Feature

ควิวีน เคลเลเฮอร์ : กองหน้าเก่าสู่ "ประตูมือ 2 ที่ดีที่สุดในโลก" สำหรับ เยอร์เก้น คล็อปป์ | Main Stand

เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ อาจจะเป็นคนโหม่งประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ในเกม คาราบาว คัพ นัดชิงชนะเลิศ ฤดูกาล 2023-24 แต่เชื่อว่าทุกคนต่างยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า ควิวีน เคลเลเฮอร์ ผู้รักษาประตูของ ลิเวอร์พูล ในวันนั้น คือหนึ่งในคนสำคัญที่สุดในการตัดเเชมป์ฟุตบอลรายการนี้ 

 

การเซฟรัว ๆ นับครั้งไม่ถ้วน ไม่ว่าจะไกลหรือจะจ่อแค่ไหน ทำเอาเราคิดว่าบางทีเขาคนนี้อาจจะเป็นคนที่เหมาะสมที่จะรับมือ 1 ของหงส์แดงต่อหากถึงวันที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ ต้องออกจากทีมไป 

แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ไม่ง่ายเลย เคลเลเฮอร์ เป็นเหมือนคนที่ถูกมองข้ามมาตลอดตั้งแต่ยังเป็นเด็ก สิ่งที่เขาไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้เขาเป็นคนที่มีความมั่นใจได้มากแบบที่เขาแสดงออกมาในทุกวันนี้ ? 

และนี่คือเรื่องราวทั้งหมดของเขา ติดตามไปพร้อมกับ Main Stand

 

เด็กนี่ไม่ธรรมดา 

ในช่วงพรีซีซั่นฤดูกาล 2018-19 เยอร์เก้น คล็อปป์ พาลูกทีม ลิเวอร์พูล บินไปเก็บตัวที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งช่วงพรีซีซั่นนั้นถือเป็นหนึ่งในช่วงที่แฟนบอลรอคอย เพราะสโมสรจะเริ่มปล่อยนักเตะเยาวชนลงเล่นร่วมกับนักเตะชุดใหญ่ ที่เราจะได้เห็นว่าใครมีแววบ้าง และในพรีซีซั่นครั้งนั้น ควิวีน เคลเลเฮอร์ นายทวารดีกรีเยาวชนทีมชาติไอร์แลนด์ ได้เป็น 1 ในนั้น

คล็อปป์ ใช้งานเขาในเกมที่เอาชนะ แมนฯ ซิตี้ 4-1 และ ชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด 2-1 ซึ่งย้อนกลับไปในตอนนั้น แฟนบอลเองอาจไม่ได้โฟกัสเรื่องฟอร์มการเล่นหรือศักยภาพของของ เคเลเฮอร์ มากนัก แต่กับ คล็อปป์ นั้นแตกต่าง เพราะเขาให้สัมภาษณ์หลังเกมว่าแม้ทีมของเขาจะมี อลีสซง เป็นมือ 1, อาเดรียน เป็นมือ 2 แต่เด็กหนุ่มชาวไอริชคนนี้จะอยู่ในทีมของเขาแน่นอน 

"เขามีพรสวรรค์ที่โดดเด่นมากจากที่ผมเห็น เขาเล่นบอลด้วยเท้าได้ดี ในเกมพรีซีซั่นเขาเล่นต่อหน้าคนดูเป็นแสน ๆ คน แต่เชื่อไหมผมสังเกตุว่าเขาไม่ได้แสดงความวิตกผวาอะไรออกมาเลย นักเตะวัยรุ่นน้อยคนจะมีคุณสมบัติแบบนี้ ผมมั่นใจว่าถ้าไม่ได้เกิดเรื่องร้ายแรงกับเขา รับรองได้ว่าเด็กคนนี้มีอนาคตที่มหัศจรรย์รออยู่แน่ ๆ" คล็อปป์ กล่าว

ก็อย่างที่คุณเห็น เคลเลเฮอร์ กลายเป็นประตูที่ คล็อปป์ กล้าไว้ใจและใช้งานในเกมนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งปกติกุนซือบางคนไม่ทำแบบนี้ เพราะต่อจะให้ใช้โกลสำรองมาตลอดรอบก่อนหน้า แต่มาถึงรอบชิงที่ชี้เป็นชี้ตายระดับก้าวเดียวได้ถ้วย พวกเขาจะไว้ใจโกลมือ 1 มากกว่า แต่สำหรับ คล็อปป์ บทสัมภาษณ์เมื่อ 4 ปีก่อนที่อเมริกา แสดงให้เห็นว่าเขารู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า เคลเลเฮอร์ เอาอยู่ และการให้ใจนักเตะ คือสิ่งที่เขายึดถือมาเสมอ 

เคลเลเฮอร์ กลายเป็นฮีโร่ในนัดชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ 2 ทั้งครั้งล่าสุดของ ลิเวอร์พูล ทักษะรอบด้านทั้งการประคองสติตัวเองในเกมใหญ่ การเซฟช็อตสำคัญ และการออกบอลด้วยเท้า แสดงให้เห็นว่า เขาพร้อมมาก ๆ กับความกดดันในการเป็นผู้รักษาประตูของทีมใหญ่ 

เด็กที่พร้อมขนาดนี้น่าจะผ่านการเล่นในอคาเดมี่ดี เรียนรู้กับโค้ชประตูระดับแถวหน้า และเติบโตมาในแบบที่สร้างความมั่นใจเต็มรูปแบบ ทว่าเรื่องจริงนั้นมันตรงกันข้ามเลยทีเดียว

 

ต้นกำเนิดของ เคลเลเฮอร์ 

ควิวีน เคเลเฮอร์ นั้นเกิดและโตในเมือง คอร์ก ที่ประเทศไอร์แลนด์ ผู้คนที่นี่บ้าฟุตบอล แต่ระดับฟุตบอลลีกในประเทศไอร์แลนด์นั้นไม่ได้สูงมาก ไม่มีทีมไหนที่โดดเด่นขึ้นมาในระดับยุโรป ไม่มีสโมสรไหนที่มีระบบอคาเดมี่ปั้นยอดนักเตะมาติดแถวหน้าของโลกได้สม่ำเสมอ แล้ว เคเลเฮอร์ เติบโตมาแบบไหนกัน ? 

จริง ๆ แล้วก่อนจะมาเป็นประตู เขาเล่นกองหน้ามาตั้งแต่จำความได้ โดยช่วงเวลาตอนอายุ 13-14 ปี เขาถือเป็นกองหน้าที่เก่งที่สุดของทีมที่ชื่อว่า มาริงมาห์น เรนเจอร์ส ... ถ้าถามว่าเก่งขนาดไหนในระดับมาตรฐานลีกไอร์แลนด์ ก็ต้องบอกว่าเป็นกองหน้าในระดับที่ยิงได้ปีละ 30-40 ลูกทุกซีซั่น นั่นและคือจุดเริ่มต้นด้านฟุตบอลของเขา 

"เด็ก ๆ ของเรามีหลายคนมาก แต่มีไม่กี่คนที่ตอนนั้นพวกเขาพร้อมที่จะหาสโมสรเล่นในอังกฤษ เคเลเฮอร์ ก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะเขายิงให้เราปีละ 30 ลูก นั่นคือภาพจำในวัยเด็กที่ผมมีต่อเขา ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนมาเล่นเป็นผู้รักษาประตูตอนอายุ 14 ปี" ฌอน ฟิตซ์เจอรัลด์ ทีมงานของสโมสร มาริงมาห์น เล่าถึงวัยเด็กของ เคเลเฮอร์ 

ทำไมต้องเป็นผู้รักษาประตู ? หลายคนอาจกำลังคิดถึงคำถามนี้ หลัก ๆ แล้วเรื่องมันมีอยู่ว่าเด็ก ๆ ชาวไอริช จะต้องพยายามถีบตัวเองมาเล่นในอังกฤษให้ได้ หากอยากจะมีอาชีพที่ดีในฐานะนักฟุตบอลคนหนึ่ง และนักเตะตำแหน่งกองหน้าในลีกไอร์แลนด์ ยากที่จะสู้กับเด็กจากอคาเดมี่แถวหน้าของอังกฤษได้ มันเป็นเช่นนั้นเสมอ

สิ่งที่เด็ก ๆ ต้องทำตอนถึงช่วงอายุ 12 ปี ขึ้นไปคือการหาตำแหน่งที่เหมาะที่สุดกับตัวเอง และเป็นตำแหน่งที่จะไปต่อได้เมื่อย้ายไปอยู่อังกฤษ เคเลเฮอร์ เองก็ต้องพยายามหาที่ยืนให้ตัวเองเหมือนกัน การเป็นกองหน้านั้นยากจะเบียดเด็กท้องถิ่นของอังกฤษได้ ทีมงานของสโมสรท้องถิ่นอย่าง มาริงมาห์น จึงพยายามเลือกตำแหน่งใหม่ให้กับเขา ซึ่งมาลงเอยที่ผู้รักษาประตู เนื่องจากเป็นเด็กตัวใหญ่ มีความโดดเด่นเรื่องทักษะทางอารมณ์ เกลียดความพ่ายแพ้ เป็นผู้นำโดยสัญชาตญาณ เเละเหนือสิ่งอื่นใด ประวัติทางพันธุกรรมของเขาดูดีมากรุ่นปู่และรุ่นพ่อของเขาเป็นคนตัวใหญ่ สูงเฉลี่ยใกล้ 190 เซนติเมตร มันคือการซื้อนาคตที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน

ในสายตาของเหล่าโค้ชที่เห็น เคเลเฮอร์ มาตั้งแต่ 5 ขวบบอกว่า ผู้รักษาประตูเป็นตำแหน่งที่เหมาะกับเขาที่สุด และเมื่อถูกสั่งเปลี่ยนตำแหน่ง ดูเหมือนว่า เคเลเฮอร์ จะจัดการกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้เป็นอย่างดี 

ไมเคิล ค็อตเตอร์ ที่โค้ชที่ทำหน้าที่อยู่ในสโมสรมาตั้งแต่อายุ 20 ปี จนปัจจุบันอายุเข้าสู่วัยเกษียณ คือ 1 ในคนที่ตัดสินใจเรื่องนี้ เขาอธิบายถึง เคเลเฮอร์ว่า "เด็ก ๆ ส่วนใหญ่เป็นเหมือนกันคือสุดเหวี่ยงเมื่อทีมเป็นฝ่ายชนะ แต่กับ ควิวีน เขาไปลึกกว่านั้น ชัยชนะคือสิ่งที่เขาหลงไหล เวลาแพ้เขาก็จะเกลียดมันมาก ๆ ปกติแแล้วเขาเป็นคนเงียบ ๆ ในนอกสนาม แต่ถ้าสถานการณ์ในสนามเริ่มดี เขาโดนยิง หรือทีมโดนนำ เขาจะเป็นคนแรกที่เริ่มเปล่งเสียงออกมาสั่งการเพื่อนร่วมทีม ไม่ว่าจะเห็นอะไรในสนามเขาพูดออกมาหมด นั่นแหละเหตุผล" 

ไม่ใช่โค้ชเท่านั้น เรย์มอนด์ เคเลเฮอร์ พ่อของ ควิวีน ยังเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยตัดสินใจเรื่องนี้ด้วย เพราะในตอนแรกทีมก็สับสนว่าจะปั้น เคลเลเฮอร์ ให้เล่นตำแหน่งอะไรดีกว่ากันระหว่าง เซ็นเตอร์แบ็ก และ ผู้รักษาประตู จากทักษะการอ่านเกม ตัวใหญ่ และการออกบอลจากแนวหลังด้วยความกล้าและใจเย็น ซึ่งสองตำแหน่งนี้ต้องการคุณสมบัติที่ว่ามาเหมือนกัน สุดท้ายพ่อของเขาที่เห็นลูกชายกลับมาซ้อมที่บ้านต่อทุกวัน ก็พบว่า ควิวีน อินกับการเป็นผู้รักษาประตูมากกว่า เขาจึงโทรไปคุบกับทีมโค้ช ทุกฝ่ายก็บอกว่า คำตอบสุดท้ายคือการเป็นผู้รักษาประตู 

คนที่มองทุกอย่าง เห็นทุกอย่าง และพูดทุกอย่าง จะลงตัวกว่าหากได้ยืนอยู่หน้าปากประตู แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เคเลเฮอร์ โดนส่งไปทดสอบฝีเท้าที่อังกฤษโดยมีรายงานว่าไปทดสอบกับทีมอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, แอสตัน วิลล่า และ ลิเวอร์พูล พร้อมกับนักเตะอีก 2-3 คนของทีม จนกระทั่งสุดท้าย เคเลเฮอร์ ก็ไปไกลกว่าทุกคน ในปี 2015 เขาได้สัญญาเยาวชนจากสโมสร ลิเวอร์พูล 

ตอนแรกทีมเยาวชน ลิเวอร์พูล มองว่า เคลเลเฮอร์ ผอมเกินไป เทียบกับมือ 1 ของทีมเยาวชนในตอนนั้นอย่าง คามิล กบราบารา ที่สูงถึง 195 เซนติเมตร แต่อย่างที่บอกทักษะการสังการและการมองเห็นเกม ทำให้ เคเลเฮอร์ ได้สัญญา โดยที่ มาริงมาห์น ได้ค่าตอบแทนเล็กน้อย พร้อมกับที่ ลิเวอร์พูล จะช่วยลงทุนอัปเกรดอุปกรณ์ในศูนย์ฝึกของสโมสร มาริงมาห์น ให้เพิ่มเติมด้วย 

หลังจากได้สัญญา เคเลเฮอร์ พัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว อย่างที่ใครหลายคนเคยพูด ในวงการฟุตบอล "ร่างกายสามารถฝึกให้แข็งแกร่งขึ้นได้ แต่เซ้นส์คือสิ่งที่สอนกันไม่ได้" คำนี้อธิบายถึงการแข่งขันกันระหว่าง เคเลเฮอร์ กับ กราบาร่า ได้เป็นอย่างดี เพราะ เคเลเฮอร์ ใช้เวลาแค่ปีกว่า ๆ นั้น เขาก้าวนำหน้า กราบาร่า ขึ้นมาเป็นดาวเด่นในทีมเยาวชนได้สำเร็จ

ระบบการคัดสรรของ ลิเวอร์พูล มีความเข้มข้นและส่งต่อกันโดยโค้ชหลายคน จนกว่าจะถึง เยอร์เก้น คล็อปป์ โดยหลักการคร่าวๆ คือ นักเตะคนนั้นจะต้องมีความพร้อมแล้วทั้งร่างกาย, จิตใจ ตลอดจนทักษะฟุตบอลที่ไม่ต้องสอนกันเพิ่ม เพราะเมื่อขึ้นชุดใหญ่ จะเป็นการใส่เรื่องแท็คติกและรายละเอียดในแต่ละเกมมากกว่าการจ้ำจี้จ้ำไชไปที่นักเตะคนเดียว วิเตอร์ มาตอส โค้ชพัฒนาเยาวชน จะส่งรายชื่อคนที่พร้อมให้กับ เป๊ป ไลจ์นเดอร์ส ผู้ช่วยของ คล็อปป์ และจากนั้น คล็อปป์ จะตัดสินใจว่าเขาจะใช้งานเด็กคนนี้อย่างไร ในวันที่เขาพร้อมสำหรับชุดใหญ่ ซึ่งสำหรับ เคลเลเฮอร์ เขาได้ซ้อมร่วมกับทีมชุดใหญ่ตอนอายุ 18 ปี ก่อนที่จะทัวร์อเมริกาดังที่กล่าวในข้างต้น 

อ่าน > เติบโตแบบ แบร์ดลี่ย์  : เบื้องหลังการสร้างดาวรุ่งฉบับ ลิเวอร์พูล ที่แพชชั่นจัดเต็มเน้นความเป็นมนุษย์

 

พิสูจน์กันหน่อย 

ในช่วงที่ขึ้นมาใหม่ ๆ เคลเลเฮอร์ เหมือนขึ้นมาเป็นโกลดาวรุ่งที่ขึ้นมาซ้อมกับทีมชุดใหญ่เป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่าการที่เขาถูกหยิบขึ้นมาซ้อมกับรุ่นพี่ก็เพราะว่าโค้ชเห็นแววว่าเขาพอจะพัฒนาไปต่อได้ 

หนึ่งในนักเตะที่ได้ซ้อมยิงผ่าน เคลเลเฮอร์ มากที่สุดคือ แดเนี่ยล สเตอร์ริจด์ ซึ่ง สเตอร์ริดจ์ เล่าวันวันที่ เคเลเฮอร์ มาซ้อมด้วย มีการรับน้องกันตามธรรมเนียม ไม่ว่าจะเป็นการพูดแซว ข่มขวัญตอนซ้อม และการแกล้งกันบ้างตามประสา แต่สิ่งที่ สเตอร์ริดจ์ บอกคือ เคลเลเฮอร์ โดนเเกล้งเท่าไหร่ก็ไม่เห็นจะสะทกสะท้านเหมือนกับดาวรุ่งคนอื่น ๆ ที่บางที หลุดไปเลยก็มี 

"โค้ชประตูส่ง ควิวีน ขึ้นมาให้พวกเราซ้อมยิง ตอนนั้นพวกผมพากันจัดหนักรับร้องเลย ล้อเลียนเขาบ้าง อำเรื่องต่าง ๆ บ้าง ดังนั้นเมื่อมาเห็นเขาตอนนี้มันน่าเหลือเชื่อมาก ๆ" สเตอร์ริดจ์ กล่าวหลังจบเกมคาราบาว คัพ นัดชิงที่ผ่านมา 

"เมื่อคุณได้เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินช้า ๆ อย่างมั่นคง จนก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ เราภูมิใจมากที่ได้ซ้อมกับเขา ... ถ้าถามว่าผมแปลกใจไหมที่เขามาเป็นเขาทุกวันนี้ คำตอบคือ แน่นอน มันต้องใช้คำนั้นเลย"

"ตอนแรกเขาตัวเล็กกว่านี้มาก แต่เวลาผ่านไปตอนนี้เขาตัวใหญ่ขึ้นมากเลย ส่วนวิธีการเซฟนั้นผมไม่สงสัย หมอนี่เก่งตั้งแต่ตอนซ้อมด้วยกันเเล้ว ความกล้าในการเข้าหาแและเข้าปะทะคือจุดเด่น แค่ตอนนั้นเขายังเด็กเลยดูอ่อนแอไปนิดหน่อยแค่นั้นเอง" ดูเหมือนว่าสิ่งที่โค้ชทีมเยาวชน มาริงมาห์น วิเคราะห์ไว้จะแม่นใช้ได้เลยทีเดียว 

คล็อปป์ เองก็ดูจะเห็นคล้ายกับ สเตอร์ริดจ์ เพราะเมื่อวันที่ เคลเลเฮอร์ กระดูกแข็งขึ้น เขาค่อย ๆ ใช้งานนักเตะรายนี้มากขึ้น จากที่เคยเป็นมือ 3 รองจาก อลีสซง และ ซิมงต์ มินโญเล่ต์ ในตอนคว้าถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อฤดูกาล 2018-19 ก่อนเป็นมือ 3 ต่อจากมือสองคนใหม่อย่าง อาเดรียน ในฤดูกาลถัดมา เคลเลเฮอร์ ก็เริ่มมีเกมในบอลถ้วยมากขึ้น จนกระทั่งที่สุดแล้วเมื่อเขาเติบโตเต็มที่ทั้งร่างกายและทักษะ เขาก็ขึ้นมาเป็นมือ 2 ของทีมอย่างเป็นทางการ 

สุดท้าย คล็อปป์ ก็ทำการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุด นั่นคือการส่ง เคลเลเฮอร์ ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศ คาราบาว คัพ ฤดูกาล 2021-22 ซึ่งในเกมนั้น เคเลเฮอร์ ตอบแทนด้วยการเซฟประตูมากมาย และปิดท้ายด้วยการยิงจุดโทษตามแบบฉบับกองหน้าเก่า เมื่อการดวลจุดโทษยืดเยื้อจนถึงคนที่ 11 หลังจากวันนั้น คล็อปป์ หมดคำถามถึงขั้นที่บอกว่า "เขาคือผู้รักษาประตูมือ 2 ที่ดีที่สุดในโลกเลยทีเดียว"

"แม้จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพก็ต้องมีอารมณ์อ่อนไหวเหมือนคนทั่วไปนี่แหละ ควิวีน เคลเลเฮอร์ เป็นเด็กหนุ่ม และการจะได้ลงเล่นในทุกรายการนั้นเป็นเรื่องยากนะ คำถามคือผมต้องทำอย่างไร ?" คล็อปป์ กล่าวถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญของเขา 

"ผมเป็นอยู่สองอย่างคือผู้จัดการทีมมืออาชีพ และเป็นมนุษย์คนหนึ่ง สุดท้ายแล้ว ความเป็นมนุษย์ชนะ เขาสมควรได้รับโอกาสนี้ ที่สนามซ้อมเรามีกำแพงที่มีชื่อของผู้รักษาประตูที่เคยคว้าแชมป์อยู่บนนั้น และชื่อของ ควิวีน ไปอยู่ตรงนั้นได้แล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เขาควรได้รับ มันยอดเยี่ยมจริง ๆ" 

ในวันที่เจ้านายเชื่อมั่น เคลเลเฮอร์ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ในปีนี้เขามีโอกาสลงเล่นมากขึ้นทั้งในเกมลีก เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของ อลีสซง ได้แบบสบาย ๆ ในช่วงที่มือ 1 ชาวแซมบ้าไม่พร้อมลงสนาม และราศีของเขาพุ่งไปอีกจากฟอร์มในเกมกับ เชลซี นัดชิง คาราบาว คัพ 2023-24  ซึ่งหลังเกมเขาตอบกลับว่า "คล็อปป์ มอบความเชื่อมั่นให้กับผม" ซึ่งนั่นเองเป็นการเริ่มต้นเส้นทางการพัฒนาตัวเองจนมาถึงจุดนี้ 

เด็กหนุ่มจากคอร์ก อดีตกองหน้าที่เปลี่ยนตำแหน่งเพียงเพราะต้องการโอกาสในอาชีพค้าแข้ง แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายและความมุ่งมั่นนั้นสำคัญขนาดไหน ตอนให้บางครั้งเราจะเดินทางด้วยยานพาหนะที่แตกต่าง (เปรียบเทียบกับตำแหน่งการเล่น) แต่ถ้าไม่หยุดพัฒนาตัวเอง เชื่อมั่นใจความสามารถ และกล้าที่แสดงตัวตนออกมา ก็สามารถไปถึงเส้นชัยได้เหมือนกัน 

 

แหล่งอ้างอิง

https://theathletic.com/2224677/2020/12/03/caoimhin-kelleher-cork-liverpool/
https://www.goal.com/en/news/who-is-liverpool-goalkeeper-caoimhin-kelleher-the-irish-wonderkid-eager-to-make-waves-at-anfield/f6ndnb6bn63f128qrkccpjgor
https://rushthekop.com/2023/07/18/kelleher-curious-case-liverpool/
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-10548057/Liverpools-No-2-Caoimhin-Kelleher-journey-looks-set-start-Carabao-Cup-final.html
https://www.balls.ie/football/caoimhin-kelleher-daniel-sturridge-588935
https://tribuna.com/en/news/liverpoolfc-2020-12-02-how-fathers-call-dramatically-changed-caoimhin-kellehers-career-explained-by-his-former-y/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อภิสิทธิ์ โชติพิบูลย์ทรัพย์

Art Director ผู้รับเหมางานภาพกราฟิกหน้าปกบทความทุกชิ้น