ก่อนเกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะลงสนามเจอกับ ลิเวอร์พูล ในเกม เอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ฤดูกาล 2023/24 เหล่าเซียนและกูรูทั้งหลายต่างชี้ตรงกันว่า หงส์แดง ปิดประตูแพ้ และ ผีแดง ไม่เห็นรูชนะ
เหตุผลมันเป็นเพราะเรื่องระบบ คุณภาพนักเตะ โมเมนตั้ม ทุกอย่างเทไปฝั่ง ลิเวอร์พูล ที่เหนือกว่าท่วมท้นจนหารูแพ้แทบไม่เจอ ทว่าฟุตบอลวัดกันในสนามไม่ใช่หน้ากระดาษ
บางครั้งเราได้เห็นทีมที่สู้ไม่ได้เกือบตลอดทั้งเกม กลับมาเกิดใหม่ในช่วงเวลา 5 หรือ 10 นาทีสุดท้าย พลิกชนะสร้างตำนานให้โลกฟุตบอลได้จดจำเป็นแมตช์คลาสสิกไปโดยปริยาย
คำถามถือ เล่นกันมาตั้งนานไม่มีแววสู้ได้ ไฉนเลยช่วงเวลาท้ายเกมกลับเปลี่ยนโลกได้ขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่ดูแล้วเหมือนแผนมั่ว ๆ เหมือนมวย มันมีทฤษฎีไหนซ่อนอยู่เบื้องหลังแผนแบบนี้เปล่า หรือจริง ๆ แล้วมันก็แค่เรื่องฟลุกที่น้อยครั้งจะเกิดขึ้น
วิเคราะห์อย่างมีหลักการ ผ่าน Main Stand ได้ที่นี่
มวยวัดคืออะไร ?
ประการแรกเราขออธิบายแท็คติก "มวยวัด" กันก่อน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกันและเห็นภาพมากที่สุด คือเกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ ลิเวอร์พูล ใน เอฟเอ คัพ 4-3 ล่าสุด สด ๆ ร้อน ๆ นี่แหละ มันสามารถอธิบายคำว่ามวยวัดได้เป็นอย่างดี
กล่าวคือ แมนฯ ยูไนเต็ด เริ่มต้นด้วยวิธีการตามแผนที่วางมา รูปแบบการเล่น การงวางตำแหน่ง 11 ตัวจริงไม่แตกต่างหรือฉีกไปจากเกมที่ผ่านมา อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ๆ แต่หลักแล้วโครงของทีมยังคงเดิม
เหตุผลที่เป็นแบบนั้นก็เพราะนี่คือวิธีการหลักของทีม วิธีการที่ทีมซักซ้อมกันมาตลอด ดังนั้นเพื่อประสิทธิภาพของรูปเกมและโอกาสการเอาชนะให้ได้แม้มันจะมีไม่มากนัก ถ้าไม่ใช้แผนที่มั่นใจที่สุด ซ้อมกันมาอย่างดีที่สุด แผนอื่นก็คงไม่น่าเวิร์ก เผลอ ๆ อาจจะเละกว่าเดิมเลยก็ได้
ยูไนเต็ด เริ่มเกมด้วยการทำได้ตามแผนที่วางมา วิ่งไล่บอล ช่วยกันบีบผู้เล่นลิเวอร์พูลให้เล่นยาก เล่นกันอย่างมีสมาธิจนกระทั่งมาได้ประตูที่พวกเขาต้องการตั้งแต่ต้นเกม ซึ่งทำให้ทีมกระชุ่มกระชวยมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
อย่างไรก็ตามเมื่อทีมของคุณยังไม่ได้อยู่ในระดับทีมชั้นยอด ที่ผ่านสมรภูมิที่ยากและกดดันมามากพอ มันเป็นเรื่องยากที่คุณจะโฟกัสและมีสมาธิกับเกมได้ตลอดเวลา แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เป็นแบบนั้นในเกมเมื่อคืนนี้
พวกเขาเสียสมาธิเพียงไม่กี่จังหวะเท่านั้น แต่ดันเป็นการเสียให้ทีมอย่าง ลิเวอร์พูล ที่เป็นนักฉกฉวยความผิดพลาดของคู่แข่ง เผลอแว้บเดียวแทนที่จะจบครึ่งแรกด้วยการนำ 1-0 กลับกลายเป็นตามหลัง 1-2
เมื่อนั้นคุณได้เห็นถึงความสั่นคลอน และความมั่นใจที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน จากที่เคยเล่นแบบมีแผนและใช้พลังใจ และความสามัคคีเข้าร่วม กลับกลายเป็นใจมันฝ่อไปแล้ว จุดไม่ติดเหมือนตอนที่ยิงนำ จากนั้น ลิเวอร์พูล ที่เหนือกว่าและเป็นต่อกว่าแทบรอบด้านจับจังหวะของตัวเอง และครองเกมได้เกือบ 90 นาที ชนิดที่ว่าควรจะปิดเกมไปได้แล้วด้วยซ้ำ
นั่นคือช่วงเวลาที่นักเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด ขาดสมาธิและความฮึกเหิม และแสดงให้เห็นว่าถ้าเล่นตามแผนที่ซักซ้อมมาคงไม่มีเหลี่ยมมีโอกาสได้ตีเสมอ เอริค เทน ฮาก จึงเอา "ไม้ตาย" ของกุนซือทุกคนบนโลกนี้ออกมาใช้ นั่นคือเมื่อเวลาเหลือน้อยนิด และวิธีการเดิมไม่เห็นผล พวกเขาก็จะกลับสู่เบสิกของฟุตบอล นั่นคือ ถ้าอยากได้ประตู ก็ต้องมีตัวรุกมากขึ้น เราจึงได้เห็นการค่อย ๆ ถอดกองหลังแล้วใส่ตัวรุกลงมา โดยที่เราเดาไม่ออกแล้วว่าตัวรุกแต่ละคนที่อยู่ในสนามเกินครึ่งทีม เล่นตำแหน่งไหนเป็นหลัก
ส่วนวิธีการ ลืมไปได้เลย การเซ็ตบอลจากแนวรับ หาช่องเจาะทำประตูจากทีมเวิร์ก ทุกอย่างเปลี่ยนไปเป็นการใช้วิธีที่คลาสสิกที่สุดคือ เมื่ออยากให้บอลขึ้นหน้า ก็ต้องเสี่ยงเอาบอลขึ้นหน้าให้เร็วที่สุด ส่วนจะเสียบอลหรือเก็บบอลได้ให้มันเป็นเรื่องของอนาคต และถ้าเสียก็แค่ใช้ตัวที่ข้างหน้าเยอะ ๆ ไปรุมแย่งบอลกลับมา และใช้วิธีมวยมัด เหวี่ยงหมัดแบบไร้ยุทธวิธี โยนได้โยน ยิงได้ยิง เลี้ยงได้เลี้ยง ยากที่คู่แข่งจะเดาถูก ต่อให้สเกาท์คุณมามากแค่ไหนก็ตาม เพราะคุณเองก็หลุดจากแบบแผนเดิมไปสิ้นเชิง ... พูดง่าย ๆ คือคุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเข้าทำยังไงต่อไป
ซึ่งวิธีนี้บางครั้งมันก็ออกมาเวิร์กอย่างเหลือเชื่อดังเกมแดงเดือดฉบับ เอฟเอ คัพ ปี 2024 ที่ ยูไนเต็ด เหวี่ยงหมัดซ้ายที ขวาที แล้วหมัดที่ปล่อยออกมาดันแม่นยำระดับต่อยเข้าปลายคาง จนลิเวอร์พูล พิงเชือกแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน นี่แหละคือตำรับของมวยวัด ซึ่งถือว่าเป็นแผนที่คลาสสิกที่สุดแผนหนึ่งในโลกฟุตบอล
คำถามแท็คติกมวยวัดที่เราว่านี้ มันมีหลักการเพื่อไปถึงชัยชนะหรือไม่ ? หรือจริง ๆ แล้วมันก็แค่เล่นไปตามโมเมนตั้มของเกมเท่านั้น ... เรื่องนี้เรามีปากคำของกุนซือหลายคนที่เคยใช้แท็คติกนี้แล้วเวิร์ก มาอธิบายให้คุณเข้าใจยิ่งกว่าเดิม
จุดเริ่มชนะคือสภาวะของจิตใจ
อย่างที่เราบอก เมื่อคุณใช้แท็คติกมวยวัด นั่นคือคุณอยู่ในสถานการณ์ที่สู้คู่แข่งไม่ได้ แผนที่เตรียมมาไม่เวิร์ก และสกอร์ก็ตามหลังแบบไม่น่ามีโอกาสชนะได้ ... ว่าง่าย ๆ คือเกมลักษณะที่ถ้าถอดใจก็แพ้ไปแล้วซะตั้งแต่ตอนนั้น ทว่าจุดเริ่มต้นของการใช้แท็คติกมวยวัดให้สามารถพลิกสถานการณ์ได้คือ "ใจคุณต้องเอาเป็นอันดับแรก"
ย้อนกลับไปในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2005 ที่ ลิเวอร์พูล ตามหลัง เอซี มิลาน 0-3 ก่อนพลิกนรกกลับมาตีเสมอเสมอ 3-3 ในครึ่งหลัง ก่อนชนะจุดโทษ คว้าแชมป์ยุโรปสมัย 5 จุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดก็คือห้องแต่งตัวของพวกเขา จุดสำคัญเริ่มจากใจที่ไม่ยอมแพ้ และจากนั้นพวกเขาจึงก้าวสู่สเต็ปต่อไป
"เราจบครึ่งแรกด้วยการตามหลัง 0-3 เรากำลังเดินเข้าห้องแต่งตัวและคุยกันว่า มันจบแล้วว่ะ ... แต่เมื่อถึงห้องแต่งตัวผู้จัดการทีม (ราฟา เบนิเตซ) รอเราอยู่แล้ว และคำแรกที่ทุกคนเข้ามาในห้องจนครบคือ 'อย่าทำเป็นคอตกเด็ดขาด ใครที่อยากจะลงสนามครึ่งหลังฉันขอให้เชิดหน้าขึ้นมา บอกตัวเองไว้ว่าเราคือลิเวอร์พูล คุณเล่นให้สโมสรลิเวอร์พูล ดังนั้นคุณต้องเชิดหน้าเข้าไว้เพื่อกองเชียร์"
"สำหรับพวกเขา (แฟนๆ) มันมีความหมายมาก ถ้าแกไม่เชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจตอนลงสนาม เมื่อนั้นพวกเขาไม่นับว่าแกเป็นนักเตะของลิเวอร์พูล" ราฟา บอกแบบนั้น
"ก่อนใช้จิตวิทยาอีกขั้น เขาไม่ได้บอกว่าเราจะยิง 3 ลูกกลับมาให้ได้ แต่เขาเริ่มจากเป้าหมายง่าย ๆ ก่อนโดยบอกนักเตะว่า ขอแค่สร้างโอกาสยิงให้ได้สัก 2-3 ครั้งในต้นครึ่งหลัง ถ้าพวกเราทำได้ เรามีลุ้นกลับสู่เกมแน่นอน"
"ฉันเชื่อว่าพวกนายทุกคนทำได้ แล้วมั่นใจสุดว่าพวกแกแต่ละคนตัวสั่นอยากจะทำมันจนใจจะขาด ... เราจะทำมันแน่ไอ้น้อง ในค่ำคืนนี้จงทำให้ตัวเองได้เป็นฮีโร่ซะ" ราฟา พูดจบและสั่งให้นักเตะทุกคนเงียบ จากนั้นเสียงแฟนบอลในสนามที่อิสตันบูลก็ดังขึ้น มันเป็นเสียงเพลง You'll Never Walk Alone ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแต่ละคนฮึกเหิมแค่ไหนเมื่อเสียงนั้นกระทบโสตประสาท ... แค่ตัวหนังสือก็ขนลุกแล้ว
เป้าหมายเล็กอย่างการสร้างโอกาสเข้าทำ มองเป้าที่ใกล้ตัวไว้ก่อนกลายเป็นเรื่องที่ดี เพราะทำให้นักเตะลิเวอร์พูลเล่นแบบไม่มองสกอร์ที่ห่างถึง 3 ลูก จะได้ไม่ท้อไปก่อน สุดท้ายพวกเขาเล่นเกมบุกแบบไม่กลัว มิลาน จะยิงเพิ่ม ลิเวอร์พูล สร้างโอกาสได้ 2-3 ครั้งตามที่ ราฟา บอก และจากนั้น สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตีไข่แตกหลังจากเริ่มครึ่งหลังได้ 9 นาที ... หลังจากนั้นเราไม่ต้องอธิบายอะไรต่อ ลิเวอร์พูล เล่นเหมือนคนที่มีปอด 3 ปอด ไล่บี้ มิลาน ที่เหนือชั้นในครึ่งแรกเป็นคนละทีม ก่อนปิดฉากด้วยชัยชนะในการดวลจุดโทษ กลายเป็นแมตช์สุดคลาสสิกตลอดกาลแมตช์หนึ่งของโลกลูกหนัง
เรื่องนี้อาจจะเหมือนการ์ตูนญี่ปุ่นกับคำคมประเภทที่ว่า "อย่ายอมแพ้" แต่มันเป็นแบบนั้นจริง ๆ สภาวะของจิตใจที่แข็งแกร่ง และความกระหายที่ยังอยากเอาชนะ คือเชื้อไฟสำคัญที่ทำให้เกมที่แทบไม่มีร่องมีรูเอาชนะมีโอกาสเปิดขึ้น ... เรื่องของ ลิเวอร์พูล อาจจะมีเวลาเยอะถึง 45 นาทีเพื่อตีเสมอ เราจะไปกันต่ออีกนิดเพื่อให้เห็นภาพสำหรับความสำคัญของสภาวะจิตใจในเกมที่สู้ไม่ได้แบบนี้
เราจะไปกันที่ค่ำคืนที่ คัมป์ นู ปี 1999 รายการเดียวกัน นัดชิงเหมือนกัน ... แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นแบบสู้ บาเยิร์น มิวนิค ไม่ได้เลยใน 90 นาที กลับมาพลิกชนะด้วยการยิง 2 ลูก ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ภายในเวลาแค่ 3 นาที นี่คืออีกเกมที่เหลือเชื่อที่สุดเกมหนึ่ง ที่เริ่มต้นด้วยการไม่ยอมแพ้
"เจ้านายบอกกับเราหลังเดินเข้าห้องแต่งตังตอนพักครึ่ง (ตามหลัง 0-1 ตั้งแต่นาทีที่ 6) ว่า ถ้วยยุโรปนี้จะอยู่ห่างจากคุณเพียง 6 ฟุตในตอนจบของวันนี้ ... ถ้าพวกแกเป็นฝ่ายแพ้แมตช์นี้ แกจะไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดที่จะสัมผัสมัน พวกแกพึงสังวรณ์ไว้เลยว่าถ้ากลับไปเล่นครึ่งหลังแล้วไม่ใส่จนหมดทั้งตัวและใจ อย่าได้คิดกลับมาสู้หน้ากับฉันในห้องแต่งตัวนี้อีก" อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกแบบนั้นจากปากของ เท็ดดี้ เชอริงแฮม
และอย่างที่รู้กัน แค่ผู้จัดการทีมไม่ยอมแพ้ และเขาคนนั้นสามารถบิลด์นักเตะในทีมได้ ทุกอย่างก็เข้าเรื่อง คุณฝังความเชื่อว่ายังไม่แพ้ ยังมีโอกาสให้กับพวกเขา และพวกเขาจะแสดงแบบนั้นในสนาม เหมือนกับที่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ฮีโร่ในเกมนั้นยอมรับว่า เมื่อได้ฟังสิ่งที่ เฟอร์กี้ พูด เลือดในตัวเขาก็สูบฉีดและอยากลงไปเอาชนะมากแค่ไหน
"เราเชื่อมั่นในตัวเอง สิ่งนี้ทำให้เรื่องต่าง ๆ มันเกิดขึ้นได้ แน่นอนที่สุดว่าผมไม่คิดว่ามันจบแล้ว ผมมองเห็นโลกอีกด้าน ผมมองว่าพวกเขา (บาเยิร์น) ก็กำลังเหนื่อย ผมนั่งดู คิดและวิเคราะห์ และผมมองว่าถ้าได้ลงผมมีโอกาสที่จะทำประตูได้" โอเล่ บอกแบบนั้น ก่อนที่สุดท้าย เชอริงแฮม และเขาจะยิงคนละลูก พลิกกลับมาคว้าแชมป์แบบสุดคลาสสิก
ประโยคคลาสสิกประโยคหนึ่งในโลกของฟุตบอลคือ "Winning is a State of Mind" (จุดเริ่มการชนะคือสภาวะของจิตใจ) ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าคุณสู้ด้วยวิธีการ หรือฝีเท้าไม่ได้ มันไม่ได้หมายว่าคุณต้องเป็นผู้แพ้ 100% มันต้องมีสักวิธีที่จะเป็นโอกาสให้คุณได้เข้าวิน และเบื้องต้นใจคุณต้องเอาก่อน ซึ่งถ้าใจคุณเอา ต่อให้คุณใช้แท็คติกมวยวัด คุณก็สามารถคว่ำแชมป์มวยโลกได้ ... เพียงแต่ว่ามันต้องมีส่วนอื่นมาประกอบด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสที่มาจากจิตใจที่ไม่ยอมแพ้นี้
มวยวัด ไม่ใช่ความมั่ว หรือไม่ใช่ความฟลุก
ถ้าบอกว่าใช้แต่ใจก็ชนะแล้ว ก็คงเป็นอะไรที่เว่อร์เกินความจริง เพราะในฟุตบอลระดับโลกแบบนี้ ทุกอย่างไม่มีคำฟลุก และคำว่าโชคดีก็ไม่มีอยู่จริง มันอาจจะเป็นเสี้ยวหนึ่งของการซ้อมในอดีตจนถึงปัจจุบัน ผสมกันออกมาเป็นวิธีการเล่นที่เหมือนจะวัดไปมั่ว ๆ แต่ลึก ๆ แล้วพวกเขาก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักวิธีการเล่นแบบนี้เลย
กลับมาในเกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ ลิเวอร์พูล 4-3 อีกครั้ง การเล่นในแบบที่ ยูไนเต็ด เริ่มเล่นในช่วงราว ๆ 10 นาทีสุดท้ายของเกม 90 นาทีแรก เป็นการเปิดเกมรุกเต็มสูบ บรูโน่ แฟร์นันด์ส กับ คริสเตียน เอริกเซ่น มาช่วยกันยืนในแนวหลังเหมือนเป็นเซ็นเตอร์แบ็ก เพื่อออกบอลไปข้างหน้าให้ได้มากที่สุด ... ถามว่าเรื่องนี้มั่วหรือไม่ ? แน่นอนว่าระดับนี้ไม่มีมั่วอยู่แล้ว เพียงแต่อาจจะมีการใช้จินตนาการมากเป็นพิเศษ
เทน ฮาก นั้นอยู่กับนักเตะมาเกือบ 2 ปี เขาย่อมรู้จุดแข็งจุดอ่อนของนักเตะแต่ละคน บรูโน่ กับ เอริกเซ่น 2 คนที่ออกบอลดีที่สุด เอามาใช้งานตรงกับศักยภาพในช่วงเวลาที่เหลือจำกัดจำเขี่ย ด้วยการมาเล่นด้านหลัง พื้นที่ที่พวกเขาทั้ง 2 คนจะมีเวลาได้คิด ได้เล็ง ได้มอง อย่างน้อย ๆ มากขึ้น อาจจะเพียงเสี้ยววินาที แต่แน่นอนว่าในเกมระดับนี้ เสี้ยววินาทีก็มากพอแล้วสำหรับนักเตะในระดับนี้
หันกลับไปมองที่แดนหน้า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ขึ้นไปยืนข้างหน้าเพื่อเล่นลูกโด่งในจังหวะแบบนี้ แน่นอนว่ามันเป็นเหตุเป็นผล เขาอาจจะเชื่องช้า แต่ความสูงใหญ่ไม่เป็นรองใคร เขาลงมาทีหลังใคร พละกำลังการกระโดดเหนือกว่า เฟอร์กิน ฟาน ไดค์ หรือ จาเรลล์ ควอนซาห์ ที่เล่นมา 90 นาทีแน่นอน ซึ่งการมีแม็คไกวร์ไปค้ำอยู่ข้างหน้า ก็ไม่ได้หมายความว่า ยูไนเต็ด จะเล่นแบบ Hit and Hope หรือโยนให้เขาโหม่งอย่างเดียว
แต่วิธีการที่ใช้คือการเล่นแบบไดเร็กต์แบบที่ทีมพยายามจะทำมาตลอดในช่วงหลัง ๆ ยัดบอลขึ้นไปข้างหน้าเมื่อมีโอกาส ไม่ว่าจะบอลเรียดหรือบอลโด่ง และต่อให้เสียก็ไม่เป็นไร เพราะข้างบนมีตัวรุกมากพอจะไปรุมแย่งคู่แข่ง แม้เรื่องระบบการวิ่งเพรสซิ่งจะเป็นรอง แต่ก็เอาจำนวนคนที่วิ่งใส่ที่มากกว่า และนักเตะที่ฟิตกว่าเข้าสู้ (ลิเวอร์พูล เล่นกลางสัปดาห์ในแมตช์ ยูโรป้า ลีก ด้วยทีมเกือบชุดใหญ่) ถ้ารุมแล้วแย่งไม่ได้ก็สุดแท้แล้วแต่ดวง ว่าลิเวอร์พูล จะสวนคมจนยิงประตูฝังพวกเขาได้หรือไม่
แต่ถ้าลิเวอร์พูล ยิงไม่ได้ และบังเอิญว่าการรุมแย่งกันของ ยูไนเต็ด สำเร็จผล พวกเขาก็ได้เล่นเกมบุกต่อเนื่องในแดนของลิเวอร์พูลอีกครั้ง ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก ซึ่งในเกมเมื่อคืนมันเป็นแบบนั้น นักเตะลิเวอร์พูล ก็มีพลาดให้เห็น จึงทำให้วิธีการเล่นของแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ไมได้ซับซ้อนอะไรมากแสดงผลออกมาได้ยอดเยี่ยม จนกระทั่งได้ประตูจากการตัดบอลกลางทางถึง 2 ลูก
ว่าง่าย ๆ แท็คติกมวยวัด เป็นของที่กุนซือทุกคนมีอยู่กับตัว พวกเขารู้ดีว่านักเตะของตัวเองทำอะไรได้บ้าง ดังนั้นในช่วงเวลาน่าสิ่วหน้าขวาน พวกเขาก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง ตามสิ่งที่พวกเขาคิด หรือที่พวกเขาเคยเห็นมาในสนามซ้อม ... ไม่มีอะไรต้องกลัว เพราะในช่วงเวลาแบบนี้พวกเขาไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
เพียงแต่กุนซือแต่ละคนก็จะมีวิธีเล่นมวยวัดแตกต่างกันไป ลิเวอร์พูล เองก็เคยเอา ฟาน ไดค์ มาเล่นกองหน้าในตอนที่ต้องการประตูอยู่บ่อย ๆ การใส่นักเตะเกมรุกเกินครึ่งทีมอยู่ในสนาม มันหมายถึงการเปิดเกมรุกเต็มรูปแบบ ที่ทุกทีมพร้อมจะทำในเวลาที่ต้องการประตูถึงขีดสุด จะเข้าทำแบบไหนก็ช่าง พวกเขาไม่สน เพราะสิ่งที่ต้องการคือการส่งบอลสู่ก้นตาข่ายให้ได้เท่านั้น
ส่วนโค้ชแต่คนจะถนัดแบบไหนก็สุดแท้เท่าที่นักเตะที่พวกเขามีในมือ เอากองหลังมาเป็นกองหน้าเพื่อเล่นลูกโด่ง เอาปีกมาเป็นแบ็กเพือใช้เปิดบอลมากขึ้น และใช้ความเร็วช่วยในเวลาที่โดนสวนกลับ เอาเพลย์เมคเกอร์มายืนหลังสุดเพื่อเล่นเหมือนกับควอเตอร์แบ็กในอเมริกันฟุตบอล มองดูแล้วก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียวใช่ไหมล่ะ ?
สุดท้ายแล้วเมื่อความกระหายอยากได้ประตูของนักเตะในสนามทั้ง 11 คน กับรูปแบบที่ไม่เกี่ยงวิธีการ เอาจุดแข็งของแต่ละคนมาเล่นแบบไม่กลัวเสีย สุดท้ายเอารวมกับการโดนกระตุ้นทาจิตวิทยา การใส่คาแร็คเตอร์สร้างภาพเสมือนเพื่อให้เกิดความฮึกเหิมถึงขีดสุด คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้บ่อยครั้งเราได้เห็นทีมที่สู้ไม่ได้ตั้งนานสองนานกลับมาเป็นฝ่ายพลิกเกมเหมือนกับเอาคนละทีมมาลงเล่นอยู่บ่อย ๆ
แน่นอนต้องไม่ลืมว่าเมื่อคุณเสี่ยงถึงขีดสุด คุณก็ต้องพร้อมจะรับผลของมันให้ได้เช่นกัน มีไม่น้อยที่เราได้เห็นบอลรองเปิดหน้าแลก เปิดตำรามวยวัด แต่สุดท้ายพวกเขากลับเละเทะมากขึ้น แพ้ขาดเยอะขึ้นหลายประตูก็มีให้เห็นมาแล้ว
เพราะโลกนี้ความบังเอิญ ความโชคดี และความฟลุกไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างล้วนมีเหตุผลซ่อนอยู่เสมอเพียงแต่คุณจะหาเหตุผลนั้นเจอหรือไม่ โลกฟุตบอลก็เช่นกัน ทุกตำราทุกแท็คติกล้วนผ่านความคิดวิเคราะห์มาแล้วทั้งสิ้น
ดังนั้นการใช้คำว่า "เสน่ห์ของฟุตบอล" คงจะเป็นการจบเรื่องนี้แบบคลาสสิกที่สุดแล้ว
แหล่งอ้างอิง
https://bleacherreport.com/articles/1635129-12-greatest-underdog-stories-in-world-football-history
https://www.liverpoolfc.com/news/first-team/185665-the-players-how-we-won-it-in-2005
https://www.uefa.com/uefachampionsleague/news/025d-0f782b45c942-3e20b8c30dfa-1000--miracle-of-istanbul-2005-champions-league-final-in-the-w/
https://www.theguardian.com/football/gallery/2010/mar/24/manchester-united-bayern-munich-1999
https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/jurgen-klopp-faces-major-virgil-26636218
https://www.theguardian.com/football/2023/nov/10/erik-ten-hag-calls-on-harry-maguire-to-step-up-and-lead-manchester-united