หากพูดถึงวงการมวยปล้ำ เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก แรนดี้ ออร์ตัน (Randy Orton) เจ้าของสถิติแชมป์โลก 14 สมัย ที่ในปัจจุบันยังคงโลดแล่นอยู่ในค่าย WWE มาอย่างยาวนานมากกว่า 20 ปี
แต่ใครจะไปรู้ว่าเคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง เจ้าของสมญานาม “The Legend Killer” เคยถูกสมาคม WWE ทำการยึดเข็มขัดแชมป์โลก เพราะอะไรถึงได้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นกับ แรนดี้ ออร์ตัน
ติดตามไปพร้อมกันกับ Main Stand
ชีวิตในเรือนจำของ แรนดี้ ออร์ตัน
แรนดี้ ออร์ตัน หรือ แรนเดล คีธ ออร์ตัน เกิดเมื่อวันที่ 1 เมษายน 1980 เติบโตที่เมืองน็อกซ์วิลล์ รัฐเทนเนสซี ประเทศสหรัฐอเมริกา
แรนดี้ ออร์ตัน ได้รับการเลี้ยงดูเป็นส่วนใหญ่จากคุณแม่ของเขา เนื่องจากคุณพ่อของเขาอย่าง บ็อบ ออร์ตัน จูเนียร์ (Bob Orton Jr.) ประกอบอาชีพเป็นนักมวยปล้ำสืบต่อกันมาจาก บ็อบ ออร์ตัน ซีเนียร์ (Bob Orton Sr.) คุณปู่ของ แรนดี้ ออร์ตัน จึงส่งผลให้คุณพ่อของเขา ต้องเดินทางออกไปปล้ำมวยปล้ำตามสถานที่ต่างๆ แทบจะไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว มากเท่าไหร่นัก
ด้วยความที่คุณพ่อและคุณปู่ประกอบอาชีพเป็นนักมวยปล้ำ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ แรนดี้ ออร์ตัน จะชื่นชอบกีฬามวยปล้ำและมีใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นนักมวยปล้ำเหมือนกับคุณพ่อและคุณปู่ของเขา
แต่คุณพ่อและคุณแม่ของ แรนดี้ ออร์ตัน กลับไม่ต้องการให้ลูกชายเติบโตไปเป็นนักมวยปล้ำ เนื่องจากมองว่ากีฬามวยปล้ำในยุคสมัยก่อน เป็นกีฬาที่ไม่มีความมั่นคงในการประกอบอาชีพ หากไม่ใช่นักมวยปล้ำที่มีชื่อเสียงมากพอ และเป็นกีฬาที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเวลา
ในเมื่อคุณพ่อและคุณแม่ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าไม่ต้องการให้ แรนดี้ ออร์ตัน จึงส่งผลให้ หลังจบการศึกษามัธยมปลาย แรนดี้ ออร์ตัน ตัดสินใจสมัครเข้าร่วมหน่วยทหารนาวิกโยธิน ของประเทศสหรัฐอเมริกา
ชีวิตในกองทัพนาวิกโยธินของ แรนดี้ ออร์ตัน เป็นเรื่องที่ไม่น่าจดจำมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากเขาเคย “ติดคุก” ในเรือนจำทหาร เป็นเวลา 38 วัน
สาเหตุเกิดจาก เขารู้สึกไม่พอใจที่ถูกสั่งให้ทำในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของทหารนาวิกโยธิน โดยหลังจากที่ แรนดี้ ออร์ตัน เริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่พบเจออยู่ในทุกวัน
โดย แรนดี้ ออร์ตัน ได้ออกมาเปิดใจถึงประเด็นดังกล่าวไว้ว่า “ผมตัดสินใจสมัครเข้ามาที่นี้ เพราะผมต้องการเป็นทหารนาวิกโยธิน แต่สิ่งที่ผมได้ทำอยู่ในทุกวัน แทบที่จะไม่มีอะไร เกี่ยวข้องกับทหารนาวิกโยธินแม้แต่น้อยนิด”
ซึ่งเหตุการณ์ที่ส่งผลให้ แรนดี้ ออร์ตัน ต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำเป็นเวลา 38 วัน เกิดจากที่เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิตในกองทัพนาวิกโยธิน เขาจึงเลือกที่จะหนีออก จากกองทัพและไม่กลับมาที่นั้นอีกเลย
จึงเป็นเหตุให้ทางกองทัพนาวิกโยธิน ดำเนินการส่งจดหมายเรียกตัวให้ แรนดี้ ออร์ตัน กลับไปปฏิบัติหน้าที่ แต่ด้วยความที่เขาไม่ต้องการที่จะกลับไปที่ดังกล่าวอีกต่อไปแล้ว เขาจึงทำการ “เพิกเฉย” ต่อหมายเรียกตัวดังกล่าว
จนกระทั่งผู้บังคับบัญชา และ ทางหน่วยงานของฐานทัพ ทำการยื่นเรื่องดำเนินคดีต่อ แรนดี้ ออร์ตัน กับศาลทหารในประเทศสหรัฐอเมริกา และ ถูกศาลตัดสินให้จำคุกในเรือนจำ ทหารเป็นเวลา 38 วัน
ซึ่งหลังจากที่ผ่านช่วงเวลาการอยู่ในเรือนจำ แรนดี้ ออร์ตัน ได้ออกมาเล่าถึงความในใจ ถึงสมัยที่ใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพนาวิกโยธินเอาไว้ว่า
“ถึงแม้ว่าชีวิตของผมกับการเป็นทหารนาวิกโยธิน จะดูไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่นัก แต่ผมรู้สึก ดีใจที่ครั้งหนึ่งของชีวิตได้เกิดมาเป็นทหารนาวิกโยธิน ที่นี่ทำให้ผมได้รู้จักกับเพื่อนที่ดีใน กองทัพ ผู้บังคับบัญชาอีกหลายท่านที่ดีต่อผม ผมเคารพทุกท่าน ผมเคารพหน่วยฝึก ทหารนาวิกโยธิน และ ผมยังรักมาโดยตลอด แต่ผมหวังว่าเรื่องราวที่ผมได้พบเจอ จะได้รับการ แก้ไข เพื่อให้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเป็นทหารนั่นดียิ่งขึ้น”
หลังจากปลดประจำการในการเป็นทหาร และ ออกมาจากเรือนจำทหาร แรนดี้ ออร์ตัน เลือกไป สมัครงานพาร์ทไทม์ที่ปั๊มน้ำมัน แต่ด้วย “ค่าจ้าง” ที่น้อยมาก
ส่งผลให้ แรนดี้ ออร์ตัน ได้มองถึงเส้นทางอาชีพในด้านอื่น และเส้นทางต่อไปที่เขาเลือกนั่น ได้แก่ เส้นทางมวยปล้ำอาชีพ เหมือนกับคุณพ่อและคุณปู่ของเขา
ผมอยากเป็นนักมวยปล้ำ เหมือนกับคุณพ่อและคุณปู่
แม้ว่าคุณพ่อและคุณแม่จะไม่ต้องการให้ แรนดี้ ออร์ตัน เติบโตไปเป็นนักมวยปล้ำอาชีพ แต่ด้วยการที่เขาได้เห็นคุณพ่อและคุณปู่ โชว์ลีลาการเป็นนักมวยปล้ำให้ดูตั้งแต่เด็ก แรนดี้ ออร์ตัน จึงยืนกรานอย่างหนักแน่นต่อคุณพ่อและคุณแม่ของเขาว่า “ผมใฝ่ฝันอยากเป็น นักมวยปล้ำอาชีพเหมือนกับคุณพ่อและคุณปู่ ยังไงผมก็จะเป็น ผมจะทำมันให้ได้”
ในเมื่อลูกชายผู้เป็นที่รัก พูดออกมาขนาดนั้นแล้ว บ็อบ ออร์ตัน จูเนียร์ คุณพ่อของ แรนดี้ ออร์ตัน ก็ไม่ปิดโอกาสความใฝ่ฝันของลูกชาย โดยเขาได้เริ่มฝึกสอนเบสิคพื้นฐาน การเป็นนักมวยปล้ำอาชีพให้กับลูกชาย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
โดย บ็อบ ออร์ตัน จูเนียร์ ได้บอกกับลูกชาย ถึงการที่จะเติบโตไปเป็นนักมวยปล้ำอาชีพไว้ว่า “พ่อบอกกับลูกอยู่เสมอ ว่าอย่ามาเป็นนักมวยปล้ำเหมือนกับพ่อ เพราะมันจะทำให้ชีวิตของลูกเปลี่ยนไปทุกอย่าง ลูกจะต้องไปในทุกที่ ลูกจะต้องห่างกับครอบครัว ห่างกับคนรัก แต่ในเมื่อลูกอยากเป็นนักมวยปล้ำเหมือนกับพ่อและปู่ของลูก พ่อก็จะไม่ห้ามในสิ่งที่ลูกอยากเป็น ไปลุยกัน ไอ้ลูกชาย ตั้งใจให้มากที่สุด ให้เก่งกว่าพ่อและไปให้ไกลกว่าพ่อให้ได้นะลูก”
The Legend Killer
หลังจาก “ฝึกฝนวิชา” มาได้สักระยะ แรนดี้ ออร์ตัน พิสูจน์ฝีมือได้เป็นที่น่าพอใจ จนได้รับการ เซ็นสัญญากับค่ายมวยปล้ำชื่อดังของโลกอย่าง WWE (World Wrestling Entertainment) ในปี 2000
ก่อนที่จะถูกส่งตัวไปฝึกฝนเพิ่มเติมกับค่ายมวยปล้ำ OVW (Ohio Valley Wrestling) ค่ายมวยปล้ำในเครือของ WWE
ซึ่งค่าย OVW นั่นเต็มไปด้วยนักมวยปล้ำดาวรุ่งที่น่าจับตามอง หลายต่อหลายคนอาทิเช่น The Prototype (จอห์น ซีน่า ในปัจจุบัน) , Leviathan (เดฟ บาติสต้า ในปัจจุบัน) และ Brock Lesnar (บร็อค เลสเนอร์)
ถึงแม้ว่า แรนดี้ ออร์ตัน จะอยู่กับสมาคม OVW เพียงระยะเวลาสั้นๆแค่ 2 ปี แต่เขาก็ยังสามารถ คว้าแชมป์ของสมาคมได้ถึง 2 ครั้งด้วยกัน ด้วยการเป็นแชมป์ OVW Hardcore Championship 2 สมัย
ก่อนที่ในปี 2002 แรนดี้ ออร์ตัน จะถูก WWE ดึงตัวกลับไปที่สมาคม และได้รับโอกาส ขึ้นสังเวียนเป็นครั้งแรกในศึก Smackdown เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2002 โดยเป็นการเอาชนะ นักมวยปล้ำจอมเก๋าอย่าง ฮาร์ดคอร์ ฮอลลี่ (Hardcore Holly)
ซึงในแมตช์ดังกล่าว แรนดี้ ออร์ตัน ได้ออกมาพูดความในใจ เกี่ยวกับการเริ่มปล้ำครั้งแรก ของเขากับสมาคม WWE ไว้ว่า ”เป็นความรู้สึกที่ผมรู้สึกประหม่ามากที่สุดในชีวิต ถึงแม้ว่าผมจะเคยขึ้นปล้ำที่ค่ายอื่นมาแล้วก็ตาม แต่การขึ้นปล้ำกับสมาคมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของวงการมวยปล้ำ เป็นอะไรที่อธิบายไม่ถูก ผมรู้แค่ว่าตอนนั้นผมกลัวมากที่จะทำออกมา ได้ไม่ดีพอ”
หลังจากนั้น แรนดี้ ออร์ตัน เริ่มโชว์ผลงานการปล้ำได้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น อยู่ในมาตรฐานที่ดี มาโดยตลอด จนเป็นที่ถูกใจของผู้ใหญ่ในสมาคม WWE จึงส่งผลให้เขาได้รับการผลักดัน ให้ขึ้นมาเป็นนักมวยปล้ำระดับสูงของสมาคมอย่างรวดเร็ว
โดยเริ่มจากให้ แรนดี้ ออร์ตัน เข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม Evolution ที่ประกอบไปด้วย สุดยอดนักมวยปล้ำแถวหน้าของ WWE อย่าง ทริปเปิ้ลเอช (Triple H) , ริค แฟลร์ (Ric Flair) และ เดฟ บาติสต้า (Dave Batista)
หลังจากที่ได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มของ Evolution แรนดี้ ออร์ตัน ออกมาประกาศต่อหน้าผู้คนไว้ว่า “ฉันนี้แหละคืออนาคตของสมาคม ที่นี้ไม่จำเป็นต้องมีไอ้พวกนักมวยปล้ำแก่ๆ ที่บอกว่าตัวเอง เป็นตำนาน ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ทุกคนได้เห็นพวกมัน”
หลังจากที่ แรนดี้ ออร์ตัน ได้ลั่นวาจานี้ออกไป เขาเริ่มเปิดศึกกับนักมวยปล้ำรุ่นเก๋าระดับตำนาน หลายต่อหลายคนในสมาคม WWE เริ่มจาก ชอว์น ไมเคิลส์ (Shawn Michaels) , ฮัลค์ โฮแกน (Hulk Hogan) , มิค โฟลีย์ (Mick Foley) และ ร็อบ แวน แดม (Rob Van Dam)
ซึ่งหลังจากที่เขาเริ่ม “ไล่เก็บ” นักมวยปล้ำระดับตำนานที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้ แรนดี้ ออร์ตัน ถูกขนานนามว่าเป็น “The Legend Killer” นักฆ่าในตำนาน
ซึ่งแมตช์ที่ทำให้เจ้าตัวได้รับการชื่นชมและเป็นที่ยกย่องมากที่สุด คงหนีไม่พ้นแมตช์ที่ แรนดี้ ออร์ตัน เจอกับ มิค โฟลีย์ เพราะว่าในแมตช์ดังกล่าวทั้งคู่ต่างทุ่มเทเป็นอย่างมาก ปล้ำกันดุเดือดถึงกระทั่งใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยเลือด
โดย แรนดี้ ออร์ตัน ได้ออกมาเปิดใจพูดขอบคุณ มิค โฟลีย์ ถึงการเจอกันในแมตช์ดังกล่าว เอาไว้ว่า “เป็นเรื่องที่น่าวิเศษอย่างมากสำหรับผมเลย ในการได้ปล้ำกับสุดยอดตำนานอย่าง มิค โฟลีย์ ผมเดินเข้าไปขอบคุณเขาหลังจบแมตช์วันนั้น ผมมองว่าถ้าไม่มีเขากลับมา ผลักดันผมในวันนั้น ผมอาจจะไม่ใช่นักมวยปล้ำที่มีชื่อเสียงในตอนนี้ ผมขอบคุณเขาจริงๆ”
แชมป์โลกที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์
หลังจากที่สะสมบารมีได้มากพอสมควร จนขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักมวยปล้ำระดับแถวหน้า ของสมาคม WWE แรนดี้ ออร์ตัน ได้รับการผลักดันให้ขึ้นมามีส่วนร่วมในการชิงเข็มขัด แชมป์โลก World Heavyweight Championship จากการที่สามารถเอาชนะได้ในศึก แบทเทิลรอยัลหาสิทธิ์ผู้ท้าชิงอันดับ 1 ของแชมป์เส้นดังกล่าว
ส่งผลให้ แรนดี้ ออร์ตัน ต้องโคจรไปพบกับ คริส เบนวา (Chris Benoit) ในศึกใหญ่ของสมาคม อย่าง Summerslam 2004 ที่เพิ่งจะกระชากแชมป์โลก World Heavyweight Championship มาได้จาก ทริปเปิ้ลเอช หัวหน้ากลุ่ม Evolution
ทั้งคู่สู้กันได้อย่างสนุก เล้าใจ ก่อนที่จะเป็น แรนดี้ ออร์ตัน ใช้จังหวะฉวยโอกาสใส่ท่าไม้ตาย “RKO” จับ คริส เบนวา กดนับสาม คว้าแชมป์โลก World Heavyweight Championship ไปครองได้สำเร็จ
เป็นการคว้าแชมป์โลกได้สมัยแรกของ แรนดี้ ออร์ตัน และ ยังได้จารึกสถิติ เป็นนักมวยปล้ำ อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่คว้าแชมป์โลกของสมาคม WWE ซึ่งในขณะนั้น แรนดี้ ออร์ตัน มีอายุเพียงแค่ 24 ปี 4 เดือน 15 วัน โดยสถิติดังกล่าว ยังไม่มีใครสามารถทำลายลงได้ ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน
หลงระเริงในตนเอง จนถูกยึดแชมป์โลก
ถึงแม้ว่า แรนดี้ ออร์ตัน จะคว้าแชมป์โลก World Heavyweight Championship มาครองได้เป็นสมัยแรกของเจ้าตัว แต่กลับไม่เป็นที่พอใจต่อ ทริปเปิ้ลเอช
จึงส่งผลให้เกิดฉนวน “รอยร้าว” ระหว่าง ทริปเปิ้ลเอช และ แรนดี้ ออร์ตัน
จนมาถึงวันที่ แรนดี้ ออร์ตัน ป้องกันแชมป์โลก World Heavyweight Championship กับคริส เบนวา ในศึก Raw วันต่อมาจากศึก Summerslam ซึ่งเป็นทางด้านของ แรนดี้ ออร์ตัน ที่สามารถป้องกันแชมป์เอาไว้ได้สำเร็จ
โดยหลังจบแมตช์ กลุ่ม Evolution ต่างออกมาแสดงความยินดีให้กับ แรนดี้ ออร์ตัน ที่สามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ “กลลวง” เท่านั้น
ทริปเปิ้ลเอช , ริค แฟลร์ และ เดฟ บาติสต้า ได้ทำการ “หักหลัง” แรนดี้ ออร์ตัน ทั้ง 3 คน พร้อมใจกันรุมกระทืบ แรนดี้ ออร์ตัน จนหมดสภาพ ซึ่งหลังจากนั้น ทริปเปิ้ลเอช ได้สบถด่า เพิ่มเติมอีกว่า
“ฉันปลุกปั้นแกเพื่อให้ขึ้นมาแทนที่ฉันในตอนที่ฉันวางมือ แต่แกกลับมาริอาจแย่งที่ของฉันแกจะเป็นแชมป์เส้นไหนก็ได้ แต่มันต้องไม่ใช่เส้นนี้ ไม่ใช่หน้าที่ของแกด้วยซ้ำที่จะมา เป็นแชมป์โลกในตอนนี้ ฉัน , ริค แฟลร์ และ บาติสต้า ไม่ได้อยากที่จะหักหลังแกเลย แต่แกมันไม่รู้จักสำนึกบุญคุณของพวกฉัน แกก็ต้องรับกรรมสิ่งที่แกทำเอาไว้”
หลังจากนั้นไม่นาน ทริปเปิ้ลเอช ใช้กลโกงในทุกรูปแบบในการเจอกับ แรนดี้ ออร์ตัน ในศึก Unforgiven 2004 ก่อนที่จะเอาชนะไปได้ในที่สุด กระชากแชมป์โลก World Heavyweight Championship ไปครองได้สำเร็จ
ซึ่งมีสาเหตุออกมาในภายหลังว่าที่ แรนดี้ ออร์ตัน ต้องเสียแชมป์โลก World Heavyweight Championship ให้กับ ทริปเปิ้ลเอช เป็นเพราะว่า นิสัยส่วนตัวที่หลงระเริงในการเป็นแชมป์โลก ของสมาคม จนทำให้เป็นที่ไม่น่าพอใจต่อทีมงานหลังฉากของ WWE
จึงเป็นที่มาของการเสียแชมป์ในทันที ทั้งที่เจ้าตัวเพิ่งจะได้ถือแชมป์โลก World Heavyweight Championship ได้เพียงแค่ 1 เดือนเศษๆเท่านั้น
ปรับปรุงตัวเอง สู่การเป็นตำนานของสมาคม WWE
ในช่วงเวลานั้น แรนดี้ ออร์ตัน ออกมายอมรับว่าเขารู้สึกมั่นใจในตัวเองมากเกินไป จนติดเป็น นิสัยส่วนตัวในเวลานั้น เขาคิดว่าการเป็นแชมป์โลก เปรียบเสมือนเป็นนักมวยปล้ำที่ยิ่งใหญ่ มากที่สุดของสมาคม ซึ่งตัวของ แรนดี้ ออร์ตัน คิดว่าจะทำอะไรก็ได้ในตอนนั้น
โดย แรนดี้ ออร์ตัน ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า เขาใช้ชีวิตอย่างหลงระเริง สำมะเรเทเมา ในช่วงเวลากลางคืนแทบทุกวัน ถึงขั้นมีอยู่วันหนึ่ง ที่เขามีคิวจะต้องเข้าไปฝึกซ้อมในช่วงเช้ากับ อันเดอร์เทคเกอร์ (Undertaker) ก่อนที่ทั้งสองจะต้องมีคิวพบกันในศึกใหญ่ Wrestlemania ครั้งที่ 21
แต่ช่วงเช้าของวันนั้น แรนดี้ ออร์ตัน กับไม่ตื่นไปฝึกซ้อมในเวลาดังกล่าว เนื่องจาก คืนก่อนหน้านั้นเขาได้ออกไปแฮงค์เอาท์จนเกือบถึงช่วงเช้า จึงส่งผลให้ แรนดี้ ออร์ตัน นอนเลยเวลาที่จะต้องเข้ามาฝึกซ้อมในตอนเช้า
ซึ่ง แรนดี้ ออร์ตัน ได้ออกมาพูดถึงประเด็นดังกล่าวเช่นกันโดยเขาพูดถึง อันเดอร์เทคเกอร์ ไว้ว่า “ผมรู้สึกแย่มาก วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมต้องฝึกซ้อมร่วมกับ อันเดอร์เทคเกอร์ แต่ผมกลับตื่นไปซ้อมไม่ทัน ผมทำตัวได้ห่วยแตกสิ้นดี ตอนนั้นผมรู้สึกกลัวเขาด่าเป็นบ้าเลย ผมขอโทษเขา ไปหลายครั้งมาก ผมยอมรับว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ผมผิดหวังในตัวเองมากที่สุด สำหรับการเป็นนักมวยปล้ำอาชีพ”
และยิ่งมากไปกว่านั้นเขายังไปไม่ทันงาน Hall Of Frame ที่ตัวเขาต้องเป็นคนพูดกล่าวเรียนเชิญ ให้กับ บ็อบ ออร์ตัน จูเนียร์ คุณพ่อของเขา ในการเข้าร่วมพิธีดังกล่าว
แรนดี้ ออร์ตัน ได้ออกมาพูดถึงเรื่องราวดังกล่าวผ่านรายการ Podcast ของ สโตน โคลด์ สตีฟ ออสตีน (Stone cold Steve Austin) เอาไว้ว่า
“ผมทำพฤติกรรมได้ย่ำแย่มากในช่วงเวลาดังกล่าว มันช่างน่าทุเรศสิ้นดี ทุกคนต่างเอือมระอา ในตัวผมกันมาก”
หลังจากนั้นมา แรนดี้ ออร์ตัน เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนตัวให้กลับมาเป็นนักมวยปล้ำที่ วินัยยอดเยี่ยม เป็นที่รักต่อทุกคน จนกลายเป็นหนึ่งในสุดยอดตำนานนักมวยปล้ำในปัจจุบัน ที่อยู่กับสมาคมมายาวนานมากถึง 20 ปี
รวมไปถึงเป็นนักมวยปล้ำอีกหนึ่งคนของสมาคม WWE ที่คว้าแชมป์โลกได้มากถึง 14 สมัย
และยังเป็นอีกหนึ่งในนักมวยปล้ำเพียงไม่กี่คนของค่าย WWE ที่ได้รับรางวัลแกรนด์สแลม (Grand Slam) จารึกว่าเป็นนักมวยปล้ำที่คว้าเข็มขัดแชมป์ทุกเส้นของทางค่าย WWE
สุดท้ายแล้วระยะเวลามากกว่า 20 ปี ที่อยู่ในวงการมวยปล้ำอาชีพของ แรนดี้ ออร์ตัน เขาได้พิสูจน์ตัวเองให้ทุกคนทั่วโลกได้เห็นแล้วว่า เขาคือหนึ่งในนักมวยปล้ำที่สุดยอดตลอดกาลคนหนึ่งของโลกมวยปล้ำ
กระทั่งเพื่อนรักเพื่อนซี้ที่เติบโตมาพร้อมกันตั้งแต่ในวันแรกที่ก้าวเข้ามาสู่วงการมวยปล้ำอาชีพอย่าง จอห์น ซีน่า ถึงขั้นออกมายกย่อง แรนดี้ ออร์ตัน เช่นกันโดยพูดเอาไว้ว่า
“เป็นเวลา 20 ปีแล้วที่ แรนดี้ ออร์ตัน โลดแล่นอยู่ในเส้นทางการเป็นนักมวยปล้ำ ผมเคารพและ รักเขาเป็นอย่างมาก เขาคือเพื่อนที่ยอดเยี่ยมของผมมาโดยตลอด สำหรับผม แรนดี้ ออร์ตัน คือหนึ่งในนักมวยปล้ำที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดตลอดกาล”
แม้ว่า แรนดี้ ออร์ตัน จะยืนหยัดอยู่วงการมวยปล้ำมายาวนานมากกว่า 20 ปี และเพิ่งจะหายจาก อาการบาดเจ็บที่หมอนรองกระดูกที่แผ่นหลังอย่างรุนแรง ถึงขั้นเกือบที่จะต้องรีไทร์ เลิกเล่นมวยปล้ำ
แต่เขาก็ยืนยันว่าต้องการที่จะเป็นนักมวยปล้ำอีกต่อไป โดย แรนดี้ ออร์ตัน ได้เปิดใจถึงเรื่องราว ดังกล่าวผ่านรายการ Impaulsive ของ โลแกน พอล เอาไว้ว่า
“ผมจะอยู่ที่ WWE ต่อไป ผมรักในสิ่งที่ตัวเองทำ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำมันได้อีกนานแค่ไหน ตอนนี้ผมอายุ 43 ปีแล้ว ผมเริ่มอาชีพการเป็นนักมวยปล้ำที่เร็ว จนตอนนี้ยาวนานมากกว่า 20 ปี แต่ผมยังรู้สึกมีพลังงานล้นเหลืออีกเยอะมาก ผมยังพร้อมเสมอในการเป็นนักมวยปล้ำต่อไป”
สุดท้ายแล้วเชื่อได้ว่าในเมื่อถึงวันที่เขาตัดสินใจอำลาวงการมวยปล้ำ ชื่อของ “แรนดี้ ออร์ตัน” ก็จะยังคงเป็นนักมวยปล้ำผู้เป็นที่รักและถูกจดจำในฐานะ “ตำนาน” ที่ยอดเยี่ยมอีกหนึ่งคน ของอาชีพนักมวยปล้ำ
แหล่งอ้างอิง
https://www.wwe.com/superstars/randy-orton
https://prowrestling.fandom.com/wiki/Randy_Orton
https://worldwrestlingentertainment.fandom.com/wiki/Randy_Orton
https://www.sportskeeda.com/wwe/why-wwe-star-randy-orton-kicked-military
https://www.wrestlinginc.com/news/2022/04/mick-foley-names-something-randy-orton-did-not-want-to-do-in-their-feud/
https://www.wrestlinginc.com/1397209/wrestling-legend-arn-anderson-one-thing-babyfaces-continue-fail-understand/
https://www.thesportster.com/things-randy-orton-never-accomplished-wwe-wrestling/#never-won-the-universal-championship
https://www.givemesport.com/1610900-wwe-news-randy-orton-reveals-moment-with-the-undertaker-is-one-of-his-biggest-regrets/?fbclid=IwAR073BsBzbuD4sC_Y_KVMKSp11Y-V7S3Zf2wI27KlXEBK4R4IhRSCAlrsnI
https://www.usanetwork.com/usa-insider/randy-orton-talks-wwe-return-world-title-record
https://uproxx.com/prowrestling/randy-orton-grand-slam-champion-wwe-fastlane