Feature

จูเซ็ปเป้ มาร็อตต้า : พ่อมดตลาดนักเตะที่เสก อินเตอร์ ยุคทุนต่ำ...ให้มีแชมป์ทุกปี | Main Stand

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 หรือ 6 ปีก่อน อินเตอร์ มิลาน อยู่ในสถานการณ์ที่ระส่ำถึงขีดสุด เรื่องราวไม่ใช่เกิดขึ้นแค่ผลงานในสนาม แต่มันเกิดขึ้นในบอร์ดบริหารด้วย 

 


ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ พวกเขาอยู่ในสภาวะถังแตก สุ่มเสี่ยงที่จะผิดกฎ FFP อยู่รอมร่อ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของสโมสรก็เกิดขึ้นจากการเข้ามาของชายวัยเกษียณผู้ได้ฉายาว่า "พ่อมดแห่งตลาดซื้อขาย" 

อินเตอร์ มิลาน ที่งบประมาณแทบ = 0 เบ่งบานขึ้นอีกครั้งกับการเข้ามาของชายเฒ่าที่ชื่อว่า จูเซ็ปเป้ มาร็อตต้า คนที่สร้างตำนาน ดึงตัว ปอล ป็อกบา มาด้วยค่าตัวฟรี แต่ขายคืนสโมสรเก่าได้ 110 ล้านยูโร และนักเตะสุดคุ้มอีกมากมาย 

และนี่คือเรื่องราวและกลยุทธจากการลงมือของเขา … ที่สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกสโมสรบนโลกใบนี้ 

 

กำเนิดมาเพื่อใช้สมอง

เหล่าผู้บริหารในวงการฟุตบอลหลากหลายคนมีพื้นเพจากกการเป็นอดีตนักเตะฟุตบอลมาก่อนแทบทั้งสิ้น บางคนชื่อดัง บางคนเล่นเเค่ตอนเป็นเยาวชน ก็สุดแท้แล้วแต่กันไป แต่กับ จูเซ็ปเป้ มาร็อตต้า เขาคนนี้ เกิดมาเพื่อเป็นซีอีโอ .... งานแรกในชีวิตของเขาในวงการฟุตบอลคือ การเป็นผู้อำนวยการทีมอคาเดมี่ของทีมท้องถิ่นที่ชื่อว่า วาเรเซ่ และตอนนั้นเขาอายุเพียง 21 ปี เท่านั้น 

การบริหารทีมอคาเดมี่อาจจะธรรมดาไปสำหรับเขา ช่วงเวลาสั้นๆกับทีมเยาวชน วาเรเซ่ มันท้าทายไม่พอ 1 ปีจากนั้นเขาแสดงความสามารถเรื่องการผลักดันเยาวชนสู่ทีมชุดใหญ่ วาเรเซ่ สามารถเลื่อนชั้นจากลีกดิวิชั่น 3 ขึ้นสู่เซเรีย บี ได้สำเร็จ ความสำเร็จ มาร็อตต้า ขอเคลม ... เขาขอตำแหน่งที่ใหญ่กว่าเดิม นั่นคือการเป็นผู้อำนวยการกีฬาของสโมสรทันที และยื่นข้อเสนอว่า "ผมจะพิสูจน์แนวทางของผมให้ดู" ซึ่งจากผลงานกับทีมอคาเดมี่ ทีมผู้บริหารของ วาเรเซ่ ตัดสินใจให้โอกาสเขา และนั่นเป็นเหมือนการปล่อยจระเข้ลงไปในแม่น้ำ ... มาร็อตต้า สนุกกับการบริหารมากยิ่งกว่าที่เคย

"ถ้าถามว่าผมเป็นคนยังไง ผมเป็นคนที่โคตรจะทะเยอทะยานตั้งแต่ผมยังเด็ก ผมชอบยกมือพูดในห้อง ในที่ประชุม เพื่อเสนอสิ่งที่ผมคิด ความฝันของผมชัดเจนตั้งแต่ยังหนุ่มนั่นคือการเป็นอำนวยการกีฬาแผนกสรรหาของทีมฟุตบอล" มาร็อตต้า เล่าถึงวัยหนุ่ม

"ที่ วาเรเซ่ ทำงานตำแหน่งต่าง ๆ มากมาย และผลักดันตัวมเองมาสู้ตำแหน่งผู้อำนวยการสโมสร ผมนำเสนอแนวคิดที่ผมมี ความลับที่ไม่ลับคือผมรู้วิธีการเอาชนะทั้งในและนอกสนาม ไม่จำเป็นต้องเป็นทีมดังมีชื่อเสียง ขอแค่คุณมีบุคลากรที่เหมาะสมในองค์กร และมีกลุ่มคนที่ชอบทำงานหนัก ... คุณสามารถพลิกสถานการณ์ได้ทั้งนั้น"

"1 องค์กรจะมีผู้คนมากมาย ตั้งแต่ระดับที่ทำงานง่ายที่สุดจนไปถึงคนที่มีความรับผิดชอบสูงที่สุด หลักการข้อแรกคือคุณต้องปลูกฝังความคิดในการเป็นผู้ชนะให้กับผู้คนในองค์กรให้ได้ คุณต้องตั้งเป้าหมาย ทำให้มันบรรลุถึงสิ่งที่ตั้งไว้ สำคัญที่สุดคือทุกวันที่ทำงาน ต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" 

แนวคิดในการทำงานแบบนี้ทำให้ มาร็อตต้า ขยับขึ้นมาทำงานกับทีมที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จาก วาเรเซ่ ขยับไปอยู่กับ มอนซา, โคโม, ราเวนนา ในช่วงเวลานี้เหมือนกับเป็นช่วงเวลาที่เขาพยายามปรับจูนการทำงานของตัวเอง จนกระทั่งมารับงานใหญ่ครั้งแรกนั่นคือการเป็น ผู้อำนวนการกีฬาของ เวเนเซีย ในปี 1995 

งานนี้ถือเป็นงานสร้างชื่อเพราะ มาร็อตต้า พา เวเนเซีย ขยับจากทีมลีก 3 ขึ้นมาอยู่ในลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี ในปี 1998 ตอนนั้นชื่อเสียงของเขาโด่งดังแล้ว หลายทีมระดับกลางค่อนล่างที่อยากจะใช้ผู้บริหารที่เชี่ยวชาญเรื่องการสร้างทีมที่มีงบประมาณจำกัด จับตา มาร็อตต้า ตาเป็นมัน ก่อนที่จะกลายเป็น ซามพ์โดเรีย ทีมดังจากยุค 90s ที่ให้โอกาสสำคัญกับเขา หนนี้ไม่ใช่แค่ผู้อำนวยการสโมสรแล้ว แต่เขาถูกจ้างให้เข้ามาเป็น ซีอีโอ หรือคณะกรรมการบริหารของสโมสร ซึ่งงานนี้ คือจุดพีกที่ทำให้ชื่อของเขาติดลมบนเลยก็ว่าได้ 

ตอนที่ มาร็อตต้า เริ่มงานกับ ซามพ์โดเรีย ทีมยังอยู่ในอันดับ 10 ของ เซเรีย บี แต่เมื่อเขามีอำนาจการตัดสินใจเขาได้โชว์วิสัยทัศนืออกมาเต็ม ๆ ในครั้งนี้ เริ่มจากการว่างจ้างโค้ชที่เคยทำงานด้วยกันที่ เวเนเซีย อย่าง วอลเตอร์ โนวิลลิโน่ จากนั้นเขาเลือกจะลงทุนครั้งใหญ่ โดยเบิกงบของสโมสร เพื่อคว้านักเตะที่เคยเล่นในลีกสูงสุดมาก่อน แต่มีค่าจ้างและค่าตัวที่ไม่แพงนักมารวมตัวกันที่ ซามพ์โดเรีย อาทิ มัสซิโม ปากานิน, เซร์จิโอ โวลปิ, ฟาบิโอ บาซซานี่ และ สเตฟาโน่ เบ็ตตารินี่ พวกนี้คือกลุ่มม้าแก่ ที่เขาตั้งใจจะใช้เป็นแกนหลัก เป็นตัวคอยประคองทีม 

จากนั้นมีงบประมาณอีก 1 ก้อนสำหรับส่วนผสมที่ทำให้ทีมลงตัวนั่นคือกลุ่มดาวรุ่งที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีความหิวกระหาย  พร้อมทำงานหนัก อังเจโล่ ปาลอมโบ, เมาริซิโอ โดมิซซี่, อันเดรีย กาสบาร์โรนี่ .. ชื่อเหล่านี้ถูกเสริมเข้ามา และกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว ซามพ์โดเรีย กลับสู่ลีกสูงสุดในปีเดียว และเมื่อกลับสู่ เซเรีย อา พวกเขาคว้าอันดับที่ 8 เข้าถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายในโคปา อิตาเลีย ผลงานในการลงทุนครั้งนี้ ทำให้ มาร็อตต้า ได้รับการจับตามองจากทีมใหญ่ที่สุดในประเทศอย่าง ยูเวนตุส ... หนนี้บทพิสูจน์ครั้งใหญ่มาถึง  เขาจะไปอยู่ในองค์กรที่ใหญ่กว่า มีคนเก่ง ๆ และมีอำนาจเดินกันขวักไขว่ 

สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นการทำงานที่ยาก แต่กับคนอย่าง มาร็อตต้า สถานการณ์แบบนี้กลับสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาได้ ในงานที่กดดันขนาดนี้ 

 

ยูเวนตุส งานสร้างชื่อครั้งใหญ่ 

ปี 2010 คือปีแรกที่ มาร็อตต้า รับงานที่ยูเวนตุส จากการแต่งตั้งโดย อันเดรีย อันเญลี ประธานสโมสร มาร็อตต้า ได้สัญญา 3 ปี พร้อมกับเงื่อนไขเดียวที่สำคัญที่สุดคือการทำงานภายใต้สถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดของสโมสรในรอบหลายปี 

ณ ตอนนั้น ยูเว่ เพิ่งเจอคดีอื้ฉาวอย่าง กัลโช่ โปลี โดนปรับตกชั้น และต้องพยายามสร้างทีมกลับมายังจุดสูงสุดอีกครั้ง ภายใต้งบประมาณที่ไม่สามารถเสียเงินซื้อซูเปอร์สตาร์ได้เหมือนเดิมอีกเเล้ว 

มาร็อตต้า คือคนที่พากุนซืออย่าง อันโตนิโอ คอนเต้ เข้ามาทำทีม โดย ณ เวลานั้น คอนเต้ ไม่ใช่โค้ชดังหรือประสบควาสสำเร็จอะไรมากนัก หนำซ้ำยังเคยพาทีม อาเรซโซ่ ตกชั้นไปยังเซเรีย ซี มาแล้ว แต่ มาร็อตต้า เชื่อมั่นเมื่อได้พูดคุยกับ คอนเต้ ในการสัมภาษณ์งาน 

คอนเต้ แสดงแนวคิดของเขาเรื่องที่บอกว่า เขาสามารถทำทีมที่มีนักเตะคุณภาพไม่สูงมากได้ แต่จะเสริมให้ในเรื่องของสภาพจิตใจ ที่จะทดแทนสิ่งนี้ โดยเขาบอกกับ มาร็อตต้า ว่า "ความสามารถนักเตะระดับปานกลางถึงสูง ไม่เป็นไร ... แต่สภาพจิตใจต้องแข็งแกร่งให้มากที่สุดเท่าที่จะเเกร่งได้"

มาร็อตต้า เชื่อมั่นและซื้อแนวคิดนี้ ก่อนเขาเริ่มสร้างทีม ยูเวนตุส แบบฉบับใหม่ขึ้นมา เขาคว้าตัว อันเดรีย ปิร์โล่ จอมทัพจาก เอซี มิลาน มาด้วยค่าตัวฟรีเพื่อให้เป็นแกนหลักของทีมยุค คอนเต้ อาร์ตูโร วิดัล กองกลางจาก เลเวอร์คูเซ่น เข้ามาเป็นขุมพลังในเเดนกลาง ด้วยราคา 10 ล้านยูโร 

การซื้อตัว 2 คนนี้คือภาพสะท้อนของการมองส่วนผสมที่ลงตัว คนหนึ่งถูกมองว่าอายุเยอะและน่าจะพ้นจุดพีกไปแล้ว อีกคนคือนักเตะหนุ่มชาวอเมริกาใต้ที่มีค่าจ้างไม่แพง เป็นอนาคตของทีมได้ยาว ๆ  นั่นแหละคือตัวอย่างการเลือกซื้อนักเตะของ มาร็อตต้า 

นอกจากนี้เขายังเป็นผู้บันดาลสารพัดดีลแห่งยุคสมัยของ ยูเวนตุส อย่าง ปอล ป็อกบา, ซามี่ เคดิร่า, ดานี่ อัลเวส, ปาทริซ เอฟร่า, คิงส์ลี่ย์ โกมาน, และ เอ็มเร่ ชาน นักเตะชื่อดังเหล่านี้ มาร็อตต้า ดึงตัวมาแบบฟรี ๆ 

ทีมชุดนี้สร้างตำนานอีกครั้งให้กับ ยูเวนตุส พวกเขากลายเป็นผู้ไร้เทียมทานของ เซเรีย อา แบบที่ทีมอื่น ๆ ไล่ไม่ทัน ทุกคนในองค์กรที่เขาหยิบหามาใส่กลายเป็นคนที่ทำงานเก่งกาจขึ้น ยกตัวอย่างง่ายที่สุดคือ ฟาบิโอ ปาราติชี่  มือขวาของเขาเอง จนกระทั่งในปี 2018 มาร็อตต้า ก็ออกจากตำแหน่ง โดยเขาให้เหตุผลว่าเขาต้องการความท้าทายใหม่ แต่ในความจริงมันเป็นเรื่องของแนวคิดการทำงานที่แตกต่างกัน 

อันเญลี ประธานสโมสรของ ยูเว่ มีความคิดที่ไม่ตรงกันกับเขา ขณะที่ ปาราติซี่ มือขวาของเขากลายเป็นคนที่เรืองอำนาจขึ้นมาในภายหลัง และไม่กินเส้นกับเขา ว่ากันว่าดีลที่สองฝั่งแตกหักคือการคว้า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในวัย 33 ปี จาก เรอัล มาดริด ด้วยราคา 80 ล้านยูโร ซึ่งเป็นดีลที่ มาร็อตต้า ไม่เห็นด้วย ซึ่งภายหลังเรื่องก็แดงออกมา เขาบอกว่า  

“ประสบการณ์ของผมกับยูเวนตุสให้อะไรผมมากมาย ผมรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคน ยกเว้นคนเดียว นั่นคือฟาบิโอ ปาราติชี่” มาร็อตต้า กล่าว 

และงานชิ้นต่อไปของเขาแม้เจ้าตัวจะบอกว่าเป็นงานที่ท้าทาย แต่ทุกคนต่างรู้ว่ามันอาจจะซ่อนความหมายอะไรมากกว่านั้น มาร็อตต้า เลือกรับงานคู่แข่งเบอร์ 1 ของ ยูเวนตุส นั่นคือ อินเตอร์ มิลาน โดย อินเตอร์ ตอนนั้นไม่มีใครนึกภาพออกว่าจะมาท้าทายอำนาจ ยูเวนตุส อันเรืองรองได้อย่าง ... ซึ่งถ้า มาร็อตต้า ทำได้ มันจะเป็นการพิสูจน์ตัวเองครั้งใหญ่ของเขา และเป็นการตอกหน้าองค์กรเก่าของเขาไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย 

 

ผู้อยู่เบื้องหลังอินเตอร์ยุคใหม่ 

ย้อนกลับไปในวันที่ มาร็อตต้า รับงานกับ อินเตอร์ มิลาน ทีมงูใหญ่ประสบปัญหาเยอะมากมาย เรียกได้ว่านับตั้งแต่หมดยุค 3 แชมป์ในปี 2010 ที่ โชเซ่ มูรินโญ่ คุมทีม พวกเขาก็เดินเข้าสู่ขาลงเต็มระบบ นักเตะในทีมมากมาย แต่ใช้งานได้แบบไม่มีประสิทธิภาพ หลายคนมีค่าจ้างเเพงเกินเหตุ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ มาร็อตต้า ต้องค่อย ๆ เข้ามารื้อและสร้างใหม่แทบทั้งหมด

นอกจากนี้ สภาพทางการเงินของ อินเตอร์ มิลาน ไม่สู้ดีนัก "ซูหนิงกรุ๊ป" กลุ่มทุนเจ้าของสโมสรจากเมืองจีน ที่เคยลงทุนมากมายกับฟุตบอลในลีกจีนกับสโมสร เจียงซู ซูหนิง ไม่สามารถเอาเงินในประเทศจีน ออกมาสนับสนุน อินเตอร์ มิลาน ได้เนื่องจากมีกฎหมายจากรัฐบาลสี จิ้น ผิง ที่ห้ามเอาเงินในประเทศไปลุงทุนกับทีมฟุตบอลนอกประเทศ 

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายเกินไปนักเมื่อ สตีเว่น จาง บุตรชายของนายใหญแห่ง ซูหนิง กรุ๊ป ได้เข้ามาทำงานที่ อินเตอร์ มิลาน เขาก็ใช้คอนเน็คชั่นที่มีจากหลาย ๆ ที่พารายได้เข้าเติมในส่วนต่าง ๆ ที่ทีมต้องการ 

มาร็อตต้า กับ สตีเว่น จาง ทำงานด้วยกันอย่างราบรื่น 1 เสือเฒ่าที่เห็นโลกฟุตบอลมามากพอ กับ 1 นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่อย่างพิสูจน์ตัวเอง เป็นเคมีที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ยืนยันถึงเรื่องนี้ได้คือ ถึงแม้สโมสรจะไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง แต่ในวันที่ มาร็อตต้า ยืนยันว่า "จำเป็นต้องใช้เงิน" ประธานจางก็ไม่ขัดศรัทธาเขาแต่อย่างใด เขาเชื่อใจมาร็อตต้า และมอบหมายงานที่ถนัดนั่นคือการ ซ่อมเเซม และเสริมสร้าง ภายใต้งบประมาณที่เหมาะสม 

มาร็อตต้า เริ่มจากการเปลี่ยนโค้ช โดยเขากับโค้ชเก่าอย่าง ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ นั้นมีแนวทางที่ไม่ค่อยตรงกันนัก ดังนั้นเขาจึงเอา "คนรู้มือ" อย่าง อันโตนิโอ คอนเต้ เข้ามารับงานแทน แต่หนนี้ไม่เหมือนกับตอนที่เข้าตั้ง คอนเต้ เป็นกุนซือที่ ยูเวนตุส เพราะ คอนเต้ ประสบความสำเร็จมาแล้ว และถูกยกย่องเป็นยอดกุนซือของโลกลูกหนัง ดังนั้นค่าจ้างของคอนเต้ จึงอยู่ในระดับที่ "แพงมาก" ในระดับปีละ10 ล้านยูโร (ประมาณ 363 ล้านบาท) มากที่สุดในเซเรีย อา ณ ตอนนั้น 

นอกจากนี้ยังลงทุนกับการซื้อนักเตะราคาแพงอย่าง โรเมลู ลูกากู จาก แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวราว 60 ล้านยูโร, นิโคโล บาเรลล่า ราว ๆ 40 ล้านยูโร และ คริสเตียน อีริคเซ่น อีก 27 ล้านยูโร นี่คือการซื้อเพื่อสร้างทีม และเป็นการซื้อนักเตะในแบบที่โค้ชอย่าง คอนเต้ ต้องการ แต่เรื่องมันไม่ง่ายแบบนั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นานนักการระบาดของโควิด -19 ก็ทำให้ อินเตอร์ และกลุ่มทุนจากจีน ต้องโดนบีบอย่างนัก วิกฤติสภาพคล่องทางการเงินทะยานขึ้นไปอีก ... สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้นหลังจากการที่ อินเตอร์ กลับมาเป็นแชมป์ลีกอีกครั้งในรอบกว่า 10 ปี 

ดูเหมือนว่า ปาร์ตี้ จะจบลงเเล้วด้วยซ้ำ เพราะวิกฤติโควิดและเรื่องของกฎ FFP ทำให้ อินเตอร์ ต้องจำยอมลดคุณภาพของนักเตะในทีม นักเตะเก่ง ๆ หลายคนจำเป็นต้องโดนขายออกไปเพื่อประคองทีมก่อน อาทิ ลูกากู ที่ถูกขายให้ เชลซี ในราคากว่า 110 ล้านยูโร เรียกได้ว่า อินเตอร์ พร้อมขายนักเตะทุกคนหากได้ราคาที่เหมาะสม 

พวกเขาทำเพื่ออยู่รอดแต่ก็ต้องเสียกุนซือผู้ทะเยอทะยานอย่าง คอนเต้ ไป เพราะแนวทางการทำทีมไม่ตรงกัน การลาออกของ คอนเต้ เหมือนกับฟ้าถล่มใส่อินเตอร์จากมุมมองของใครหลาย ๆ คน แต่ มาร็อตต้า ได้แสดงเวทมนตร์ของเขาอีกครั้ง 

มาร็อตต้า คือ 1 ในผู้คัดสรรกุนซือใหม่ และพวกเขาได้กุนซืออย่าง ซิโมเน่ อินซากี้ การเข้ามา ของ อินซากี้ นั้นมีความหมายอย่างมาก ประการแรกเขาเป็นกุนซือที่มีแนวคิดของฟุตบอลยุคใหม่ที่เล่นเกมรุกและเกมรับด้วยความดุดัน เป็นกุนซือที่ทำงานภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดทางการเงินได้ดี และเหนือสิ่งอื่นใดคือแผนการเล่นของเขาในระบบกองหลัง 3 ตัว ที่ทำให้ อินเตอร์ ประหยัดเงินได้เยอะ 

กล่าวคือในเมื่อแผนการเล่นของ อินซากี้ มีความละม้ายคล้ายคลึงกับ คอนเต้ ทำให้ อินเตอร์ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนนักเตะใหม่ทั้งหมด กองหลัง 3 ตัว วิงแบ็ค 2 คน กองหน้า 2 คน กองกลางมดงาน 1 คน เรจิสต้าอีก1 คน โครงสร้างหลัก ๆ ไม่เปลี่ยนแปลงดังนั้น อินเตอร์ จึงทำทีมต่อไปโดยทีไม่ต้องจับปูใส่กระด้งกับการสรรหานักเตะใหม่ และขายนักเตะเก่าที่ไม่ตรงกับแผนการเล่นของโค้ชใหม่ทิ้งแบบยกแผง

สิ่งที่ต้องชม มาร็อตต้า อีกอย่างคือเขาเอาเวทย์มนตร์ในการสรรหานักเตะมาใช้อีกครั้งหนึ่ง นักเตะหายคนเข้ามาฟรี ๆ มีราคาที่ไม่แพง หรือมีค่าเหนื่อยที่ไมได่สูงนัก เแต่เข้ามาแล้วตอบโจทย์ตรงสเป็คต์กับการทำงานของโค้ช  อินเตอร์ ที่เปลี่ยนโค้ชจึงแทบไม่แสดงอาการสะดุด หรือทรุดลงจากยุค คอนเต้ ให้เห็น 

มาร็อตต้า เดินดีลเฉียบขาด ขายนักเตะในราคาแพงระยับอย่าง อัชราฟ ฮาคิมี่, อังเดร โอนาน่า, โรเมลู ลูกากู และอีกหลาย ๆ คนที่ช่วยพยุงตัวเลขทางการเงินของทีมได้อย่างยอดเยี่ยม ขณะที่คนใหม่ที่เข้ามาก็เป็นนักเตะที่ฟรี, ราคาประหยัด ค่าเหนื่อยถูกที่ทำงานได่คุ้มค่าจ้างสุด ๆ เฮนริค มคิตาร์ยาน, ฮาคาน ชัลฮาโนลู, ยาน ซอมเมอร์, มัตเตโอ ดาร์เมียน, ดันเซล ดุมฟรี่ส์, มาร์คุส ตูราม นักเตะเหล่านี้คือคือคนสำคัญของพวกเขาในซีซั่นนี้ทั้งสิ้น

อินเตอร์ กำลังเดินทางไปพร้อม ๆ กันทั้งการแก้ไขตัวเลขการเงินของสโมสร และเรื่องผลงานในสนามที่ตอนนี้นำเป็นจ่าฝูงของ เซเรีย อา และกำลังเข้าสู่เส้นทางรอบน็อคเอาต์ของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งพวกเขามาในฐานะรองแชมป์เก่า  ทุกอย่างดำเนินไปด้วยควบคู่กันโดยที่พวกเขาแทบไม่ต้องเลือกทางไหนสักทาง และทิ้งอีกฝั่งให้ล้มเหลวเลย นี่คือการบริหารที่สุดยอดอย่างที่นึกคำชมอื่นไม่ออก 

มาร็อตต้า เผยวิธีการทำงานของเขากับ อินเตอร์ ว่า "ที่ อินเตอรื ผมพยายามทำสองอย่างพร้อมกันนั่นคือการสร้างความยั่งยืนในเรื่องของการเงิน และการประสบความสำเร็จในผลการแข่งขันด้านกีฬา แน่นอนผลงานในสนามต้องมาก่อน แต่ต้องไม่ทิ้งเรื่องการบริหารการเงินเด็ดขาด"

"เราพยายามสร้างธุรกิจแบบใหม่ที่ทำให้มันสมดุลกันทั้งเรื่องของรายได้และต้นทุน เราคิดอย่างละเอียดในแต่ละก้าวที่เดิน วางเป้าหมายอย่างชัดเจน ว่าเราสามารถตั้งเป้าได้แค่ไหน ภายใต้ข้อจำกัดที่เกิดขึ้น" มาร็อตต้า เผยแนวคิดการทำงานของเขา 

อินเตอร์ มิลาน กลายเป็นทีมที่ใช้เงินไม่มากแต่กลับมีสเถียรภาพเรื่องผลงานในสนามที่ยอดเยี่ยม พวกเขารักษาตำแหน่งท็อป 4 ของลีกอย่างเหนียวแน่น เพื่อการันตีเงินราง 60-70 ล้านยูโร จากการได้เล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และแต่ละปีพวกเขาขยับเข้าใกล้มาตรฐานของทีมที่ดีที่สุดในลีกมากขึ้นเรื่อย ๆ ยืนยันด้วยฟอร์มการเล่นของพวกเขาในปีนี้ แม้จะแทบไม่ได้ทุ่มเงินซื้อนักเตะคนไหนให้ฮือฮาเหมือนกับยุคคอนเต้ก็ตาม 

ที่สุดแล้วเบื้องหลังของพ่อมดตลาดซื้อขายอย่าง มาร็อตต้า คือการทำงานอย่างรอบคอบ อ่านสถานการณ์ล่วงหน้าให้ออกด้วยประสบการณืการทำงานที่ผ่านมา รวมถึงการสร้างผู้คนรอบตัวให้มีประสิทธิภาพในการทำงานให้ดีชึ้นในทุก ๆ วัน ถ้าหลังบ้านดี หน้าบ้านก็จะออกออกมาดี เมื่อมีการลงทุนอย่างชาญฉลาด พวกเขาก็จะมีทีมที่แข็งแกร่งภายใต้งบประมาณที่ไม่มากนัก 

ทักษะการสื่อสารและทำงานร่วมกับคนอื่น ๆ ในองค์กรคือส่วนสำคัญของ มาร็อตต้า เมื่อเขาทำให้ทุกคนรู้แน่ว่าองค์กรต้องการอะไร และจะเดินไปจุดไหน ทุกคนก็พร้อมใจเดินไปยังเป้าหมายเดียวกัน และถ้าเดินไปพร้อมกัน มันย่อมถึงเป้าหมายได้เร็วและมั่นคงกว่าเดิมแน่ แบบที่ อินเตอร์ มิลาน เป็นในตอนนี้ 

 

แหล่งอ้างอิง 

https://onefootball.com/en/news/inter-ceo-giuseppe-marotta-a-great-inter-is-being-born-26225932
https://theathletic.com/4588561/2023/06/08/marotta-inter-champions-league/
https://m.allfootballapp.com/news/La-Liga/Marotta-Working-for-Inter-Milan-and-Juventus-a-fulfillment-of-a-childs-dream/3014959
https://sempreinter.com/2023/10/06/inter-milan-ceo-beppe-marotta-reveals-his-secret-to-success/
https://www.forbes.com/sites/danieleproch/2023/05/12/we-need-a-new-business-model-giuseppe-marotta-calls-for-urgent-changes-to-italian-soccer/?sh=71cc5bfc6047
https://football-italia.net/from-pirlo-and-conte-to-cristiano-ronaldo-marottas-derby-with-juventus/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ