอดเยี่ยมที่ เลสเตอร์ ติดตัวมาด้วยหรือไม่
แหล่งอ้างอิง
https://www.mancity.com/features/enzo-maresca/
https://www.nytimes.com/athletic/5522256/2024/05/27/enzo-maresca-chelsea-profile/
https://www.nytimes.com/athletic/4624469/2023/06/21/leicester-enzo-maresca-tactics/
https://en.wikipedia.org/wiki/Enzo_Maresca