ใครหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าครั้งหนึ่ง สโมสรอย่าง ดาร์บี้ เคาน์ตี้ เคยก้าวขึ้นมาเป็นทีมลุ้นแชมป์ฟุตบอลลีกอังกฤษชนิดต่อกรกับทีมแกร่งร่วมลีก ณ เวลานั้นอย่าง ลิเวอร์พูล หรือแม้แต่ ลีดส์ ยูไนเต็ด ได้อย่างสูสี โดยความสำเร็จของทัพแกะเขาเหล็กในครั้งนี้มาจากมันสมองของกุนซือชื่อดังนาม ไบรอัน คลัฟ
นอกเหนือไปจากกึ๋นการคุมทีมจากลีกรองสู่แชมป์ลีกสูงสุดของประเทศจนได้ลงบู๊เวทีระดับยุโรปในกาลต่อมาแล้ว อีกหนึ่งเรื่องราวเกี่ยวกับ ไบรอัน คลัฟ ที่เป็นที่น่าจดจำไม่ต่างไปจากความเกรียงไกรในการคุมสโมสรดังแห่งอีสต์ มิดแลนด์ส นั่นคือเรื่องคาแร็กเตอร์ของคลัฟที่มีทั้งความโผงผาง ไม่แคร์ใคร ฯลฯ จนถูกสื่อตั้งฉายาว่าเป็นกุนซือปากตะไกร นำมาซึ่งเหตุการณ์หลาย ๆ ครั้งที่ตัวตนของเขาดันไม่ถูกใจใครหลายคน
โดยเฉพาะบอร์ดบริหารทีมที่เขาเคยอยู่คุม จนถึงขั้นที่ว่า ไบรอัน คลัฟ เคยงัดข้อกับทีมบริหาร ซึ่งจุดเริ่มต้นของการไม่ลงรอยกันหลาย ๆ ครั้งเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วงในสมัยที่เขาคุมทีมดาร์บี้ เคาน์ตี้
ไบรอัน คลัฟ จารึกเรื่องราวและเริ่มต้นสร้างชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองสมัยคุม เดอะ แลมป์ จนนำไปสู่ฉายาที่โลกลูกหนังต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาคือ “กุนซือปากตะไกร” ไว้อย่างไรบ้าง ติดตามไปพร้อม ๆ กันกับ Main Stand
ราศีจับตั้งแต่ที่ฮาร์ทลีพูลส์
จุดเริ่มต้นในเส้นทางหัวหน้าผู้ฝึกสอนของ ไบรอัน ฮาเวิร์ด คลัฟ หรือ ไบรอัน คลัฟ เกิดขึ้นหลังจากที่เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ดกับซันเดอร์แลนด์ ซึ่งเป็นการเลิกเล่นฟุตบอลก่อนวัยอันควรเนื่องจากอาการเจ็บหัวเข่าเรื้อรัง เขาหยุดเส้นทางแข้งอาชีพในวัย 29 กะรัต
และนั่นก็ทำให้งานแรกที่เขาได้จับงานโค้ชเกิดขึ้นร่วมกับทีมแมวดำในฐานะกุนซือทีมเยาวชนของสโมสร ก่อนที่ช่วงเวลาจากนั้นราว ๆ หนึ่งปี เส้นทางกุนซือใหญ่ของคลัฟก็มาเกิดขึ้นจนได้ เมื่อเขาเซ็นสัญญาเป็นโค้ชสโมสรฮาร์ทลีพูลส์ ยูไนเต็ด (Hartlepools United) จุดน่าสนใจคือเขาก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือตั้งแต่อายุเพียง 30 ปี
ด้วยสถานะทางการเงินของสโมสรที่ไม่สู้ดี เป็นเหตุให้ เออร์เนสต์ ออร์ด ประธานของทีมในเวลานั้น มีแผนหั่นงบประมาณหลาย ๆ อย่างทิ้ง หนึ่งในนั้นคือการตัดสินใจไล่ ปีเตอร์ เทย์เลอร์ ผู้ช่วยของคลัฟ ที่ต่อมาจะกลายเป็นคู่หูคู่บุญของคลัฟ ออกจากตำแหน่ง โดยอ้างเหตุผลเรื่องไม่มีงบในการจ้าง
แน่นอนว่านี่คือเรื่องที่คลัฟไม่พอใจอย่างยิ่ง เพราะเทย์เลอร์คือคนที่เขาเป็นคนดึงเข้ามาช่วยงาน แถมทั้งสองก็สนิทกันมาตั้งแต่สมัยเล่นฟุตบอลด้วยกันที่มิดเดิลสโบรห์ ด้วยเหตุนี้ ไบรอัน คลัฟ จึงตัดสินใจลาออกตาม
สุดท้ายแล้ว เสียงส่วนใหญ่กับเทไปยังฝั่งของคลัฟและเทย์เลอร์ ว่ากันว่าเหตุผลหลักคือความทุ่มเทของทั้งสองที่มีต่อสโมสร อย่างเรื่องการเป็นหัวเรือเรื่องการระดมทุนจากชุมชนเพื่อเป็นรายได้เข้าสโมสร หรือแม้แต่การตัดสินใจทำใบขับขี่เพื่ออาสาขับรถพาลูกทีมเดินทางไปแข่งยามเป็นทีมเยือนด้วยตัวเอง
กับความทุ่มเทที่ว่านี้ทำเอาคณะกรรมการบริหารคนอื่น ๆ มองว่าคนที่ทัศนคติต่างไปคือ ออร์ด แถมยังจับสังเกตได้ว่าออร์ดมักจะแทรกแซงการทำงานของคลัฟบ่อยครั้ง ดังนั้นมติใหม่ของทีมคือไล่ประธานออร์ดออกจากเก้าอี้ แทนที่จะเป็นกุนซือจอมทุ่มเท
ที่สุดแล้ว การอยู่ต่อของทั้งคลัฟและเทย์เลอร์เสมือนเป็นการวางรากฐานทีมอย่างไรอย่างนั้น ผลงานของฮาร์ทลี่พูลส์ ยูไนเต็ด ค่อย ๆ ขยับจากทีมจากดิวิชั่นต่ำ (ดิวิชั่น 4) ขึ้นสู่ดิวิชั่นที่สูงขึ้นเป็นหนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร (ปี 1967)
เช่นเดียวกับเหล่านักเตะทีมที่ภายหลังหลาย ๆ คนถูกไบรอันและปีเตอร์ดึงไปใช้งานในระดับที่สูงกว่า เช่น เลส กรีน, โทนี่ แพร์รี่ และ จอห์น แม็คโกเวิร์น โดยเริ่มตั้งแต่ทีมถัดไปของทั้งสองอย่าง ดาร์บี้ เคาน์ตี้
ทำทีมดาร์บี้เป็นแชมป์ลีกสูงสุด
แกะเขาเหล็ก คือทีมแรกที่ ไบรอัน คลัฟ สร้างชื่อในฐานะกุนซือสัญชาติอังกฤษฝีไม้ลายมือดี โดยเฉพาะเรื่องการปั้นทีมจากลีกล่าง ๆ ทะยานสู่การเป็นทีมระดับท็อป
ก่อนที่ ไบรอัน คลัฟ จะเข้ามาคุมดาร์บี้ สถานะของสโมสรในเวลานั้นคือรั้งระดับดิวิชั่นสองหรือเทียบเท่า เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ในเวลาปัจจุบัน มาเป็นเวลาร่วมทศวรรษ ขณะที่แชมป์ใบล่าสุดที่ถูกนำมาประดับตู้โชว์คือแชมป์เอฟเอ คัพ ที่สโมสรคว้ามาได้ตั้งแต่เมื่อกว่า 21 ปีก่อนหน้า
กุนซือวัย 32 ปี ณ ขณะนั้น โชว์กึ๋นคุมดาร์บี้ซีซั่นที่สองพร้อมผลงานชวนทึ่ง เขาค่อย ๆ ปรับโครงสร้างสโมสรทีละเล็กทีละน้อย เริ่มจากการเก็บนักเตะเก่าอยู่กับทีมแค่ 4 ราย นอกนั้นเสริมทัพเข้ามาใหม่ทั้งหมด พร้อม ๆ กันกับช่วงเวลาที่เคยเป็นตัวตั้งตัวตีในการไล่ทั้งเลขานุการทีม หัวหน้าแมวมอง ตลอดจนคนดูแลสนามออก เพราะเห็นว่าคนกลุ่มนี้หัวเราะใส่ทีมยามที่พบกับความพ่ายแพ้
การที่ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ในยุคเฮดโค้ชหนุ่มนามคลัฟค่อย ๆ ทำผลงานแบบดีวันดีคืน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการที่คลัฟ ทำงานร่วมกับผู้ช่วยอย่างเทย์เลอร์ นี่คือส่วนผสมที่ลงตัวอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งคู่ประสานงานกันอย่างลงตัวทั้งงานโค้ช ตลอดจนรับบทบาทการจัดการทีมไปด้วย
ยกตัวอย่างงานโค้ช ว่ากันว่าที่ดาร์บี้คลัฟนำลูกทีมลงเล่นในสไตล์ฟุตบอลเกมบุก เน้นความสดใหม่ของนักเตะอายุไม่มาก และมาพร้อมพละกำลังในการต่อกรกับคู่แข่ง ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ของวงการฟุตบอลอังกฤษอยู่เหมือนกัน ในทางเดียวกัน ทุก ๆ การเติมเต็มเพื่อให้ได้นักเตะที่ลงตัว หลายต่อหลายครั้งทั้งสองจะเป็นคนลงไปจัดการด้วยตัวเอง
การคุมทีมดาร์บี้ที่ว่าดีขึ้นตามลำดับในยุคคลัฟปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ในขวบปีที่สองของการเข้ามาทำหน้าที่ เมื่อกุนซือหนุ่มวัยเลขสามพาทีมทะยานถึงการคว้าแชมป์ดิวิชั่นสอง พร้อมสิทธิ์เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จ โดยผลงานชิ้วโบว์แดงประการหนึ่งคือเขาคุมทีมไร้พ่ายนานติดต่อกันถึง 22 เกม
และการต่อยอดสู่ลีกสูงสุดในปีแรก (1969-70) ทีมก็ทำผลงานได้น่าทึ่งด้วยฟุตบอลสไตล์คลัฟที่เน้นแข้งพลังหนุ่มเข้าบดใส่คู่แข่ง กอปรกับการได้นักเตะที่รู้ใจและเข้าระบบมาพักหนึ่งแล้ว เขาคุมทีมไปไกลยิ่งกว่านั้นเมื่อทะยานจบในอันดับที่ 4 นับเป็นอันดับสูงสุดของสโมสรในรอบ 20 ปีเสียด้วย
ยิ่งคุมยิ่งแกร่งเกินกว่าแค่เป็นทีมจากอีสต์ มิดแลนด์ส เมื่อคลัฟดันทำทีมดาร์บี้ไปไกลกว่าที่เคย โดยเฉพาะซีซั่น 1971-72 เขาคุมแกะเขาเหล็กกลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ลีกกับ ลิเวอร์พูล และ ลีดส์ ยูไนเต็ด อย่างเต็มตัว เขาคุมดาร์บี้เถลิงแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สโมสรก่อตั้งมา 88 ปี
ตลอด 6 ปีที่ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ไบรอัน คลัฟ มีส่วนอย่างยิ่งในการพาทีมครองความยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าเขามีโอกาสต่อยอดกับทีมไปอีก
อย่างไรก็ดี เพราะความไม่ลงรอยของคลัฟกับบอร์ดบริหาร โดยเฉพาะกับประธานสโมสร เดอะ แลมป์ ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของทีมต้องมาขาดลง
คาแร็กเตอร์เป็นคนชอบงัดข้อ
ด้วยบุคลิกที่เป็นคนถึงไหนถึงกันและมีวาทะดุเด็ดเผ็ดมันเรื่อยมา นั่นคือสิ่งที่สังคมฟุตบอลอังกฤษเริ่มรับรู้ถึงตัวตนของ ไบรอัน คลัฟ ที่มักจะปรากฏตัวผ่านบทความบนสื่อสิ่งพิมพ์ บนหน้าจอโทรทัศน์ ตลอดจนเสียงของเขาผ่านหน้าปัดวิทยุ
แน่นอนว่าการวิจารณ์แบบไม่สนใจใครดั่ง “ปากตะไกร” เริ่มสร้างความไม่พอใจให้กับบรรดาบอร์ดบริหารของสโมสรดาร์บี้นำโดย แซม ลองสัน ประธานสโมสร ซึ่งเรื่องนี้กินเวลามาตลอด 6 ปีที่คลัฟอยู่ในถิ่นเบสบอล กราวด์
มีเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นจากคำพูดของ ไบรอัน คลัฟ ที่ลองสันมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เช่น หลังจากที่คลัฟพาทีมโลดแล่นในศึกยูโรเปี้ยนคัพ 1973 หรือแชมเปี้ยนส์ลีกในปัจจุบัน หลังเกมรอบรองชนะเลิศที่ดาร์บี้ปราชัยต่อ ยูเวนตุส จบเกมเขาด่ากราดใส่ทัพม้าลายแห่งตูริน รวมถึงทีมผู้ตัดสินว่าเป็นพวก “ขี้โกง”
แม้ 14 ปีให้หลังจากการตรวจสอบรายละเอียดเกมดังกล่าวจะพบว่าผู้ตัดสินรับสินบนจริง ๆ ทว่ากับช่วงเวลาหลังคลัฟวิจารณ์สนั่น ลองสันขอให้เขาออกมาขอโทษกับคำพูดดังกล่าว เพราะถือว่าทำให้ภาพลักษณ์ของดาร์บี้และฟุตบอลอังกฤษเสียหาย
กระนั้น คลัฟยืนกรานว่าจะไม่ขอโทษ มิหนำซ้ำยังขอประกาศลาออกจากตำแหน่งกุนซือ เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาคิดมันเป็นเรื่องจริง
“ผมจะไม่คุยกับไอ้คนสารเลวจอมโกง ผมจะไม่คุยกับไอ้สารเลวคนไหนเลยสักคน บอกพวกเขาด้วยนะว่าผมพูดอะไรออกมาบ้าง ไบรอัน!” ไบรอัน แกลนวิลล์ อดีตคอลัมน์นิสต์ The Guardian เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
อนึ่ง การขู่ลาออกของ ไบรอัน คลัฟ ที่ดาร์บี้หลังเกมกับทัพเบียงโคเนรี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำ ใครหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่านี่คือคำที่กุนซือรายนี้มักหยิบยกมาใช้ต่อรองกับบอร์ดบริหารดาร์บี้อยู่บ่อย ๆ
เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านั้นหรือฤดูกาลที่เขาพาดาร์บี้เถลิงแชมป์ดิวิชั่น 1 ทั้ง ไบรอัน คลัฟ รวมทั้ง ปีเตอร์ เทย์เลอร์ เคยบอกผ่านสื่อไปแล้วครั้งหนึ่งว่าจะขอลาออกจากการเป็นโค้ชและผู้ช่วยทีม ที่สำคัญมันเกิดขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อกับที่ทีมกำลังจะลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดกับหงส์แดงและยูงทอง
การตัดสินใจในครั้งนั้นกินเวลาราว 2-3 ชั่วโมง และเกิดขึ้นในช่วงสองสัปดาห์ก่อนที่ทั้งสองจะพาทีมเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรก เหตุผลก็เพราะจู่ ๆ โคเวนทรี ซิตี้ ก็ยื่นข้อเสนอเข้ามาให้ทั้งคลัฟและเทย์เลอร์รับพิจารณางานคุมทีมในปีถัดไป
แม้เรื่องนี้จะถูกตีความเป็นวงกว้างว่าเป็นกลยุทธ์เรียกเงินเดือนเพิ่ม เผลอ ๆ จะมีน้ำหนักมากกว่าการมีข้อเสนอเข้ามาด้วยซ้ำไป
ทว่าที่สุดแล้วประธานทีมดาร์บี้ก็ยอมเพิ่มค่าเหนื่อยจากเดิมที่เคยได้รับให้กับคลัฟและเทย์เลอร์ แม้รายหลังจะแสดงอาการไม่พอใจอยู่บ้าง เมื่อมารับรู้ทีหลังว่าคลัฟได้เงินพิเศษอีกราว 5,000 ปอนด์ แถมยังเป็นตัวตั้งตัวตีในการกลับคำยืนกรานจะลาออกมาเป็นอยู่ต่อแบบหน้าตาเฉย
เก็บเรื่องความไม่พอใจของปีเตอร์เอาไว้ก่อน เพราะน้ำหนักความโกรธของผู้ช่วยโค้ชรายนี้ที่มีต่อเฮดโค้ชนำไปเทียบเคียงกับความบาดหมางต่อท่านประธานแซมไม่ได้แม้แต่น้อย และไม่ว่าจะอย่างไร นี่ถือเป็นสถานการณ์จุดไฟติดของทั้งสองฝ่ายอย่างเป็นทางการ
สถานการณ์ “ไม่สู้ดี” ระหว่าง ไบรอัน คลัฟ, ปีเตอร์ เทย์เลอร์ และ แซม ลองสัน เกิดขึ้นอย่างไม่มีลดละ ว่ากันว่ามีการประชุมบอร์ดบริหารอยู่หลายหนว่าด้วยเรื่องการปลดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ทางฝั่งคลัฟมีความหวังอยู่เสมอว่าที่ประชุมหัวเรือใหญ่สโมสรจะปลดลองสันให้พ้นตำแหน่งประธาน เฉกเช่นกับสมัยที่คลัฟเคยคุม ฮาร์ทลี่พูลส์ ยูไนเต็ด ที่ซึ่ง เออร์เนสต์ ออร์ด ประธานของสโมสรเคยถูกไล่ออกจากตำแหน่ง รวมถึงเหตุผลเรื่องวิกฤตการเงินของสโมสรมาเป็นประเด็นตัวตั้งตัวตี ซึ่งเขาเชื่อว่ามีน้ำหนักพอสมควร
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะดาร์บี้เคยทำผิดกฎการเงินจนอดไปเล่นฟุตบอลยุโรปในซีซั่นแรกหลังคลัฟพาทีมเลื่อนชั้น ตลอดจนปัญหาเรื่องงบประมาณของทีมในช่วงต่อมา
ขณะที่ลองสันมองไปที่เรื่องพฤติกรรมของไบรอันที่มุทะลุเกินไป นอกเหนือจากเคสวิจารณ์สนั่นหลังเกมกับยูเวนตุส ก็ยังมีทั้งการวิจารณ์สมาคมฟุตบอลอังกฤษออกสื่อ เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ ออกรายการทางโทรทัศน์โดยใช้ฝีปากเป็นอาวุธ
ตลอดจนการแอบไปติดต่อกับ เลสเตอร์ ซิตี้ เพื่อเซ็นสัญญาคว้า เดวิด นิช ด้วยค่าตัวสถิติสโมสรในตอนนั้น (225,000 ปอนด์) โดยที่ไม่ได้ปรึกษาบอร์ดบริหารแต่อย่างใด
หรือแม้แต่การปรากฏเป็นภาพแสดงสัญลักษณ์ “V-Sign” ซึ่งสื่อถึงการดูถูกเหยียดหยามขั้นรุนแรงของชาวอังกฤษในเกมกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยเกิดขึ้นในจังหวะที่ (เซอร์) แมตต์ บัสบี้ และ หลุยส์ เอ็ดเวิร์ดส์ อยู่ร่วมเฟรม
แม้ฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด และเอฟเอจะขอให้คลัฟออกมาขอโทษกับการกระทำ อย่างไรเสีย กุนซือชาวมิดเดิลสโบรห์กลับยืนยันว่าเขาไม่ได้ชูสัญลักษณ์ใส่คนของปีศาจแดง เขาทำใส่มิสเตอร์ลองสันต่างหาก
กระทั่งฟางเส้นสุดท้ายของคลัฟก็ขาดสะบั้นลงจนได้ในวันที่ 15 ตุลาคม ปี 1973 เขาเป็นคนตัดสินใจขอลาออกจาก ดาร์บี้ เคาน์ ตี้ด้วยตัวเอง
และจากนั้นไม่ถึงวัน คำขอดังกล่าวก็ได้รับการอนุมัติจาก แซม ลองสัน
อยู่ให้รัก จากให้คิดถึง “แต่ไม่เอากลับมาแล้ว”
ไบรอัน คลัฟ อำลา ดาร์บี้ เคาน์ตี้ จากความไม่ลงรอยกับบอร์ดบริหารก็จริง แต่สำหรับนักเตะและแฟนบอล เดอะ แลมพ์ส แล้ว เขาคือตำนานของสโมสร ไม่มีใครเกลียดการกระทำของเขาที่มีต่อประธานลองสัน เพราะผลงานที่คลัฟทำมันยิ่งใหญ่ยากเกินกว่าจะมีใครทำได้
กลับกัน แฟนบอลบางส่วนต่างเรียกร้องให้ทีมปลด แซม ลองสัน เสียด้วยซ้ำ เพื่อที่จะได้เห็นคลัฟและเพื่อนรู้ใจอย่างเทย์เลอร์มาเป็นกุนซือให้กับทีมต่อไป
ไม่ถึง 10 วันหลังคลัฟอำลาสโมสร ได้เกิดกระแสเรียกร้องให้เขากลับมาคงสถานะเป็นกุนซือดาร์บี้จากกลุ่มนักเตะของสโมสร ว่ากันว่าเป็นจดหมายเปิดผนึกส่งตรงไปยัง แซม ลองสัน โดยมี รอย แม็คฟาร์แลนด์ กัปตันทีม ผู้ซึ่งย้ายมาดาร์บี้ตั้งแต่ปีแรกที่คลัฟเข้ามาคุม เป็นแกนนำในการส่งสาร
“ระหว่างเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเราในฐานะนักเตะพร้อมลายเซ็นยืนยันด้านล่างต่างก็เก็บความรู้สึกของเราไว้ในห้องแต่งตัว อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้มติเป็นเอกฉันท์ของพวกเราคือขอสนับสนุนมิสเตอร์คลัฟและมิสเตอร์เทย์เลอร์ และขอให้พวกเขากลับเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการของสโมสรแห่งนี้” ข้อความบางส่วนจากจดหมายของกลุ่มนักเตะสโมสร
แน่นอนว่าลองสันไม่ได้นิ่งนอนใจกับสถานการณ์ ในฐานะคนที่ดึงคลัฟและเทย์เลอร์เข้ามา เขายอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะดึงคลัฟกลับมาอีก เพราะนั่นอาจทำให้ภาพลักษณ์ทีมเกิดสั่นคลอนในอนาคตได้อีก หรือพูดง่าย ๆ คือลองสันมีความคิดว่า “ไม่มีใครใหญ่กว่าสโมสร”
"ไม่มีใครเสียใจกับสถานการณ์ปัจจุบันมากไปกว่าผม ผมเป็นคนพาเขามาที่นี่ ผมยกย่องในความสำเร็จของเขา และผมก็ปล่อยให้แฟน ๆ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ตัดสินในตัวผมรวมถึงและคณะกรรมการของผม กล่าวโดยสรุป ผมขอเน้นย้ำประเด็นที่ว่า ดาร์บี้ เคาน์ตี้ จะอยู่รอดต่อไป และไม่มีบุคคลใดจะยิ่งใหญ่กว่าสโมสร”
ด้วยการที่ ไบรอัน คลัฟ คุมดาร์บี้ชนิดพลิกผลงานจากทีมลีกรองมาเป็นแชมป์ลีกสูงสุด แถมยังคว้าสิทธิ์ลุยฟุตบอลยุโรป และไปไกลถึงรอบรองชนะเลิศได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นเครื่องมือชั้นดีที่คลัฟเลือกใช้ต่อรองกับบอร์ดบริหารของสโมสร ที่เห็นผลที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องการขู่ลาออกมากกว่าหนึ่งหน
และผลลัพธ์ในทุก ๆ ครั้งก็คือเบื้องบนทำอะไรเขาได้ไม่มากนัก
ภายหลังจากที่เขาอำลาดาร์บี้ไป สถานการณ์ต่อจากนั้นเป็นช่วงเวลาที่ดำดิ่งที่สุดในเส้นทางโค้ชของกุนซือชาวมิดเดิลสโบรห์ เพราะหลังจากนั้นเขาถอยลงไปคุมทีมระดับดิวิชั่นสามอย่างไบรท์ตัน
กาลต่อมาคือคลัฟโชว์เดี่ยวย้ายไปคุม ลีดส์ ยูไนเต็ด ทีมที่เขาเคยวิจารณ์สไตล์ทีมสนั่นวงการ แถมเพื่อนคู่คิดอย่างเทย์เลอร์ไม่ได้ตอบตกลงไปเป็นผู้ช่วยโค้ช เป็นเหตุให้ ไบรอัน คลัฟ ต้องไปเจอ 44 วันนรกที่เอลแลนด์ โรด นั่นคือไม่มีใครยืนเคียงข้างเขามากเท่าที่ควร
บางทีการที่คลัฟและเทย์เลอร์ถอยหลังคนละก้าวเพื่ออยู่สร้างอนาคตกับแกะเขาเหล็กต่อไปมากกว่า 6 ปี ไม่แน่ว่า ดาร์บี้ เคาน์ตี้ อาจจะเป็นแชมป์ยุโรปก่อนที่เขาจะทำทีมฟอเรสต์เป็นแชมป์รายการนี้ในไม่กี่ปีให้หลัง
แต่สัจธรรมชีวิตก็เป็นเช่นนี้ เมื่อทัศนคติการทำงานไม่ตรงกัน สุดท้ายก็ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งเลือกเดินออกไป
แหล่งอ้างอิง
https://www.bbc.com/news/uk-england-derbyshire-45271094
https://www.bbc.com/sport/football/61272553
https://www.theguardian.com/news/2004/sep/21/guardianobituaries.football
https://www.goal.com/en/news/brian-clough-the-great-derby-county-and-nottingham-forest-manager-profiled/9itvrxpjzu521azw431o8gfn6
https://astoremarco.wordpress.com/2023/07/25/brian-clough-the-rebel-genius-of-british-football/
https://www.facebook.com/ThaiDCFC/photos/a.626975277415119/1415339745245331/?type=3&locale=th_TH
https://en.wikipedia.org/wiki/Brian_Clough
https://en.wikipedia.org/wiki/1972%E2%80%9373_Derby_County_F.C._season
https://en.wikipedia.org/wiki/Peter_Taylor_(footballer,_born_1928)