ถ้าคุณได้ดูการถ่ายทอดสดเกม คาราวบาว คัพ ฤดูกาล 2023/24 นัดชิงชนะเลิศ คุณได้ยินคนพากย์พูดว่า "ติด ฟาน ไดค์" กี่ครั้ง ?
นี่คือคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ และเรามั่นใจว่าคุณเองก็น่าจะได้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ในเกมที่เขาแบกเกมรับ ไปจนถึงรับจบยิงประตูชัย
ไม่ว่าคุณจะต้องการเขาตอนไหน เขาจะไปอยู่ตรงนั้นเสมอ นี่คือเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังหายจากอาการบาดเจ็บยาวที่เอ็นไขว้หน้าเข่า จนถึงวันที่เขาเดินขึ้นรับถ้วยรางวัลในฐานะ "กัปตันทีม" ของ ลิเวอร์พูล
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดที่นี่กับ Main Stand
พี่ยักษ์ฟ้าถล่ม
ย้อนกลับไปสักปี 2019-2020 วันที่ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ ยังไม่ได้บาดเจ็บอย่างรุนแรงที่หัวเข่าจนต้องพักยาวเกือบปี เขาคือคนที่สร้างบรรทัดฐานใหม่ ๆ ให้กับกองหลังในยุคโมเดิร์นฟุตบอลอย่างแท้จริง
บ่อยครั้งที่ก่อนหน้านี้เราเถียงกันเรื่องกองหลังแบบตัวชน(Stopper) ต้องเล่นคู่กับกองหลังแบบตัวซ้อน (Cover) หรือไม่ ? แต่ในวันที่ ฟาน ไดค์ ปราการหลังชาวดัตช์เจ้าของค่าตัว 75 ล้านปอนด์ อยู่ในจุดพีก เขาคือคนที่คุณไม่ต้องไปตั้งคำถามเหล่านั้นเลย ฟาน ไดค์ ได้ทั้งสองแบบ จะชน หรือจะซ้อน จะยืนตัวซ้ายหรือยืนตัวขวา หรือแม้แต่จะยืนคู่กับกองหลังคนไหน เขาก็ไม่มีปัญหา ฟอร์มการเล่นของยังโดดเด่นเหมือนเดิม และยังทำให้คู่หูเซ็นเตอร์แบ็กอีกคนดูมีจังหวะจะโคนขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด
ไม่ว่าคุณอยากจะยอมรับหรือไม่ แต่ต้องยอมรับว่าในช่วงก่อนเจ็บ ฟาน ไดค์ คือหนึ่งในกองหลังที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่คุณจะนึกภาพออก ความเร็ว, ทักษะการอ่านเกมล่วงหน้า, ความแข็งแรงของร่างกาย, ไอคิวในการเล่นฟุตบอล, และความเป็นผู้นำ ฟาน ไดค์ มีทั้งนั้น และมีในระดับที่ว่า หากวัดเป็นกราฟก็พุ่งเกือบสุดกราฟทั้งหมด มันขนาดนั้นกันเลย
และถ้าสิ่งที่เราอธิบายไปก่อนหน้านี้ยังไม่ทำให้คุณเชื่อว่า ฟาน ไดค์ สมบูรณ์แบบที่สุดในยุคนั้น คุณน่าจะจำวันที่เขาโดน จอร์เเดน พิคฟอร์ด ผู้รักษาประตูมือ 1 ทีมชาติอังกฤษของ เอฟเวอร์ตัน เข้าปะทะที่เข่าในเกมพรีเมียร์ลีกนัด เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2020 จนพักยาวได้เป็นอย่างดี
นานมาแล้วที่จะมีนักเตะสักคนเป็นข่าวใหญ่เพราะอาการบาดเจ็บได้ขนาดนี้ ณ เวลานั้นมีการพูดถึงจนถึงขั้นที่ว่า "ลิเวอร์พูล เละแน่ถ้าไม่มี ฟาน ไดค์" … ประโยคนี้ชัดเจนเลยว่าทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของเขาที่มีต่อ ลิเวอร์พูล เป็นอย่างดี ยิ่งทุกคนพูดถึงเขาตอนที่ขาดหายไปจากทีมมากเท่าไหร่ นั่นก็หมายความว่าเขาเก่งกาจจนทำให้ใครหลายคนอดคิดถึงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการคิดถึงในแง่ของความเสียดายอาลัยอาวรณ์ หรือคิดถึงเขาเพราะรู้สึกดีใจที่ได้เห็นลิเวอร์พูลแกว่งในวันที่ไม่มีเขา
ไม่แปลกที่คุณจะคิดว่า ลิเวอร์พูล หรือ ฟาน ไดค์ จะไม่เหมือนเดิม เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยอมรับว่า ณ เวลานั้น เหมือนกับโลกถล่มใส่เขาทั้งใบเหมือนกัน
"หลังจากโดนหามจากเกมวันนั้น (กับ เอฟเวอร์ตัน) ผมเฝ้านับวันรอการอัพเดทอาการบาดเจ็บของผม และผมได้รับโทรศัพท์จากนักกายภาพประจำตัวและเขาบอกว่า เสียใจด้วยจริง ๆ เพราะจากนี้จะเป็นข่าวร้าย ... ไม่ต้องพูดอะไรต่อ แค่นี้โลกก็ถล่มแล้ว" ฟาน ไดค์ เล่าย้อนไป
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า ฟาน ไดค์ ทำอะไรบ้างหลังจากวั้น สโมสร ลิเวอร์พูล ส่งเขาเข้ารับการผ่าตัดกับ แอนดี้ วิลเลี่ยมส์ ศัลยแพทย์ที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลกที่กรุงลอนดอน และจากนั้นเขาก็ถูกส่งไปเข้ากระบวนการการพักฟื้นที่ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยไปพร้อมกับครอบครัว
สโมสรพยายามจะทำให้ทริปนี้เหมือนกับการไปเที่ยว เพราะพวกเขาเชื่อว่าการส่ง ฟาน ไดค์ ไปในที่ที่บรรยากาศอบอุ่น มีกิจกรรมให้ทำมากมายสำหรับครอบครัว จะทำให้ความสุขของคนในครอบครัวส่งต่อมายัง ฟาน ไดค์ และความสุขนี้จะทำให้การพักฟื้นของเขาดีขึ้น ... อย่างน้อย ๆ ก็ดีกว่าการตื่นมาในห้องพิเศษที่โรงพยาบาล กินอาหารรสชาติจืดชืด (แต่มีประโยชน์) และรอหมอ นักกายภาพ นักโภชนาการ เข้ามาคอยแนะนำภายในห้องสี่เหลี่ยม
"จากวันที่เหมือนกับโลกดับไป ผมได้เจอกับช่วงเวลาที่ดีที่สุดกับครอบครัวของผมที่นั่น (ดูไบ) ผมมีเวลาอันมีค่าร่วมกับครอบครัว สิ่งนี้ผมไม่เคยมีมานานหลายปี เราได้ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ ฉลองคริสต์มาส ฉลองปีใหม่ นั่นคือสุดยอดช่วงเวลาที่อยู่ที่นั่นเลยล่ะ" ฟาน ไดค์ กล่าว ย้อนความหลังจากเขาใช้เวลาพักไปนานถึง 9 เดือนเต็ม ๆ
การเอาชนะปีศาจ...ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา
ฟาน ไดค์ ใช้เวลาพักทั้งหมด 285 วัน หลังจากบาดเจ็บในเกมกับ เอฟเวอร์ตัน พลาดการลงสนามให้กับทั้งลิเวอร์พูลและทีมชาติเนเธอร์แลนด์มากกว่า 50 นัด ซึ่งรวมถึงศึกยูโร 2020 ที่แข่งเมื่อช่วงกลางปี 2021 อีกด้วย
นอกจากไปดูไบแล้ว ฟาน ไดค์ ยังตั้งใจทำงานอย่างหนักกับทีมศัลยแพทย์, นักกายภาพ, โค้ช และทีมงานทุกฝ่ายเพื่อให้ตัวเองหายเจ็บเร็วที่สุด โดยเกมแรกที่เขาลงเล่นเป็นเกมอุ่นเครื่องพรีซีซั่นฤดูกาล 2021/22 กับ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน และ ลิเวอร์พูล แพ้ไป 2-3
คุณสามารถรับรู้ได้เลยในช่วงแรก ๆ ที่เขากลับมา ว่าทุกสายตาจับจ้องมาที่เขามากที่สุด ในฐานะของคนที่พักเกือบปี แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ ฟาน ไดค์ ทำผิดพลาดให้หลายคนเห็น เราได้เห็นเขาในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิม แม้แต่มองด้วยตาเปล่า ไม่ใช้นักวิเคราะห์คุณก็น่าจะสัมผัสได้ถึงเรื่องนี้ เขาช้าลง เขาเล่นในจังหวะเข้าปทะที่เสี่ยงน้อยลง และแน่นอนว่าเขาไม่เนี้ยบเหมือนเดิม ... ความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกิดขึ้นเสมอ
แต่นั่นแหละ ... ในเมื่อนี่คือ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ นักเตะกองหลังเจ้าของสถิติ "ไม่เคยโดนใครเลี้ยงผ่าน" จะพลาดเล็กหรือพลาดน้อยไม่สำคัญ ทุกคนชอบทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เสมอ
ฟาน ไดค์ โดนปีศาจที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองหลอกหลอน ปีศาจที่ชื่อว่า "ยอดกองหลัง" ที่กลายเป็นไม้บรรทัดวัดฟอร์มของเขาในทุก ๆ วินาที ซึ่งแน่นอนว่า ฟาน ไดค์ เองก็มีช่วงที่โดนปีศาจตัวนี้หลอกจนออกอาการหลอนไปเหมือนกัน
"เขากำลังสู้กับตัวเอง ถ้ามองจากเรื่องของจิตวิทยาในนักฟุตบอลมันเป็นแบบนั้นเลย" แดนนี่ เมอร์ฟี่ย์ อดีตนักเตะ ลิเวอร์พูล กล่าว
"ฟาน ไดค์ ห่างจากระดับที่ตัวเขาเองเคยทำได้ตอนก่อนจะเจ็บ ตอนนั้นเขาคือ 1 ในเซ็นเตอร์แบ็กที่ดีที่สุดที่เราเคยเห็นมา แต่หลังจากผ่าตัดผมคิดว่าเขามีปัญหาทางจิตวิทยา มันเป็นอาการแหยง เขาเล่นแบบเซฟตัวเองมากขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ตัว มันเป็นไปเองตามสัญชาติญาณ แต่แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยู่ในจุดเดิม"
สิ่งที่ แดนนี่ เมอร์ฟี่ บอก ถูกยนืนยันด้วยสถิติที่ทางเว็บไซต์ Tribuna เก็บเอาไว้ โดยพวกเขาได้กางสถิติของ ฟาน ไดค์ ก่อนเจ็บ (2018-2020) กับหลังเจ็บ (2021-2023) และพบว่าสถิติ ฟาน ไดค์ ต่ำลงทุกอย่าง
อาทิ การเข้าปะทะ (ก่อน 0.99 ครั้ง/เกม, หลัง 0.86 ครั้ง/เกม) การตัดบอล (ก่อน 1.29 หลัง 1.27) ชนะการดวลบนพื้นตอนเล่นเกมบุก (ก่อน 1.96 หลัง 1.57), อัตราการเข้าปะทะสำเร็จ (ก่อน 91.6% หลัง 78.8%) ... นี่แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น พวกเขากางสถิติมา 10 สถิติ และไม่มีสถิติไหนที่ ฟาน ไดค์ ทำได้ดีกว่าตอนเขาก่อนเจ็บเลยแม้แต่ข้อเดียว
ลิเวอร์พูล ไม่ได้ทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีก ไม่ได้ทั้งแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หลังจากที่ ฟาน ไดค์ เจ็บ ... เรื่องนี้อาจจะเกินไปหน่อยเพราะฟุตบอลนั้นเป็นกีฬาประเภททีม และเราควรตัดสินทั้งหมดจากภาพรวม ... แต่ทำยังไงได้ล่ะ ? นี่คือ เฟอร์กิล ฟาน ไดค์ "ปีศาจแนวรับ" ที่ดีที่สุดในโลกเมื่อช่วงปี 2018-2020 ยิ่งสูง ยิ่งหนาว เรื่องจริงมันเป็นแบบนั้นมาเสมอ ซึ่ง ฟาน ไดค์ คิดอย่างไรกับเรื่องนี้น่ะเหรอ ?
ผมไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุดในโลก
ฟาน ไดค์ กับวัย 32 ปี ในปี 2024 สำหรับนักเตะตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กถือว่าเป็นวัยที่ไม่ได้มากเกินไปเลย นักเตะหลายคนมาเก่งเอาในช่วงอายุราว ๆ นี้ทั้งนั้น และดูเหมือนว่า ฟาน ไดค์ ก็มีช่วงเวลาที่กลับมาพีกอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะฆ่าปีศาจตัวเดิมที่เขาสร้างขึ้นไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้มันจะไม่สำคัญเเล้ว จากวันนั้นผ่านมาแล้ว 4 ปี ... ถ้าคุณทิ้งอดีตไม่ได้ คุณก็จะเดินไปข้างหน้าไม่ได้เช่นกัน
เรื่องนี้คุณต้องขอบคุณ เยอร์เก้น คล็อปป์ ยอดกุนซือชาวเยอรมันของลิเวอร์พูลที่ไม่เคยกดดัน ฟาน ไดค์ เกี่ยวกับเรื่องฟอร์มการเล่นเลย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ภายใต้ความจริงของโลกมนุษย์ ย้ำว่าโลกมนุษย์ ไม่ใช่แค่โลกของฟุตบอลเท่านั้น บทเรียนที่ว่าคือ "การอยู่กับปัจจุบัน" ให้ได้ นั่นแหละคือหัวใจของสัจธรรมชีวิตที่แท้จริง
หลักการนี้มีผลแค่ไหนไม่รู้ แต่ ฟาน ไดค์ เดินรอยตามแนวคิดนั้น เขาอายุมากขึ้น และสิ่งที่เพิ่มขึ้นคือประสบการณ์ เขาเอาจุดแข็งที่สุดของตัวเองมาใช้ นั่นคือลักษณะนิสัยของผู้นำ
อย่างที่คุณเคยได้ยินเพื่อนร่วมทีมหรืออดีตนักเตะพูดถึง ฟาน ไดค์ เสมอ สิ่งหนึ่งที่ทุกคนชมเขามากเป็นพิเศษ เผลอๆ จะมากกว่าเรื่องของร่างกายด้วยซ้ำ นั่นคือการจัดระเบียบเกมรับ ฟาน ไดค์ เปรียบเสมือนแม่ทัพ คอยออกปาก สั่งทุกคนที่เล่นเกมรับเสมอ ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตู, แผงแบ็กโฟร์ ไปจนกระทั่งนักเตะตำแหน่งอื่น ๆ ที่ถอยมาเล่นเกมรับ ฟาน ไดค์ รับจบได้หมด
แม้การถ่ายทอดสดกล้องจะจับภาพไปที่ฟุตบอลจนเราอาจจะไม่ได้เห็นภาษากายของ ฟาน ไดค์ ชัด ๆ แต่ทุกครั้งที่กล้องโคลสอัพมาที่เขา คุณจะได้เห็นเขาตะโกน ปรบมือกระตุ้น ชี้มือไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของสนาม และการคุยกับเพื่อนร่วมทีม ... ทักษะนี้แหละที่ทำให้สถิติต่าง ๆ ของฟาน ไดค์ ลดลง คุณได้เห็น ฟาน ไดค์ ทิ้งตัวสกัดคู่แข่งแบบสุดเหยียด พุ่งสุดเเรง หรือจบเกมด้วยอาการเหงื่อแตกจนผมเสียทรง กางเกงเปื้อนโคลนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ?
ภาพเหล่านี้กลายเป็นภาพหาดูยากแล้ว เพราะเขาคือคนที่สั่งการให้ทุกคนไปทำแทนแล้ว การไล่บอล แย่งบอล ประกบคู่แข่ง ฟาน ไดค์ สั่งการพร้อมสรรพ บอลจะมาถึงเขาก็ต่อเมื่อเป็นจังหวะที่เพื่อนร่วมทีมเสียตำแหน่ง หรือโดนเลี้ยงผ่านมาเป็นส่วนใหญ่ ... และเมื่อการสั่งการณ์ของเขาเฉียบขาดเพราะการอ่านเกมที่ดีขึ้นตามประสบการณ์ สิ่งที่ตามมาคือ ฟาน ไดค์ ก็ขยับมาตรฐานความเหนียวแน่นของตัวเองขึ้นมาด้วยแบบที่หลายคนอาจจะไม่สังเกตเห็น
"เขา (ฟาน ไดค์) นั้นยากที่สุด เขาทำให้พวกเขาเครียดหนักที่ แอนฟิลด์ ผมจำได้เข้าสมองเลย ถ้าจะให้พูดอีกผมก็เลือกเขา (ฟาน ไดค์) ผมคิดว่าเขาเก่งเหลือเกิน" เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ นักเตะที่ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกมากที่สุดใน 2 ซีซั่นหลังพูดแบบนี้ .. มันก็น่าจะจริงที่ ฟาน ไดค์ กลับมาดีขึ้นมาก ๆ แล้ว จากวันที่เขาเคาะสนิมจากอาการเจ็บยาว
อย่างในเกมนัดชิง คาราบาว คัพ ฤดูกาล 2023/24 คุณจะเห็นได้เลยว่า ฟาน ไดค์ ไม่ได้ฉีกออกไปชนกับปีกของ เชลซี หรือขึ้นไปดันไลน์กลางสนามเลยด้วยซ้ำ เขารอชิงจงหวะที่ เชลซี จะพยายามสวนกลับ ตัดหน้าชิงเล่นบอลก่อน ตัดบอลจากจังหวะเปิดจากริมเส้นของเชลซี เตะทิ้งในจังหวะสุดท้ายได้เป็นประจำ ... "ติด ฟาน ไดค์" "ติด ฟาน ไดค์" นี่คือเสียงพากย์ที่เราได้ยินประจำในเกมดังกล่าว และนี่คือสิ่งที่ คล็อปป์ เองก็พูดได้เต็มปากในช่วงก่อนเกม ๆ นี้เริ่มว่า "ทุกคนสามารถรับรู้ได้ว่า เวิร์จ กลับมาแล้ว ชัดเจนยิ่งกว่าอะไรดี ขอบคุณพระเจ้าที่เป็นแบบนั้น"
ในเกมคาราบาว คัพ นัดชิงชนะเลิศ ฟาน ไดค์ แสดงสิ่งที่คล็อปป์ บอกออกมาให้เห็นชัด ๆ นี่คือนักบริหารจัดการคนได้ดีที่สุด เขาประคองเกมรับที่แทบไม่มีตัวหลักเล่นร่วมกับเขา โดยที่ตัวเองเป็นเหมือนประภาคารตั้งตระหง่านและส่องแสงจากที่สูง ทำให้เหล่าดาวรุ่งหรือตัวสำรองของลิเวอร์พูลที่เปรียบดังเรือเล็กอุ่นใจเมื่อเห็นแสงไฟจากประภาคารนั้น
นักเตะดาวรุ่งหรือตัวสำรอง ลิเวอร์พูล ได้รับอ้อมกอดและการกอดคอจาก เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือของทีมก่อนลงสนาม แถมเมื่อลงมาในสนามยังเจอกัปตันคอยกระตุ้นให้กำลังใจตลอด เป็นคุณ คุณไม่วิ่งลืมตายเหรอ ?
ท้ายที่สุดตอนจบของ คาราบาว คัพ นัดชิงชนะเลิศฤดูกาล 2023/24 จบลงด้วยฉากที่เร่าร้อนที่สุดด้วยการที่ ฟาน ไดค์ ขึ้นไปโหม่งลูกเตะมุมในนาทีที่ 117 มันยิ่งทำให้เห็นว่านอกจากเขาเป็นพี่ใหญ่ในเกมรับที่ทำให้ทุกคนอุ่นใจได้แล้ว ในเวลาที่ทีมต้องการประตู และเต็มไปด้วยเหล่าตัวรุกหน้าละอ่อนที่ไร้ประสบการณ์ ฟาน ไดค์ ก็ยังแสดงคาแร็คเตอร์พี่ใหญ่ออกมาให้เห็น ... เขาคือคนนั้น คนที่ทีมตามหา ในเวลาที่คับขัน
จริง ๆ เรื่องของสถิติคงไม่จำเป็นอีกแล้วถ้าเราจะเอามาใช้เพื่อบอกว่า ฟาน ไดค์ เป็นกองหลัง และเป็นผู้นำในทีมที่ดีขนาดไหน ... สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเกมนี้คือเขาได้ใส่ประสบการณ์การเล่นเพื่อแชมป์ให้นักเตะหลาย ๆ คนในทีม จากนี้ไปทุกคนจะยิ่งเชื่อเขามากขึ้น และการสั่งการของเขาก็จะยิ่งแสดงผลมากขึ้น .. ในอนาคตหากมีใครเอาสถิติมาเทียบ พวกเขาอาจจะพูดไม่ออกก็ได้ ถ้า ฟาน ไดค์ ยังบริหารจัดการคนได้ดีขนาดนี้
สุดท้ายแล้ว ลิเวอร์พูล ลงทุนได้คุ้มค่าที่สุดสำหรับการเอา ฟาน ไดค์ มาร่วมทีม ... แม้ว่าเขาจะต้องเจ็บเป็นปี แต่ถึงเวลาที่ทีมต้องการ เขาจะอยู่ตรงนั้นเสมอ หลายคนอาจจะไม่ยอมรับว่าเขาเป็นกองหลังที่ดีที่สุดตลอดกาล แต่นั่นไม่สำคัญแล้ว เพราะในสายตาแฟนบอลลิเวอร์พูล ฟาน ไดค์ คือคนนั้น
เขาเป็นมาเสมอ ตั้งแต่วันที่เขาย้ายมาด้วยค่าตัวสถิติโลก วันที่เขาพาทีมกวาดแชมป์รายการใหญ่ วันที่เขาเข่าพังพักแรมปี จนกระทั่งวันนี้ วันที่เขาเดินนำเพื่อนร่วมทีมรับโทรฟี่แรกในฐานะกัปตันทีม
แหล่งอ้างอิง
https://tribuna.com/en/news/liverpoolfc-2023-04-25-van-dijks-stat-before-and-after-acl-injury-massive-difference/
https://en.wikipedia.org/wiki/Virgil_van_Dijk
https://www.transfermarkt.com/virgil-van-dijk/profil/spieler/139208
https://www.standard.co.uk/sport/football/virgil-van-dijk-ben-foster-liverpool-fc-injury-b1113534.html
https://talksport.com/football/1187370/virgil-van-dijk-danny-murphy-liverpool-psychologically-acl-injury/
https://theathletic.com/4203780/2021/07/29/virgil-van-dijk-returns-to-action-for-liverpool-nine-months-after-acl-injury/
https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/virgil-van-dijk-liverpool-injury-25429596