มาร์คัส แรชฟอร์ด ประสบปัญหากับการค้าแข้งอีกเเล้ว ... น่าแปลกที่ปีที่แล้วเขายังเก่งกาจเป็นเหมือนนักเตะที่แบกทีมจนประสบความสำเร็จเป็นนักเตะที่ดีที่สุดของ ยูไนเต็ด อยู่เลย
ปีนี้ทำไมเขาถึงกลายเป็นคนละคน หาบอลไม่เจอ เลี้ยงไม่ผ่าน ยิงไม่ตรง ขณะที่นอกสนามก็ถูกแฉว่าหนีไปเที่ยวอีกแล้ว ... สิ่งเหล่านี้มันเกิดปัญหาจากตรงไหน สรุปแล้ว แรชฟอร์ด เป็นนักเตะที่เก่งหรือไม่เก่งกันแน่หากวัดจากความคาดหวังและสิ่งที่เขาเจอ ?
เราจะหาปัญหานี้ให้เจอและพิสูจน์ว่าเรื่องนี้มันเกิดจากอะไร ติดตามที่นี่
ความเครียดและสุขภาพจิตในนักกีฬาคือ "ของจริง"
เรื่องนี้ถูกยกกลับมาเป็นประเด็นใหญ่ของวงการกีฬาทั่วโลก ไม่ใช่แค่ฟุตบอลเท่านั้น แต่จิตวิทยาคือศาสตร์ที่ถูกเอามาใช้กับนักกีฬาอาชีพแทบทุกชนิด เพราะนักกีฬาในโลกปัจจุบันเผชิญเเรงกดดันมาก พวกเขาต้องเสียสละตัวเองอย่างมหาศาลเพื่อกลายเป็นเลิศในสาขาอาชีพนั้น ๆ
ในโอลิมปิกครั้งนี้ผ่านมา มีนักกีฬาหลายคนที่มีปัญหาสุขภาพจิต และอยากจะเลิกเล่นกีฬาไปเลย แม้พวกเขาจะทำได้ดีแค่ไหนก็ตาม พวกเขาเหนื่อยกับการพยายามเป็นที่ 1 พวกเขาท้อกับการพยายามทำให้คนรอบข้างพอใจ ยกตัวอย่างเช่น ซิโมนส์ ไบลส์ นักยิมนาสติก ที่ถึงกับประกาศว่าจะเลิกแข่งขันโอลิมปิกและบอกว่า "ฉันค้นพบว่าชีวิตมีอะไรมากกว่าแค่ยิมนาสติก"
ที่เรายกเรื่องนี้มาพูดก็เพราะว่า มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็เคยประสบปัญหานี้มาก่อน และแก้ไขปัญหาเรื่องภาวะทางจิตด้วยการพบนักจิตวิทยาเป็นประจำ โดยหลังจากจบยูโร 2020 ที่ แรชฟอร์ด ยิงจุดโทษพลาดในเกมนัดชิงชนะเลิศจนทำให้ อังกฤษ แพ้ อิตาลี ในการดวลจุดโทษและพลาดเเชมป์ที่แฟนบอลอังกฤษทั้งประเทศตั้งความหวังไว้ ถึงขั้นที่พวกเขาร้องเพลง It's Coming Home ตั้งแต่ก่อนเกมนัดแรกของทัวรนาเม้นต์
หลังจาก แรชฟอร์ด ที่แบกความหวังของคนทั้งประเทศยิงพลาด เขาเผชิญหน้ากับอาการทางจิต เเละรู้สึกว่าตัวเองเจอกับความกดดันมากเกินไป เขาเล่าว่าเขามักจะอาเจียนในห้องน้ำก่อนที่จะลงเเข่งขัน ซึ่งอาการดังกล่าวถูกวินิจฉัยโดยนักจิตวิทยาของเขาว่าเป็นอาการที่เรียกว่า "Broken man, losing his love of the game" (คนใจสลาย และ เสียความรักในกีฬาฟุตบอล)
เรื่องดังกล่าวสะสมมานานตั้งแต่ช่วงปี 2020 ที่ ยูไนเต็ด ให้เขาแบกความหวังของทีมเอาไว้ชนิดที่ว่า เจ้าตัวต้องลงเล่นทั้งอาการเจ็บไหล่เป็นแรมปี ซึ่งเมื่อมาพลาดจุดโทษในเกมนัดชิงชนะเลิศอีก ก็เป็นการสั่งสมที่โหมกระหน่ำจนเป็นปัญหาใหญ่ที่เขารับมือไม่ไหว โดยเฉพาะในแง่ของสภาพจิตใจ
"ผมไม่คิดว่าจะมีใครนอกจากผมที่รู้ว่าผมต้องรับมือขนาดไหน ไม่ใช่แค่ปีเดียวหรอกสำหรับเรื่อง(การแบกความกดดันของทีม) ผมรู้สึกว่าผมเจอกับมันทุกช่วงเวลา ผมรู้สึกยากลำบากทุกกวัน และคิดว่าตัวเองต้องเสียสละตลอด ตอนนั้นในใจผมคิดว่าเมื่อไหร่จะได้ออกจากเกมฟุตบอล นั่นคือทางเดียวที่ทำให้ผมมีความสุข"
"ฟุตบอลในระดับนี้เรื่องสภาพจิตใจเกี่ยวเต็ม ๆ ผมคิดว่าถึง 95% เลย สำหรับผมจิตใจสำคัญเหนือทุกอย่าง มันคือพื้นฐานที่จะทำให้คุณมองสิ่งรอบตัวด้วยความเข้าใจและความจริง มีนักฟุตบอลหลายคนบนโลกนี้ที่มีความสามารถ แต่สิ่งที่จะทำให้คุณได้เป็นคนที่เก่งที่สุดคือสภาพจิตใจ" แรชฟอร์ด กล่าว นั่นเองที่ทำให้เขาเข้าหานักจิตวิทยา เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้
แก้ได้..แต่อย่าเพิ่งสบายใจ
การแก้ไขปัญหาของ แรชฟอร์ด คือเรื่อง ที่เขาภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก เขาได้ใช้เวลากับเรื่องอย่างอื่นและถูกเปลี่ยนมุมมองว่าการเห็นแก่ตัวในบางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องที่ดีกับตัวเอง อาทิการเอาเวลาที่โฟกัสกับฟุตบอล 100% ไปทำเรื่องอื่นบ้าง ในส่วนของแรชฟอร์ด สิ่งที่ช่วยเขาได้คือการสละเวลา แรงกาย และเเรงทรัพย์ให้กับชุมชนและเด็กด้อยโอกาส
ในช่วงเวลานั้นหลายคนแซวเขาว่าเป็น "ดร.แรช" เนื่องจากได้รับการอัศวิน MBE หลังจากที่เขาออกมารณรงค์ให้รัฐบาลกลับมาแจกจ่ายอาหารฟรีให้กับเด็กนักเรียนในช่วงโควิด สิ่งนี้ทำให้เขามีโลกอีกใบนอกจากฟุตบอล ซึ่งแรชฟอร์ดบอกว่า รอยยิ้มของผู้รับคือสิ่งเยียวยาจิตใจของเขาเป็นอย่างดี ... การทำแบบนี้ไมได้มีใครคาดหวังว่าเขาจะเอาเงินทั้งหมดที่มีมาให้ผู้ยากไร้ แค่เขามาทุกคนก็มีความสุขแล้ว แตกต่างกับการเป็นนักฟุตบอลที่ทุกคนอยากจะเห็นเข้าใส่แรงกายและแรงใจลงมาเต็ม 100% ... บางคนอาจจะทำอย่างนั้นได้ แต่ไม่ใช่กับแรชฟอร์ดที่เขามองว่ามันมากเกินไปกว่าที่เขาจะรับได้ ทุกอย่างต้องพอดีและมีขอบเขต
เมื่อปรับที่ตัวเองแล้ว แรชฟอร์ด ก็ได้รับการช่วยเหลือจาก เอริค เทน ฮาก กุนซือของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ให้ความไว้วางใจและศรัทธาในตัวของเขา มองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ใช่เครื่องจักรที่ต้องเล่นทุกนัด ทำผลงานให้ดีตลอดเวลา
โดยเทน ฮาก ปรับเพิ่มให้กับ แรชฟอร์ด คือเรื่องการรักษาวินัย การโฟกัสกับเกมในฐานะมืออาชีพ ไม่ใช่ ตัวเเบกของสโมสร ... เทน ฮาก ปล่อยให้แรชฟอร์ดได้ใช้ความเป็นมนุษย์ มากกว่าเป็นนักฟุตบอล แต่ก็ไม่ได้ปล่อยปะละเลย เพราะเขาเองก็เคยลงโทษ แรชฟอร์ด ที่นอนตื่นสายจนมาประชุมทีมช้า ซึ่งนั่นทำให้ แรชฟอร์ด โดนดรอปเป็นตัวสำรองในเกมกับ วูล์ฟส์ ซึ่งปกติแล้ว ไม่เจ็บ ไม่แบน ถ้าอยู่ในเกมสำคัญ แรชฟอร์ด จะต้องลงเล่นตลอด ซึ่งมันได้ผล แรชฟอร์ด คือนักเตะที่ดีที่สุดของ ยูไนเต็ด ซีซั่นที่แล้ว จนหลายคนมองว่าสามารถคาดหวังกับตัวเขาได้ ... แต่แล้วในปีนี้ ทุกอย่างก็วนกลับมาที่จุดเดิมอีกครั้ง
แรชฟอร์ด ทำผลงานในสนามได้อย่างล้มเหลวทั้งในเชิงสถิติ ภาษากาย หรือแม้แต่เรื่องนอกสนาม ที่เขามีปัญหาเรื่องวินัยในตอนนี้.. คำถามคือนี่คือเรื่องปัญหาทางจิตหรือไม่ ?
สรุปแล้วจิตใจอ่อนแอ หรือเป็นแค่เรื่องฝีเท้า ?
แรชฟอร์ด คือนักเตะที่ดีหรือไม่ ? คำนี้ถ้าคุณเอาสถิติมาอ้างอิงและวัดตามเกรดมารตรฐานของนักเตะแถวหน้าของพรีเมียร์ลีก คุณจะได้คำตอบว่าเขาเป็นนักเตะประเภทเกรดบี กล่าวคือฝากความหวังได้ในระดับหนึ่ง แต่ไมได้การันตีว่าจะมีผลงานที่เชื่อถือได้ 100% เมื่อได้ลงสนาม หากเทียบกับนักเตะเกรดที่สูงกว่าอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, เควิน เดอ บรอยน์, เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ หรือแม้กระทั่งรุ่นใหม่ ๆ อย่าง บูคาโย่ ซาก้า ที่แบกทีมของพวกเขาได้อย่างเห็นภาพ
อลัน เชียร์เรอร์ ตำนานพรีเมียร์ลีกมองว่า แรชฟอร์ด เป็นนักเตะที่แบกรับความกดดันและความคาดหวังมากเกินกว่าระดับฝีเท้าของตัวเอง
"ผมคิดว่าคำตอบคือเราไม่มีทางรู้ว่าเกิดอะไรภายในสโมสรกับ แรชฟอร์ด เพราะเราไม่ใช่คนใน แต่ที่แน่ ๆ เขาไม่มีความสุข มันถูกแสดงออกมาจากภาษากายของเขา เขากลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ขึ้นมามาก และเมื่อเขาเป็นแบบนี้ เขาไม่มีทางที่จะเอาฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาได้ ... ไม่รู้เพราะอะไร เขาอาจจะผิดหวังมาก เพราะปีที่เเล้วเขาก้าวไปอีกระดับแล้ว แต่ปีที่นี้ทุกอย่างพลิกไปหมด สโมสรยังไปไม่ถึงเป้าหมายนั้น ตัวของเขาเองก็ด้วย เขาแบกรับความคาดหวังไว้เกินตัวนั่นคือสิ่งที่เราสัมผัสได้ คุณลองเปรียบเทียบกับตอนที่เขาเล่นในทีมชาติอังกฤษ กับตอนเล่นให้ ยูไนเต็ด คุณจะเข้าใจเรื่องนี้เลย"
ขยายความจากเชียร์เรอร์ คือ ที่ยูไนเต็ด เป้าหมายถูกตั้งไว้สูง โดยเฉพาะกับ แรชฟอร์ด ที่ทำได้ดีในปีที่แล้วที่อะไรๆ ก็ลงล็อค แต่ตอนนี้ทุกอย่างผิดแผน ตัวของเขากำลังทำหน้าที่มากเกินสิ่งที่ตัวเองเป็น และมันพาไปสู่ปัญหาที่แตกต่างออกไปจากฤดูกาลที่เเล้ว
"แรชฟอร์ด เป็นนักเตะที่เก่งในระดับหนึ่ง แต่คุณจะพบว่าเป็นคนที่เคยโดนลงโทษทางวินัยเมื่อปีก่อน ผมคิดว่าตอนนี้มันต้องมีอะไรผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขาซึ่งน่าจะเป็นเรื่องภายในสโมสร"
"มีบางอย่างผิดปกติชัดเจน อาจจะเกิดจากที่บ้านหรือความสัมพันธ์ภายในสโมสร ดูก็รู้ว่าเขาไปต่อไม่ได้แล้ว เขาสูญเสียพรสวรรค์ที่มี เขาต้องการใครสักคนที่ชัดเจน แข็งกร้าว แต่เข้าใจในตัวของเขา 30 ประตูปีที่แล้ว สู่ 4 ประตูในซีซั่นนี้ เขาแบกโลกไว้ทั้งใบ และเขารับมือกับมันไม่ไหวแล้ว" เชียร์เร่อร์ ว่าต่อ
สิ่งที่เชียร์เรอร์ พูดเราเชื่อว่าหลายคนก็มองออก แรชฟอร์ด มีปัญหาแน่นอน และเรื่องนี้จะโทษแต่ตัวเขาก็ไมได้เช่นกัน บรรยากาศโดยรอบก็มีส่วนในการเปลี่ยนให้เขาเป็นแบบนี้
เมื่อคุณมองที่ ยูไนเต็ด ซีซั่นนี้ คุณจะได้คำตอบว่าทุกอย่างตรงกันข้ามกับปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง วิธีการเล่น สปิริตในทีม และความเข้มของโค้ชอย่าง เอริค เทน ฮาก ที่หายไปอย่างน่าประหลาด ดังนั้นเมื่อทั้งทีมดรอปลง นักเตะอย่าง แรชฟอร์ด ที่พื้นฐานอาจจะไมได้เป็นนักเตะที่เก่งที่สุด หรืออยู่ในระดับเกรดตัวท็อปของโลก จึงได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ มันเหมือนกับที่เขาเคยบอกไว้เมื่อ 3 ปีก่อนว่า "นักเตะที่ดีมีมากมาย แต่สิ่งที่ทำให้เห็นนักเตะที่แตกต่างคือสภาพจิตใจของเขา"
ตอนนี้ แรชฟอร์ด เองเดินวนกลับมาที่เดิม เหมือนวันที่เขาฝืนแบกไหล่ที่เจ็บทนเล่นเป็นปี ปีนี้ เทน ฮาก ใส่ชื่อ เเรชฟอร์ด เป็นตัวหลักแทบทุกเกม แต่กลับกลายเป็นว่ามันไม่ได้ทำให้เขาเจอจุดเปลี่ยน แต่มันเป็นการกดทับซ้ำ ๆ ของความกดดัน และสภาพจิตใจที่ย่ำแย่
จากผลงาน 30 ประตูในซีซั่นที่แล้ว แรชฟอร์ด กลับมาถูกแฟน ๆ ตั้งความหวังว่าเขาจะทำแบบนั้นได้อีก หรือทำได้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แต่ในความจริง นั่นอาจจะเป็นขีดจำกัดของเขา หรืออาจจะต้องการแรงสนับสนุนอย่างมากจากสโมสรและเพื่อนร่วมทีมก็เป็นได้
แน่นอนว่ามันคงไม่ถูกนักหากคนเราจะโทษคนอื่นก่อน ในส่วนของ แรชฟอร์ด นั้นพูดได้ว่าปัญหาด้านจิตใจกลับมาเยือนเขาอีกครั้งเหมือนกับ 3 ปีก่อน และครั้งนี้ดูจะหนักหนากว่าเดิมด้วย เพราะตัวของเขาเองกำลังเจอกับปัญหาซ้ำ ๆ และพาตัวเองอยู่ในจุดที่เรียนรู้ว่าไม่เคยทำมาแล้วในอดีต ยกตัวอย่างเช่นเรื่องการหนีเที่ยว ซึ่งเรื่องเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นได้ในหมู่นักเตะดัง แต่สำหรับแรชฟอร์ด ด้วยผลงานในสนามของเขาในตอนนี้ การหนีเที่ยวคือสิ่งที่ทำให้เขาโดนเพ่งเล็งมากขึ้น โดนแฟนทีมอื่นล้อเลียนมากขึ้น ซึ่งนั่นจะทำให้ปัญหาของเขาถูกขยายใหญ่ขึ้นอีก
เราจะสรุปเรื่องนี้อย่างไร ?
ประการแรก แรชฟอร์ด คือนักเตะที่ดีและฝากความหวังได้ แต่ไม่ใช่ในระดับที่แบกทีมด้วยตัวเอง จากสถิติและสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตชี้ให้เห็นว่า แรชฟอร์ด คือนักเตะที่เก่งเมื่ออยู่ในภาพทีมที่พร้อมจะผลักดันกันไปทั้งทีม กล่าวคือถ้าบรรยากาศทีมดี นักเตะทั้งทีมรวมใจกันสู้ เขาคือหนึ่งในอาวุธสำคัญของทีมได้ หากเปรียบให้เห็นภาพ คือในวันที่เขาเล่นด้วยความสนุก ใช้หัวใจนำทาง ฝีเท้าของเขาก็ถูกยกให้สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งคุณลักษณะของนักกีฬาชั้นยอดนั้นออกจะแตกต่างออกไปสักหน่อย เพราะนักกีฬาแถวหน้าของโลกหลายคนพยายามก้าวข้ามตัวเองในทุก ๆ วัน แม้ว่าสภาพเเวดล้อมจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม
ยกตัวอย่างเช่น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในวันที่เขากลับมาอยู่กับ ยูไนเต็ด แม้เขาจะบอกว่าสโมสรขาดการพัฒนาต่าง ๆ สารพัด นักเตะหลายคนมีปัญหาเรื่องฟอร์มในสนามและความเป็นมืออาชีพ แต่เมื่อโรนัลโด้ ในวัยใกล้ ๆ 40 ปี ลงสนามเขายิงประตูได้เสมอ และเขากลายเป็นคนที่ยิงมากที่ในทีม ท่ามกลางคนหนุ่มมากมาย ... นี่คือแนวคิดของนักกีฬาแถวหน้า ที่มองปัญหาของตัวเองเป็นหลัก และมองปัญหาภายนอกเป็นเรื่องรอง
กล่าวคึอความกระหายอยากในการเอาชนะสิ่งรอบตัวของเขาอาจจะยังไม่มากพอทั้งเรื่องของเทคนิค, ร่างกาย และจิตใจ ... นักกีฬาระดับโลกหลายคนแบกปัญหามากมาย แต่กลับไมได้แสดงออกแบบนี้ที่ แรชฟอร์ด ทำ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นนักเตะอย่าง เดอ บรอยน์ หรือ ซาลาห์ ที่แทบจะไม่เคยสร้างปัญหาจากเรื่องนอกสนามเลย
ประการที่ 2 คือมันขึ้นอยู่กับการจัดการภายในสโมสรแมนฯ ยูไนเต็ด ว่าสุดท้ายแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเรื่องเสื่อมเสีย หรือข่าวแย่ ๆ จึงมักจะเกิดกับนักเตะของพวกเขาอยู่เรื่อยไป มันอาจจะคล้าย ๆ อย่างที่เชียร์เรอร์ บอกว่า ปัญหานี้ต้องเริ่มจากสโมสร ยูไนเต็ด ที่ต้องมีผู้บริหาร หรือ "หัวหน้า" ที่ตั้งใจจะพัฒนาทีมอย่างจริงจัง มีหลักการที่ชัดเจน มีแนวทางที่เข้นข้น แข็งแกร่งซึ่งจุดนี้จะกลายเป็นกฎที่คัดกรองนักเตะสักคนที่จะเข้ามาอยู่ในทีม ถ้าทำได้ คุณจะไม่เกิดปัญหาแบบที่ ยูไนเต็ด เจอในเวลานี้ หรือช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นปัญหาวินัยของนักเตะทั้งนั้น เช่น ปอล ป็อกบา, เจดอน ซานโช่, เมสัน กรีนวู้ด,อันโทนี ่และ ล่าสุดอย่าง แรชฟอร์ด … ปัญหาเหล่านี้คือเรื่องซ้ำซากที่แก้กันไม่จบสักที
เพราะท้ายที่สุดแล้วหากคุณได้นักเตะที่มีความแข็งแกร่งทั้งสภาพร่างกาย สภาพจิตใจ และเทคนิคที่ดีพอมารวมตัวกัน มันจะสามารถเปลี่ยนบรรยากาศทั้งทีมได้ และทั้งทีมจะช่วยกันผลักดันกันเอง ไม่ว่าจะในแง่ของการแย่งตำแหน่งตัวจริง หรือแม้กระทั้งการที่ทุกคนตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นที่ 1 ให้ได้
เมื่อคุณได้นักเตะที่เป็นไทป์เดียวกัน พวกเขาจะไม่แตกแถว จะไม่มีใครเกิดอาการมองว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น หรือได้รับการปฎิบัติที่ไม่เป็นธรรม ไมได้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน หลักสำคัญคือการให้ความสำคัญกับนักเตะทั้งทีม โดยไม่หวังพึ่งกับคนใดคนเดียวเป็นพิเศษ
ถ้าทุกคนพร้อมไปในทิศทาง และมีเป้าหมายเดียวกัน แม้แต่นักเตะที่ไมได้เก่งอะไรมาก ก็จะสามารถเติมเต็มให้กับทีมได้ ... ดังนั้นเรื่องของ แรชฟอร์ด ในเวลานี้หากจะแก้ปัญหาได้ต้องช่วยกันทุกฝ่าย ตัวของนักเตะจะต้องเดินทางกลับสู่โลกของมืออาชีพอีกครั้ง นั่นคือต่อให้เขาจะมีปัญหานอกสนามแค่ไหน แต่เมื่อลงสนามทุกอย่างต้องถูกโยนทิ้งเอาไว้ข้างหลัง และพุ่งไปยังชัยชนะของทีมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
และท้ายที่สุดคือองค์กรที่ดี จะต้องสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี จะสามารถดึงเอาศักยภาพที่ดีที่สุดของบุคลากรในองค์กรได้เช่นกัน เหมือนที่ แรชฟอร์ด แสดงให้เห็นในซีซั่นที่เเล้ว...ซึ่งจุดนี้ใหญ่เกินกว่าที่เขาจะแก้ได้ตัวเอง และต้องรอดูกันต่อไปว่า สโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กำลังมีการเปลี่ยนเเปลงภายในองค์กร จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้หรือไม่
แหล่งอ้างอิง
https://feynmaneducation.com/marcus-rashford/
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-11790669/Man-United-Marcus-Rashford-red-hot-form-insists-football-95-CENT-mentality.html
https://eightify.app/summary/mental-health-and-wellness/unlocking-marcus-rashford-s-mental-resilience-the-psychology-of-redemption
https://www.theguardian.com/lifeandstyle/2021/aug/21/how-to-win-at-life-what-sports-psychologists-can-teach-us-all
https://www.bbc.com/sport/football/68124540
https://www.goal.com/en/lists/cant-keep-doing-this-marcus-rashford-accused-wasting-talent-man-utd-erik-ten-hag-wrath-nightclub-visit/bltdb29fc48f5fd15c9#cs6d03cf5d22694c52
https://www.goal.com/en/lists/get-it-together-marcus-rashford-no-more-excuses-letting-down-man-utd-wasting-talent/blt5430485149d1e3dc