Feature

ฟีฟ่าเดย์อุ่นเครื่องยุโรป : ทีมชาติไทย “มีแต่ได้กับได้” | Main Stand

“ช้างศึก” ทีมชาติไทย เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลถึงทวีปยุโรปเพื่ออุ่นเครื่อง 2 นัดในปฏิทินฟีฟ่า พบ จอร์เจีย ในวันที่ 12 ต.ค. 66 และพบ เอสโตเนีย วันที่ 17 ต.ค. 66 

 


โปรแกรมลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ เพราะโดยปกติทีมชาติไทยมักเล่นอยู่ในบ้านของตัวเอง หรือเต็มที่ก็ออกไปเยือนเพื่อนบ้านในทวีปเดียวกัน

นั่นเลยทำให้ 2 เกมนี้แฟนบอลต่างเฝ้ารอคอยดูว่า ทีมชาติไทย จะต่อกรกับ 2 ชาติในยุโรปได้หรือไม่ ซึ่งตอนนี้ทุกคนก็ได้รู้แล้ว

เราไปดูบทสรุปผลงานของทีมชาติไทยไปพร้อมกับ MainStand

 

โปรแกรมออกตั้งนาน … แต่สภาพไม่พร้อม

ก่อนอื่นย้อนกลับไปเล่าแบบย่อ ๆ เกี่ยวกับโปรแกรม 2 นัดนี้ ซึ่งเกิดขึ้นจากการเจรจาระหว่างสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ, สมาคมฟุตบอลจอร์เจีย และ สมาคมฟุตบอลเอสโตเนีย ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว (ประมาณ พ.ย. 65) และได้ข้อสรุปว่าจะอุ่นเครื่องในเดือน ต.ค. 66

เดือน ก.พ. 66 สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ทีมชาติไทย จะลงเตะอุ่นเครื่องพบจอร์เจีย ในวันที่ 12 ต.ค. 66 และพบ เอสโตเนีย วันที่ 17 ต.ค.66 ซึ่ง ณ เวลานั้นไม่มีใครคัดค้าน ตรงกันข้ามกลับเห็นด้วยและชื่นชมการทำงานของสมาคมฯ ว่าสามารถดีลให้ทีมชาติไทยอุ่นเครื่องกับทีมในยุโรปได้ แถมเป็นการเล่นเป็นทีมเยือนเสียด้วย

แต่เมื่อถึงเวลาจริงทีมชาติไทยกลับเจอปัญหา หลังจากที่ตัวแทนคณะทำงานสโมสรไทยลีกมีการประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 66 และมีผู้บริหารสโมสรหนึ่งเอ่ยปากว่า ฟีฟ่า เดย์ รอบนี้ไม่น่าเกิดประโยชน์เพราะเดินทางไกล นักเตะจะมีอาการเหนื่อยล้า ขณะเดียวกันกลับมาต้องลงเล่นในฟุตบอลลีกต่อด้วยถ้วยเอเชีย ACL ดังนั้นนักเตะจะกรำศึกหนักเกินไป จึงเสนอให้เอาผู้เล่น ชุดบี ไปแข่งขันแทน

ข่าวนี้เริ่มหลุดออกมาตามหน้าสื่อ ซึ่งแน่นอนว่าแฟนบอลต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่เห็นด้วย” เพราะนานทีปีหนทีมชาติไทยจะได้ไปเตะไกลถึงยุโรป แถมช่วงเวลาดังกล่าวเป็น ฟีฟ่า เดย์ ฉะนั้นควรได้ผู้เล่นที่ดีที่สุดไปแข่งขัน แต่เสียงบ่นนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เพราะสุดท้ายทุกอย่างเป็นไปตามที่ผู้บริหารพูดเอาไว้ในห้องประชุม

แน่นอนว่า มาโน โพลกิง เฮดโค้ชทีมชาติไทย ไม่สามารถทำอะไรได้ ซ้ำร้ายยังต้องน้อมรับคำสั่งศาล (สโมสร) โดยให้เหตุผลว่าเคารพสโมสร ดังนั้นจะไม่เรียกตัวหลักจากสโมสรที่ต้องเล่น ACL ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตัวหลักในทีมชาติไทย

23 ผู้เล่นที่มาโนประกาศออกมาจึงไร้ตัวหลักจากสโมสรใหญ่หลายคน แม้จะมีตัวหลักจากสโมสรอื่น ๆ แต่กับทีมชาติไทยไม่ใช่ขุมกำลังที่เป็นตัวจริงทั้งหมด

"ผมเชื่อว่าการไปครั้งนี้ ทีมชาติไทย มีแต่ได้กับได้ เพราะนักเตะหลายคนจะได้พัฒนาและยกระดับตัวเองเพื่อเพิ่มการแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งในทีมชาติชุดใหญ่” มาโน ให้สัมภาษณ์ก่อนเก็บตัว

“ผมหวังว่าแฟนบอลจะเข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและเป็นกำลังใจให้กับพวกเราด้วย”

 

สู้ไม่ได้! จอร์เจีย ดาหน้าถล่มเละเทะ 8-0

วันที่ 9 ต.ค. 66 นักเตะไทยตบเท้าเข้ารายงานตัวในช่วงเที่ยง ซึ่งมีแข้งหน้าใหม่ติดทีมชาติเป็นครั้งแรกหลายคน บางคนไม่เคยเจอตัวจริงกันมาก่อน เผลอ ๆ เดินสวนกันในโรงแรมก็คิดว่าเป็นนักท่องเที่ยว ฉะนั้นจึงไม่ต้องถามหาเรื่องความสนิท

ในค่ำคืนนั้นนักเตะไทยออกเดินทางไปประเทศจอร์เจีย โดยใช้เวลาเดินทางประมาณ 15 ชั่วโมง ก่อนลงฝึกซ้อมร่วมกันครั้งแรกในวันที่ 10 ต.ค. 66

วันที่ 11 ต.ค. 66 ทีมชาติไทย ได้ซ้อมร่วมกันอีกเป็นครั้งสุดท้าย เท่ากับว่าทีมชุดนี้ได้ซ้อมกันเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ก่อนลงสนามพบจอร์เจียในวันถัดไป

แอดมินเพจ “สารานุกรมบอลไทย” เดินทางไปชมเกมนี้ที่ประเทศจอร์เจีย โดยไปถึงล่วงหน้าหลายวันและมีโอกาสได้พูดคุยกับคนจอร์เจีย ซึ่งส่วนใหญ่บอกว่าไม่รู้จักทีมชาติไทยมากนัก และไม่เห็นด้วยที่จอร์เจียเลือกไทยเป็นคู่อุ่นเครื่อง เพราะอันดับโลกห่างกันพอสมควร (จอร์เจีย อันดับ 79, ​ไทย อันดับ 112) ยิ่งรู้ว่าไทยไม่ได้ส่งตัวหลักมาก็ยิ่งทำให้พวกเขามองว่าเกมนี้ไร้ประโยชน์

วันที่ 12 ต.ค. 66 มาโนจัด 11 คนแรกในระบบ 3-4-3 ประกอบด้วย กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล, เอเลียส ดอเลาะ, กฤษดา กาแมน (C), จักพัน ไพรสุวรรณ, ทริสตอง โด, วีระเทพ ป้อมพันธ์, พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล, บดินทร์ ผาลา, ปุรเชษฐ์ ทอดสนิท, ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว และ ธีรศักดิ์ เผยพิมาย ส่วน จอร์เจีย ไม่มี ควิชา ควารัตสเคเลีย (Khvicha Kvaratskhelia) ดาวเตะจากนาโปลี ที่เป็นแค่ตัวสำรองและพักตัวหลักอีก 2-3 คน แต่ที่ส่งลงสนามฝีเท้าแทบไม่แตกต่างกัน

รูปเกมตั้งแต่นาทีแรกจอร์เจียเป็นฝ่ายโหมบุก ส่วนไทยหาบอลแทบไม่เจอ 

ประตูแรกเกิดขึ้นเร็วตั้งแต่นาที 9 จากการยิงไกลของ Zuriko Davitashvili

จากนั้นทุกคนเริ่มรับสภาพว่าเกมนี้ไทยไม่อาจสู้ได้ด้วยประการทั้งปวง เพราะจอร์เจียบุกมาแบบไม่พักไม่ผ่อนเหมือนรีบทำรอบ แถมสปีดบอลเร็วจี๋อย่างกับ ยูเซน โบลต์ วิ่งแข่ง แฮร์รี แม็กไกวร์

ประตูที่ 2, 3, 4, 5, 6, 7 และ 8 ตามมาเป็นระยะ (2-0 Luka Lochoshvili น.12, 3-0 Georges Mikautadze น.25, 4-0 Georges Mikautadze น.37, 5-0 Georges Mikautadze น.41, 6-0 Zuriko Davitashvili น.43, 7-0 Georges Mikautadze น.56 (จุดโทษ), 8-0 Khvicha Kvaratskhelia น.66) ก่อนที่ผู้ตัดสินจะทนไม่ไหว เป่านกหวีดยาวหมดเวลาการแข่งขัน

ทีมชาติไทย แพ้ จอร์เจีย 0-8 เป็นสกอร์ที่แฟนบอลไทยไม่คาดคิด

สกอร์ 0-8 กลายเป็นสถิติใหม่ของจอร์เจียในการเอาชนะคู่แข่งแบบขาดลอย ซึ่งไทยได้เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของจอร์เจียเรียบร้อย

“เราเองคาดหวังว่าจะทำผลงานได้ดีกว่านี้ แต่ว่ามันก็เป็นแบบนี้ นักเตะหลายคนที่เราเรียกมาครั้งนี้เพิ่งได้โอกาสลงเล่นทีมชาติครั้งแรก มีนักเตะหน้าใหม่เยอะ ผลก็ออกมาแบบนี้” มาโน โพลกิง ให้สัมภาษณ์หลังจบเกม

ส่วน วิลลี่ ซาญอล ผู้จัดการทีมชาติจอร์เจีย กล่าวว่า “ผมดีใจที่เรายิงประตูได้แบบเป็นกอบเป็นกำ แต่จริง ๆ แล้วเรายังสามารถยิงได้มากกว่านี้อีก จากนี้เราคงต้องทำงานอย่างหนักต่อไปด้วยความเป็นมืออาชีพ”

 

ไทยแพ้ไม่ใช่เรื่องแปลก … แต่สกอร์ 8-0 คือเรื่องใหญ่

ข่าวใหญ่ที่สุดในโลกโซเชียลคือการพูดถึงผลการแข่งขันที่ ไทย แพ้ จอร์เจีย 0-8 ไม่เว้นแม้แต่สื่อเจ้าใหญ่ที่รายงานผลการแข่งขันเกมนี้

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ในไทยแต่ดังไปไกลทั่วอาเซียน โดยเฉพาะแถว ๆ บ้านตระกูลเหงียน จริงอยู่ที่ ทีมชาติไทย สามารถแพ้ได้ แต่สกอร์ที่ขาดลอยขนาดนี้ก็เป็นเรื่องที่เกินจะรับได้

การทวงถามความรับผิดชอบจึงเกิดขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ หนีไม่พ้นที่จะเป็นเป้าหมายแรก

สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ มีอำนาจสูงสุดในการบริหารทีมชาติไทย แต่กลับปล่อยให้ทีมชาติไทยไปแข่งขันในสภาพที่ไม่มีความพร้อมและไร้ซึ่งตัวหลัก

ทั้งที่จริง ๆ แล้วสมาคมฯ สามารถนำระเบียบฯ จาก ฟีฟ่า มาบังคับใช้กับสโมสรให้ปล่อยตัวนักกีฬาได้ แต่เลือกที่จะไม่ (เคย) ทำ และใช้วิธีที่ไม่เป็นสากลจนทำให้สโมสรเหิมเกริม

ขณะที่สโมสรก็ทำตัวใหญ่กว่าสมาคมฯ และ ทีมชาติไทย ซึ่งสถานการณ์ของฟุตบอลไทยในขณะนี้ทุกคนรู้ดีว่าสโมสรมีอำนาจค่อนข้างเยอะ แต่บางครั้งก็ใช้ในทางที่ผิด

ส่วน บ.ไทยลีก จำกัด ก็เลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้เช่นกัน แม้จะจัดวางโปรแกรมออกมาตามระเบียบทุกอย่างและเหมือนที่ลีกทั่วโลกทำกัน แต่การยินยอมให้สโมสรขอขยับวันเตะมาหวดเร็วขึ้นกว่าเดิมจนโปรแกรมไม่เอื้อกับทีมชาติ (และกลายมาเป็นข้ออ้างของแฟนบอลสโมสรนั้น ๆ) เป็นการแสดงให้เห็นว่า บ.ไทยลีก จำกัด ไม่มีพิษสงอะไรเลย

 

“กู้ศรัทธา” เสมอ เอสโตเนีย 1-1

นักเตะไทยลืมความผิดหวังจากเกมแรก แต่ต้องแบกความบอบช้ำเดินทางต่อไปยังประเทศเอสโตเนีย ที่อยู่ไกลออกไปเกือบถึงฟินแลนด์

เอสโตเนีย ทีมอันดับ 115 ของโลก (ต่ำกว่าไทย 3 อันดับ) เพิ่งลงเตะฟุตบอลยูโร 2024 รอบคัดเลือก แพ้คาบ้านต่อ อาเซอร์ไบจาน 0-2 เป็นความพ่ายแพ้ 4 เกมติด แถมตลอดปี 2023 ชนะแค่นัดเดียว (อุ่นเครื่องชนะ ฟินแลนด์ 1-0), เสมอ 2, แพ้ 6

แน่นอนว่าไทยดูดีกว่าหากวัดจากอันดับโลก แต่เมื่อดูจากสภาวะต่าง ๆ ต้องยอมรับว่าไทยเป็นรอง ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ, ความคุ้นชินสนาม และสภาพทีม แต่แล้วทุกอย่างไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อนักเตะไทยต่างรวมใจกัน “กู้ศรัทธา” ด้วยการต่อกรกับเอสโตเนียแบบไม่เป็นรองและสร้างสรรค์โอกาสได้มากมาย

มาโน โพลกิง จัด 11 คนแรกในระบบ 4-3-3 ประกอบด้วย กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล, ทริสตอง โด, เอเลียส ดอเลาะ, จักพัน ไพรสุวรรณ, จักรกฤษณ์ ลาภตระกูล, กฤษดา กาแมน (C), วีระเทพ ป้อมพันธ์, พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล, ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว, บดินทร์ ผาลา และ ยศกร บูรพา

90 นาที จบลงด้วยผลเสมอ 1-1 โดยที่ เอสโตเนีย นำก่อนจาก เฮนรี อานิเยร์ ในนาที 71 ก่อนที่ ไทย จะตีเสมอได้จาก จักพัน ไพรสุวรรณ นาที 76

จากความพ่ายแพ้ในเกมแรกสู่การเสมอเอสโตเนียทำให้หลายสิ่งหลายอย่างดูดีขึ้น โดยเฉพาะสภาพจิตใจของนักเตะ หลายคนพูดถึงนักเตะชุดนี้ที่โชว์ฟอร์มได้ดี อาทิ กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล ที่เซฟอุตลุต, เอเลียส ดอเลาะ ที่กลายเป็นปราการหลังตัวหลักที่เพื่อน ๆ อุ่นใจมากที่สุด, กฤษดา กาแมน กับบทบาทกัปตันทีม รวมถึง วีระเทพ ป้อมพันธ์ กับ พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล ที่เอาความเก๋ามาช่วยทีมได้

 

บทสรุป … มีแต่ได้กับได้

บทสรุปของ ฟีฟ่า เดย์ รอบนี้ พูดได้ว่า ทีมชาติไทย มีแต่ “ได้กับได้” 

ไม่ว่าจะเป็นการได้เห็นตัวผู้เล่นหน้าใหม่ ๆ (บางคน) กับสีเสื้อ “ช้างศึก” ที่อาจเป็นตัวเลือกให้ มาโน โพลกิง ได้ใช้งานในอนาคต

ได้เห็นว่าตัวเองในการเล่นกับทีมท็อปร้อยของยุโรปมาตรฐานแตกต่างกันแค่ไหน

ได้เห็นความตั้งใจของผู้เล่นที่พยายามลบคำสบประมาท

ได้เห็นการวางหมากและแก้เกมของ มาโน โพลกิง

ได้เห็นสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ

และที่สำคัญ … ได้เห็นการบริหารจัดการและความ (ไม่) ร่วมมือกันของบางสโมสรที่มอบให้กับทีมชาติไทย ซึ่งจะถูกพูดถึงไปอีกนานแสนนาน..

 

แหล่งที่มา

https://www.mainstand.co.th/th/features/5/article/3871%E0%B8%9F?fbclid=IwAR1fVS1b6_n-Rv9oBlgPgtjnarCo3ymw2gXoHhFOThI5zr4-_w0aAo4bMcM
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=261343593446279&set=pb.100087119211498.-2207520000&type=3
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=279780594935912&set=pb.100087119211498.-2207520000&type=3
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=717634310404459&set=pb.100064736884331.-2207520000&type=3

Author

Ball Thai Stand

ทุกเรื่องสำคัญฟุตบอลไทย ที่คุณต้องไม่พลาด

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ