Feature

โคดี้ โรดส์ : แชมป์โลก "เบบี้เฟซ" ที่เปิดประตูพา WWE ก้าวสู่ยุคใหม่ | Main Stand

ศึกมวยปล้ำรายการใหญ่สุดประจำปีของ WWE WrestleMania ครั้งที่ 40 รูดม่านปิดฉากแบบ แฮปปี้ เอนดิ้ง เมื่อ โคดี้ โรดส์ กระชากเข็มขัดแชมป์โลกได้สำเร็จด้วยการจับ โรมัน เรนส์ หัวหน้าเผ่าจอมไร้พ่ายกดนับสาม ท่ามกลางเสียงเฮดังสนั่นของแฟน ๆ กว่า 70,000 คนที่ ลินคอล์น ไฟแนนเชียล ฟิลด์ เมืองฟิลาเดลเฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกา

 

การคว้าแชมป์ของ โคดี้ โรดส์ มีความหมายยิ่งสำหรับตัวเขาและครอบครัว แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันคือชัยชนะของ "The American Nightmare" ยังเป็นการเปิดประตูพาสมาคมมวยปล้ำของ WWE ไปสู่ยุคใหม่ ยุคที่ ทริปเปิล เอช นั่งเก้าอี้คุมงานสร้างสรรค์แบบเต็มตัว โดยไม่มี วินซ์ แม็คแมน อดีตประธาน WWE ผู้อื้อฉาว มาล้วงลูกอยู่เบื้องหลังอีกต่อไป

และนี่คือเรื่องราวการ Finished The Story ของ โคดี้ โรดส์ และจุดเริ่มต้นแห่งยุคสมัยใหม่ของ WWE ที่จะทำให้วงการมวยปล้ำกลับมาร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม

 

ภาพจำที่ฝังใจ

นักมวยปล้ำทุกคนล้วนมีจุดมุ่งหมายหรือแรงบันดาลใจที่จะคว้าเข็มขัดแชมป์โลกแตกต่างกันไป ทว่าสำหรับ โคดี้ โรดส์ มันเริ่มจากภาพ ๆ หนึ่งที่อยู่ในบ้าน

มันคือภาพที่ ดัสตี้ โรดส์ คุณพ่อของเขา ครองเข็มขัดแชมป์โลก WWWF (ชื่อเก่าของ WWE) เมื่อปี 1977

ย้อนกลับไปวันที่ 29 กันยายน 1977 ดัสตี้ โรดส์ เผชิญหน้า "ซูเปอร์สตาร์" บิลลี่ เกรแฮม ในแมตช์ชิงเข็มขัดแชมป์ของ WWWF ซึ่ง บิลลี่ เกรแฮม ถือครองอยู่ การต่อสู้ดำเนินไปอย่างสุดมันท่ามกลางเสียงเชียร์ดังสนั่นของแฟน ๆ ที่ เมดิสัน สแควร์ การ์เดน ก่อนจบลงที่ ดัสตี้ โรดส์ เป็นผู้ชนะหลังจาก บิลลี่ เกรแฮม ถูกกรรมการนับ 10 เพราะขึ้นเวทีไม่ทัน

ดัสตี้ โรดส์ เอาเข็มขัดแชมป์ WWWF มาคาดเอวอย่างมีความสุข พร้อมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเรียบร้อย แต่เขาก็ถูกกรรมการยึดเข็มขัดคืนไป เพราะในวงการมวยปล้ำ การตัดสินแชมป์จะเกิดขึ้นด้วยวิธีจับคู่แข่งกดนับสาม หรือทำให้ยอมแพ้เท่านั้น แต่ถ้าแพ้แบบเคาน์เอาต์ ขึ้นเวทีไม่ทัน จะถือเป็นการแพ้ฟาวล์และไม่เสียเข็มขัด ทำให้แมตช์นั้นจบลงแบบหักมุม บิลลี่ เกรแฮม ได้เป็นแชมป์ต่อไป ส่วน ดัสตี้ มองสิ่งที่เกิดขึ้นแบบผิดหวัง และไม่ได้เฉียดใกล้เข็มขัดแชมป์เส้นนั้นอีกเลย

ภาพที่ ดัสตี้ โรดส์ ครองเข็มขัดแชมป์โลก WWWF ที่ไม่เกิดขึ้นจริง ถูกแขวนไว้ที่ผนังในบ้าน โคดี้ โรดส์ ในวัย 8 ขวบ เห็นภาพนี้ เขาเอ่ยปากถามผู้เป็นบิดาว่า "นี่พ่อเคยเป็นแชมป์โลกเส้นเดียวกับ ฮัลค์ โฮแกน ด้วยเหรอ ผมไม่รู้มาก่อนเลย" แต่ ดัสตี้ ก็ตอบลูกชายไปว่า "ใช่ พ่อเคยเป็น แต่โดนยึดคืนเพราะพ่อชนะฟาวล์ เลยไม่ได้เอาเข็มขัดกลับมาที่บ้านด้วย"

คำพูดของ The American Dream ที่บอกลูกชายคนเล็กของตระกูลโรดส์ กลายเป็นเชื้อไฟสำคัญที่ทำให้ โคดี้ ตัดสินใจว่าเขาจะเดินตามรอยเท้าของคุณพ่อในการเป็นนักมวยปล้ำ และนำเข็มขัดแชมป์โลกมาสู่ตระกูลโรดส์ให้ได้

 

ชายที่คืนชีพจากความล้มเหลว

ชีวิตนักมวยปล้ำของ โคดี้ โรดส์ มีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย ชนิดที่ว่าหากนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ดราม่า ก็ถือเป็นภาพยนตร์ชั้นดีที่แฟนมวยปล้ำไม่ควรพลาดชม

โคดี้ โรดส์ ก้าวสู่ WWE ตั้งแต่ปี 2016 หลังพิสูจน์ฝีมือให้ทุกคนยอมรับตั้งแต่สมัยปล้ำกับสมาคม OVW เขาแสดงให้ทุกคนเห็นว่าต่อให้เป็นลูกของ ดัสตี้ โรดส์ ก็ไม่ได้คิดจะเกาะบารมีของพ่อแม้แต่น้อย เขาใช้ฝีมือและทักษะการปล้ำบนเวที โน้มน้าวใจแฟนมวยปล้ำทุกคนให้ยอมรับในตัวเขา โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เขาได้ร่วมกลุ่มตัวโกง The Legacy ที่มี แรนดี้ ออร์ตัน เป็นพี่ใหญ่ และ เท็ด ดิเบียซี่ จูเนียร์ เป็นเพื่อนร่วมทีมที่ช่วยส่งให้ โคดี้ มีชื่อเสียงมากขึ้น

ขณะที่เรื่องของฝีมือการปล้ำ โคดี้ โรดส์ ก็โชว์ฟอร์มได้ดี จนมีเข็มขัดแชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล และแชมป์แท็กทีม กับเพื่อนร่วมอาชีพมากหน้าหลายตาทั้ง ฮาร์ดคอร์ ฮอลลี่, เท็ด ดิเบียซี่ จูเนียร์, ดรูว แม็คอินไทร์ และ โกลด์ดัสท์ หรือ ดัสติน โรดส์ พี่ชายของเขา ประดับบารมี

อย่างไรก็ตาม สถานะของ โคดี้ โรดส์ อยู่ห่างไกลจากความฝันที่จะคว้าแชมป์โลกให้ครอบครัว เมื่อ WWE มองว่าเขายังไม่ใช่คนที่สามารถเป็นหน้าเป็นตาให้กับสมาคม ไม่มีบุคลิกหรือคาแร็กเตอร์แข็งแรงพอที่จะดันให้ไปถึงจุดนั้น เป็นแค่นักมวยปล้ำระดับกลาง ๆ แถมถูกจับให้ไปสวมบทเป็นนักมวยปล้ำตัวตลกอย่าง "สตาร์ดัส" เขียนหน้า ทาปาก แต่งชุดรัดติ้ว ทำตัวบ้าบอ ตามรอยพี่ชายอย่าง โกลด์ดัสท์ ชนิดที่ โคดี้ โรดส์ ยอมรับว่าเป็นช่วงเวลาที่ขมขื่นที่สุดครั้งหนึ่งในการเป็นนักมวยปล้ำ WWE

ที่ผ่านมา มีนักมวยปล้ำหลายคนไม่พอใจกับบทบาทของตัวเองบนเวที WWE แต่พวกเขายังก้มหน้าก้มตาทำงานต่อเพราะอย่างน้อยก็ยังได้ทำงานกับสมาคมใหญ่ที่สุดในโลก ที่ให้ค่าตอบแทนสูงและมีความมั่นคงในชีวิต ทว่าไม่ใช่กับ โคดี้ โรดส์ เมื่อเขารู้สึกว่าเป้าหมายของตัวเองกับไอเดียของทีมครีเอทีฟไม่สอดคล้องกัน รวมกับความอึดอัดในการรับบท สตาร์ดัส และการเสียชีวิตของคุณพ่อ ดัสตี้ โรดส์ ชายที่เป็นดังเข็มทิศนำทางชีวิตของเขาในปี 2015

เมื่อรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ WWE ต้องการผลักดันให้เป็นแชมป์โลก โคดี้ โรดส์ จึงขอยกเลิกสัญญากับ WWE แล้วเดินออกมาในปี 2016 และใช้โอกาสนี้ออกไปพิสูจน์ตัวเองกับสมาคมมวยปล้ำอิสระภายนอก ที่แม้ว่าชื่อเสียงและความนิยมจะสู้ WWE ไม่ได้ แต่ก็เป็นเวทีที่เขาจะได้แสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขามีดีพอที่จะโลดแล่นอยู่ในวงการมวยปล้ำต่อไป

โคดี้ โรดส์ ออกไปผจญภัยกับสมาคมมวยปล้ำมากมาย ทั้ง ROH, NWA, NJPW ค่อย ๆ กอบกู้ชื่อเสียงและความสำเร็จกับวงการมวยปล้ำอินดี้ จนกระทั่งถึงช่วงเวลาสำคัญ เมื่อเขาและ โทนี่ ข่าน นักธุรกิจหนุ่มไฟแรง ตลอดจนเพื่อนนักมวยปล้ำด้วยกันอย่าง เคนนี่ โอเมก้า และสองพี่น้อง แมตต์ กับ นิค แจ็คสัน แห่ง The Young Bucks ร่วมกันก่อตั้ง AEW สมาคมมวยปล้ำแห่งใหม่ขึ้นมาในปี 2019

หลังจากนั้น AEW กลายมาเป็นคู่แข่งสำคัญของ WWE ที่เปิดศึกแย่งชิงเรตติ้งกันอย่างเมามัน ด้วยโชว์มวยปล้ำคุณภาพและเรื่องราวน่าสนใจ จนสามารถเอาชนะเรตติ้งรายการ NXT ของ WWE อย่างต่อเนื่อง นำมาซึ่งชัยชนะของ AEW เหนือ WWE ใน "สงครามวันพุธ" และความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ทำให้ ทริปเปิล เอช ที่คุมงาน NXT ในตอนนั้น ถูกถอดจากตำแหน่ง ส่วน NXT ถูกปรับภาพลักษณ์ จากค่ายหลักที่ 3 ของ WWE ถัดจาก RAW และ Smackdown! สู่การเป็นค่ายรองที่พัฒนาทักษะนักมวยปล้ำ ก่อนขึ้นสู่ 2 ค่ายหลักใน WWE อีกครั้ง

ชื่อเสียงของ โคดี้ โรดส์ เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะนักมวยปล้ำที่หันหลังให้กับ WWE ออกไปสร้างที่ทางความสำเร็จของตัวเองกับสมาคมอิสระและที่ AEW อย่างไรก็ตาม เมื่อการเจรจาสัญญาฉบับใหม่ไม่ลงตัว ประกอบกับ WWE ที่เคยมองข้าม โคดี้ โรดส์ มาตลอด เริ่มหันกลับมามองเขาอีกครั้ง การเจรจาระหว่าง โคดี้ โรดส์ กับ WWE จึงเริ่มต้นขึ้น ชนิดที่ วินซ์ แม็คแมน ประธานของ WWE รวมถึง บรูซ พริคชาร์ด โปรดิวเซอร์ บินไปคุยกับเขาที่บ้านด้วยตัวเอง

โคดี้ โรดส์ บอกเงื่อนไขที่ต้องการสำหรับการคัมแบ็ค WWE กับพวกเขา คือการรับบทเป็นตัวเอง ใช้เพลงเปิดตัว Kingdom ของวง Downstait ที่เขาใช้ตั้งแต่ปล้ำกับสมาคมอิสระ ขอเป็นนักมวยปล้ำระดับแถวหน้าของสมาคม และแน่นอนว่า "ไม่มี สตาร์ดัส"

วินซ์ แม็คแมน กับ บรูซ พริคชาร์ด ตอบรับเงื่อนไขของ โคดี้ โรดส์ การเจรจาสำเร็จลุล่วงด้วยดี

และนั่นจึงเป็นที่มาแห่งการปรากฏตัวของ "The American Nightmare" โคดี้ โรดส์ ที่เซอร์ไพรส์คนดู 65,000 คนใน เอทีแอนด์ที สเตเดี้ยม ในฐานะคู่ต่อสู้ลับของ เซธ โรลลินส์ ที่ศึกใหญ่ WrestleMania ครั้งที่ 38 วันที่ 2 เมษายน 2022 ซึ่งจบลงที่ โคดี้ โรดส์ เอาชนะ เซธ โรลลินส์ ไปได้ และเป็นการเปิดตัวกลับสู่ WWE อย่างสวยงาม

"จากคนที่ไม่มีใครต้องการ สู่คนที่คุณไม่อาจปฏิเสธเขาได้" คอรี่ เกรฟส์ ผู้บรรยายของ WWE ให้คำนิยามแก่ โคดี้ โรดส์ ในวันที่เขากลับมาบ้านหลังเดิมในรอบ 6 ปี

 

Finish (ed) The Story

"ผมรู้ตัวเองมาตั้งแต่อายุ 8 ขวบว่าตัวเองต้องการทำอะไร ผมจะต้องเอาเข็มขัดแชมป์กลับมาให้ได้ เอามันมามอบให้กับมือของ 'The American Dream' ดัสตี้ โรดส์ คนนี้ แล้วบอกเขาว่าจะไม่มีใครเอาเข็มขัดเส้นนี้ไปจากพ่ออีกแล้ว โชคร้ายเหลือเกินที่ว่า 'The Dream' จากไปแล้ว ไม่มีโอกาสที่ผมจะมอบเข็มขัดให้เขาแล้ว แต่ผมยังมีโอกาสที่จะเอาเข็มขัดแชมป์โลกมาคาดที่เอวของ 'The American Nightmare' ได้ ผมจะทำสิ่งนี้ให้ได้เพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว และเพื่อ 'The American Dream' ดัสตี้ โรดส์"

โคดี้ โรดส์ ประกาศเป้าหมายให้แฟนมวยปล้ำรับทราบถึงการรีเทิร์นสู่ WWE คำรบที่สอง ไม่มีสิ่งอื่นใดที่เขาต้องการมากไปกว่าการคว้าเข็มขัดแชมป์โลกของ WWE แชมป์โลกเส้นใหญ่ที่สุดของสมาคม ที่ถูกพรากไปจากมือของ ดัสตี้ โรดส์ เมื่อปี 1977 และถึงแม้ว่าเขาไม่มีโอกาสมอบมันให้คุณพ่อแล้ว แต่เขายังสามารถมอบเข็มขัดเส้นนี้ให้กับครอบครัวและ มิเชลล์ โรดส์ คุณแม่ของเขาที่ยังมีลมหายใจอยู่

นั่นเลยทำให้ช่วงเวลาตลอดปี 2022-2024 สโลแกน "Finish The Story" ถูกนำมาใช้เป็นคำขวัญในการไล่ล่าเข็มขัดแชมป์โลก WWE ของ โคดี้ โรดส์ เขาเริ่มเส้นทางของภารกิจด้วยการเป็นผู้ชนะ Royal Rumble ปี 2023 กรุยทางไปสู่การเผชิญหน้า โรมัน เรนส์ เจ้าของแชมป์ Undisputed เส้นใหญ่สุดของ WWE ที่ WrestleMania ครั้งที่ 39 แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อหน้ากองเชียร์ที่ฮอลลีวูด จากการโดน โซโล่ ซิโคอา ลูกน้องกลุ่ม The Bloodline ลอบทำร้ายจากข้างหลัง แล้วเจอ โรมัน เรนส์ พุ่ง Spear กดนับสามป้องกันแชมป์แบบค้านสายตาแฟน ๆ

ปี 2024 โคดี้ โรดส์ พาตัวเองกลับสู่เส้นทางลุ้นแชมป์เส้นใหญ่อีกครั้งด้วยการเหวี่ยง ซีเอ็ม พังค์ ตกเวที คว้าชัยชนะใน Royal Rumble สองปีติดต่อกัน พร้อมชี้หน้าขอเจอ โรมัน เรนส์ อีกครั้งใน WrestleMania ครั้งที่ 40 ที่แม้ว่าระหว่างทางจะโดน เดอะ ร็อก ซูเปอร์สตาร์รุ่นใหญ่ตลอดกาล เข้ามาปาดหน้าแย่งสิทธิ์ชิงแชมป์แบบไร้เหตุผลจนถูกแฟนมวยปล้ำด่ายับ แต่สุดท้าย โคดี้ โรดส์ ก็สู้ทวงสิทธิ์ของตัวเองกลับคืนมา จนได้เจอกับ The Tribal Chief ตามโปรแกรมเดิม

แล้วเมื่อถึงวันดีเดย์ 7 เมษายน 2024 ศึก WrestleMania ครั้งที่ 40 คืนที่สอง ก็จบลงแบบที่สาวก "Cody Crybaby" (ชื่อแฟนด้อมของโคดี้ที่ เดอะ ร็อก ตั้งให้เพื่อล้อเลียนว่าเป็นพวกขี้แย) มีความสุขกันถ้วนหน้าเมื่อ โคดี้ โรดส์ จัดการจับ โรมัน เรนส์ ใส่ "Triple Cross Rhodes" กดนับสามเอาชนะคว้าเข็มขัดแชมป์ไปได้แบบไม่มีใครมาขัดขวางอีกแล้ว

แม้ระหว่างแมตช์จะมีสมาชิก The Bloodline ทั้ง จิมมี่ อูโซ่, โซโล่ ซิโคอา และ เดอะ ร็อก ออกมาขัดจังหวะ ตามผลของคู่เอกคืนแรก ที่ โคดี้ โรดส์ และ เซธ "ฟรีกกิ้น" โรลลิ่นส์ แพ้ เดอะ ร็อก และ โรมัน เรนส์ จนแมตช์คู่เอกในคืนสองระหว่าง โคดี้ โรดส์ กับ โรมัน เรนส์ ต้องปล้ำแบบ "Bloodline Rules" ที่เหล่า The Bloodline สามารถตั้งกติกา หรือร่วมแจมในแมตช์ได้ตามใจ

แต่ก็มี เจย์ อูโซ่, จอห์น ซีน่า, เซธ โรลลิ่นส์ และ ดิ อันเดอร์เทเกอร์ ออกมาช่วยเก็บตัวขัดขวางเหล่านี้ ให้พระเอกอย่าง โคดี้ เดินไปสู่ฝั่งฝัน ปิดฉากการครองแชมป์ไร้พ่ายอันยาวนานของ โรมัน เรนส์ ไว้ที่ 1,316 วัน แล้วเอาเข็มขัดแชมป์โลกไปมอบให้กับมือของ "มาม่า โรดส์" บนเวทีได้สำเร็จโดยมีเพลง Kingdom บรรเลงให้แฟนมวยปล้ำกู่ร้องตะโกนฉลองไปด้วยกันอยู่ข้างหลัง

อันที่จริงแฟนมวยปล้ำส่วนใหญ่พอจะคาดเดากันได้ว่า โคดี้ โรดส์ น่าจะได้ Finish The Story สักทีในรอบนี้ เพราะมีสัญญาณที่ดีบ่งบอกหลายอย่าง เช่น ได้ขึ้นปกวีดีโอเกม WWE 2K24, ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ของ PRIME เครื่องดื่มของ โลแกน พอล ยูทูบเบอร์และนักมวยปล้ำเพื่อนร่วมอาชีพ ซึ่งเป็นสปอนเซอร์ของ WWE รวมถึงจับปากกาต่อสัญญาฉบับใหม่กับ WWE ก่อนขึ้นปล้ำใน WrestleMania 40

การที่ WWE มอบเข็มขัดแชมป์แก่ โคดี้ โรดส์ ถือว่าเป็นเรื่องที่คู่ควรแล้วเพราะนับตั้งแต่รีเทิร์นกลับมา เขาทุ่มเททำงานหนักเพื่อสมาคมมาตลอด ปรากฏตัวในโชว์รายสัปดาห์ทั้ง RAW กับ Smackdown! ขึ้นปล้ำศึกใหญ่แทบทุกรายการ แถมยังเดินสายปล้ำรายการเฮาส์โชว์ ให้สัมภาษณ์รายการต่าง ๆ แบบไม่เคยปริปากบ่น ทำให้เขายกสถานะตัวเองกลายเป็นนักมวยปล้ำธรรมะสายเบบี้เฟซ เป็นที่รักของแฟน ๆ และมียอดขายของที่ระลึกติดท็อป 5 ใน WWE Shop ทุกเดือน

 

ก้าวสู่ยุคใหม่ของ WWE

การคว้าแชมป์ของ โคดี้ โรดส์ มีความสำคัญหลายสิ่ง เพราะไม่เพียงแต่เป็นแชมป์โลก WWE เส้นแรกของเขา เส้นแรกของครอบครัวโรดส์ แต่ยังเป็นการประกาศก้องว่า โคดี้ โรดส์ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักมวยปล้ำอันดับ 1 ของ WWE อย่างเต็มภาคภูมิ และเป็นหัวขบวนในการพาสมาคมมวยปล้ำอันดับ 1 ของโลก ตบเท้าเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเป็นทางการ โดยมีสองตำนานอย่าง จอห์น ซีน่า กับ ดิ อันเดอร์เทเกอร์ มาร่วมส่งไม้ต่อให้กับเขาในแมตช์คู่เอก

นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2023 WWE ภายใต้การดูแลของ พอล เลเวสก์ หรือ ทริปเปิล เอช นักมวยปล้ำดาวร้ายตลอดกาล ที่ก้าวขึ้นมารับบทหัวหน้าฝ่ายครีเอตโชว์อย่างเต็มตัว ได้กระแสตอบรับที่ร้อนแรงอย่างน่าสนใจ ทั้งการครีเอตโชว์มวยปล้ำและเนื้อเรื่องต่าง ๆ ที่ดูมีตรรกะเหตุผลมากยิ่งขึ้น (แม้บางครั้งก็มีเนื้อเรื่องชวนอิหยังวะบ้าง) แต่ก็ดีกว่ายุคที่ วินซ์ แม็คแมน คุมครีเอทีฟแล้วสั่งให้คนเขียนบทเขียนเนื้อเรื่องเสื่อมทราม เช่นให้ ริค แฟลร์ ตำนานผู้ยิ่งใหญ่มีสัมพันธ์สวาทกับ เลซีย์ อีแวนส์ นักมวยปล้ำหญิงรุ่นลูกจนตั้งท้อง หรือให้เด็กปั้นอย่าง ออสติน เธียร์รี่ ละเลงโลชั่นใส่ บ็อบบี้ แลชลีย์ นักมวยปล้ำจอมพลังบนเวที ที่ทำให้คนดูถึงกับอุทานว่าปัญญาอ่อนสิ้นดี

ขณะเดียวกัน การกลับมาของ ซีเอ็ม พังค์ นักมวยปล้ำเจ้าปัญหาใน Survivor Series 2023 และการรีเทิร์นของ เดอะ ร็อก ซูเปอร์สตาร์ตลอดกาลในช่วงต้นปี 2024 พร้อมเทิร์นฮีล จากแชมป์มหาชนเป็น "ไฟนอล บอส" จอมโฉด เล่นงาน โคดี้ โรดส์ จนเลือดหัวออก ก็ช่วยเติมความร้อนแรงให้กับสมาคมอย่างมากจนทำให้แฟนมวยปล้ำในอเมริกา ไม่อาจนั่งดูถ่ายทอดสดอยู่บ้านได้อีกต่อไป ต้องยอมเสียเงินตีตั๋วเข้ามาดูขวัญใจของพวกเขาแบบสด ๆ ติดขอบสนาม ถึงไม่ได้ขึ้นปล้ำ แต่แค่ได้ฟัง ซีเอ็ม พังค์ กับ เดอะ ร็อก พูดโปรโมแซ่บ ๆ ออกไมโครโฟนแบบสด ๆ ก็ฟินแล้ว

ก่อนที่ WrestleMania 40 จะเริ่มขึ้น WWE ประกาศว่าพวกเขาขายตั๋วเข้าชมรายการ RAW กับ Smackdown! หมดเกลี้ยงติดต่อกันถึง 13 โชว์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับ WWE มานานมากแล้ว และใน RAW After Mania หรือรายการ RAW หลังจบ WM ตั๋วเข้าชมที่ เวลส์ ฟาร์โก้ เซ็นเตอร์ ก็ขายหมดเกลี้ยงเช่นกัน ช่วยบวกสถิติโชว์รายสัปดาห์ Sold Out เป็นโชว์ที่ 14 ติดต่อกัน ท่ามกลางแฟน ๆ กว่า 20,000 คน ที่มาร่วมแสดงความยินดีกับแชมป์คนใหม่อย่าง โคดี้ โรดส์

สำหรับศึกมวยปล้ำ WrestleMania 40 นับเป็นครั้งแรกที่ ทริปเปิล เอช ได้คุมงานอย่างเต็มตัวโดยไม่มี วินซ์ แม็คแมน อดีตประธานที่พัวพันกับคดีล่วงละเมิดทางเพศอดีตพนักงานหญิงในบริษัทเข้ามายุ่งเกี่ยว ซึ่งตลอดโชว์ทั้ง 2 วัน จบลงอย่างราบรื่นสวยงาม สมราคากับการป่าวประกาศในช่วงโปรโมตว่านี่คือ WrestleMania ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล โดยมีแฟน ๆ ในสนามสองวันรวมกัน 145,298 คน มากกว่ายอดผู้ชม WrestleMania ครั้งที่แล้วถึง 78% ขณะที่ยอดวิวไฮไลท์บน YouTube วันที่ โคดี้ Finished the Story ก็มียอดวิวมากกว่า 67 ล้านครั้งภายในวันเดียว

โดยในช่วง Road to WrestleMania 40 ทริปเปิล เอช ใช้โอกาสนี้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงการทำงานหลังบ้าน สตอรี่ไลน์ และการโปรโมตต่าง ๆ ให้ออกมาดียิ่งขึ้น โดยสิ่งที่แฟนๆ ร้องว้าวที่สุดคือการเอา "เลือด" กลับมาใช้อีกครั้งในเซคชั่นที่ เดอะ ร็อก กระทืบ โคดี้ โรดส์ จนหัวแตก ทั้งที่เป็นโชว์ในเรต PG จนคนดูพากันตื่นเต้นเพราะพวกเขาไม่ได้เห็นนักมวยปล้ำหลั่งเลือดออกทีวีมานานแล้ว นับตั้งแต่เปลี่ยนจากเรต TV-14 มาเป็น PG เพื่อเอาใจคนดูวงกว้างเมื่อปี 2012

ทั้งหมดทั้งมวล ขมวดนำมาสู่การประกาศว่า WWE เข้าสู่ยุคใหม่แล้ว แฟนมวยปล้ำ WWE รับรู้เรื่องนี้ตั้งแต่วันแรกของ WrestleMania 40 เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนอินโทรเปิดตัวเข้ารายการใหม่ แล้วต่อด้วย ทริปเปิล เอช ที่เดินออกมาประกาศบนเวทีด้วยตัวเองว่า "ขอต้อนรับสู่ช่วงเวลาใหม่ ขอต้อนรับเข้าสู่ยุคใหม่" ส่วน สเตฟานีย์ แม็คแมน ภรรยาของเขาก็ออกมาย้ำบนเวทีอีกรอบในโชว์วันที่สองว่า "ขอต้อนรับทุกคนสู่ยุคของ พอล เลเวส์ก (ชื่อจริงของ ทริปเปิลเอช)"

แน่นอนว่า WWE ยุคใหม่ (ที่ใช้ชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า ยุคของ พอล เลเวส์ก) ภายใต้การดูแลของ ทริปเปิล เอช จะมีความน่าสนใจในเรื่องของการสร้างสตอรี่ไลน์ให้กับนักมวยปล้ำแต่ละคนดูมีเหตุมีผลมากขึ้น อาจมีการเติมความรุนแรง เลือด หรือคำพูดหยาบคายบ้างในบางโอกาส พร้อมกับให้โอกาสนักมวยปล้ำเลือดใหม่จากค่าย NXT ขึ้นมาแสดงความสามารถในโชว์รายสัปดาห์ โดยใน RAW After Mania ก็เป็นคิวของ อิลย่า ดรากูนอฟ กับ ร็อกแซน เปเรซ สองแชมป์ชาย-หญิงของ NXT ที่ได้ขึ้นมาปล้ำในโชว์ใหญ่ ยื่นนามบัตรให้แฟนมวยปล้ำได้เห็นหน้าค่าตากัน

นอกจากนี้ ทริปเปิล เอช ยังมีนักมวยปล้ำหน้าใหม่มากมายที่ครบเครื่องทั้งบุคลิก สกิลการปล้ำ และความสามารถในการพูดโปรโมที่อยู่ในมือของเขา และพร้อมที่จะผลักดันให้ขึ้นมาเป็นสตาร์แถวหน้าของสมาคมในอนาคต เช่น ทิฟฟานี่ สแตรทตัน, บรอน เบร็คเกอร์, เกรย์สัน วอลเลอร์, อินดี้ ฮาร์ทเวลล์, แท็กทีม พริตตี้ เดดลีย์, แท็กทีม ครีด บราเธอร์ส, อิลย่า ดรากูนอฟ หรือ เจด คาร์กิล นักมวยปล้ำหญิงร่างแกร่งที่ดึงตัวมาจาก AEW ค่ายคู่แข่ง

เช่นเดียวกับนักมวยปล้ำค่ายหลักของ RAW กับ Smackdown! ที่ ทริปเปิล เอช มุ่งผลักดันให้มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นเช่น เซมี่ เซน, เจย์ อูโซ่, แอลเอ ไนท์, โซอี้ สตาร์ค, ราเคล โรดริเกซ, เดเมี่ยน พรีสต์, โดมินิค มิสเตริโอ และ กุนเธอร์ เจ้าของสถิติแชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัลที่ยาวนานที่สุดของสมาคม 666 วัน ผู้ถูกวางตัวให้เป็นว่าที่แชมป์โลกคนต่อไป

อีกเรื่องสำคัญ ก็คือการประกาศจับมือกับ Netflix แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งภาพยนตร์และซีรีส์ระดับโลก ที่เตรียมนำโชว์มวยปล้ำและคอนเทนต์ต่าง ๆ ของ WWE มาสตรีมผ่านทาง Netflix ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป ภายใต้สัญญา 10 ปี มูลค่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนั่นจะทำให้มวยปล้ำของ WWE เข้าถึงผู้ชมทั่วโลกยิ่งขึ้นกว่าเดิม จากปกติที่ฉายแค่ในสถานีทีวีสหรัฐอเมริกา หรือไม่ก็อัพโหลดวีดีโอไฮไลท์ลง Youtube ที่ตัดมาแค่สั้น ๆ ดูไม่เต็มอิ่ม

ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจ หากแฟนมวยปล้ำจะได้เห็นสมาคม WWE ติดจรวดพุ่งทะยานแบบไม่มีอะไรมาฉุดรั้งได้อีกต่อไป ทั้งในแง่ของการทำโชว์มวยปล้ำที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น และดีลธุรกิจหลังบ้านที่เดินหน้ากอบโกยเงินแบบมหาศาลกระเป๋าตุง เมื่อพวกเขาตบเท้าก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างเต็มภาคภูมิโดยมี ทริปเปิล เอช เป็นแกนหลักคุมงานเบื้องหลัง และมี โคดี้ โรดส์ เป็นพระเอกแชมป์โลกของสมาคม ยืนรับแสงไฟอยู่เบื้องหน้า

 

แหล่งอ้างอิง :

https://www.cbssports.com/wwe/news/wrestlemania-40-how-cody-rhodes-went-from-an-afterthought-to-one-of-the-biggest-babyfaces-of-the-modern-era/
https://theathletic.com/5391953/2024/04/05/cody-rhodes-wrestlemania-wwe-the-rock/
https://theathletic.com/5398800/2024/04/08/cody-rhodes-wrestlemania-wwe-dusty-rhodes/
https://www.netflix.com/tudum/articles/wwe-raw-netflix-release-date-news

Author

วัลลภ สวัสดี

ฟังไปเรื่อย ดูไปเรื่อย เขียนไปเรื่อย

Graphic

อภิสิทธิ์ โชติพิบูลย์ทรัพย์

Art Director ผู้รับเหมางานภาพกราฟิกหน้าปกบทความทุกชิ้น