มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ คงไม่ใช่นักเตะที่หลายคนรู้จักมากนัก แต่หากบอกว่าเขาคือผู้รักษาประตูชาวญี่ปุ่นของ กัมบะ โอซาก้า ที่เสียประตูให้กับนักเตะชาวไทยมาแล้วหลายครั้ง เช่น ลูกยิงจากฟรีคิกและเตะมุมของ ธีราธร บุญมาทัน เกมที่พบกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทั้งเหย้าและเยือน ในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2015 หรือล่าสุดอย่างการทำสองประตูให้กับ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ของ สุภโชค สารชาติ ในศึกเจลีก 2023 เมื่อวันที่ 2 กันยายน ก็น่าจะทำให้หลายคนเริ่มพอรู้แล้วว่า มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ นั้นคือใคร
ซึ่งจะเรียกว่าโชคชะตาไม่เป็นใจจริง ๆ เลยก็ว่าได้สำหรับผู้รักษาประตูรายนี้ เพราะหลายครั้งที่เขาลงเฝ้าเสาก็ต้องเจอกับนักเตะไทยของทีมคู่แข่ง (ที่นาน ๆ ทีจะเกิดขึ้นสักครั้ง) บุกขึ้นมาทำประตูใส่อยู่บ่อย ๆ จนทำให้แฟนบอลไทยบางส่วนเคยเอ่ยว่า ถ้าเกมไหนนายด่านของ กัมบะ โอซาก้า คนนี้ได้ลงเฝ้าเสาแล้วทีมคู่แข่งส่งนักเตะไทยลงมาเล่นในแนวรุกของทีม ก็เตรียมตัวได้เห็นชื่อของนักเตะไทยคนนั้นบนสกอร์บอร์ดได้เลย
อย่างไรก็ดี หากมองไปถึงความสามารถแล้ว มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ นั้นก็ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่มีฝีมือดีพอตัว จากการที่ช่วงหนึ่งเขาเคยถูกยกย่องว่าจะก้าวขึ้นไปเป็นนายด่านมือหนึ่งให้กับทีมชาติญี่ปุ่นแม้สุดท้ายจะทำไม่สำเร็จ รวมถึงยังได้รับความไว้วางใจจาก กัมบะ โอซาก้า ให้ลงเฝ้าเสาให้กับทีมมาอย่างต่อเนื่อง 10 ฤดูกาลเข้าไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ Main Stand จึงขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ ผู้รักษาประตูฝีมือดีชาวญี่ปุ่น ที่มักดวงซวยโดนนักเตะไทยทำประตูอยู่บ่อย ๆ กันให้มากขึ้น
เป่ายิ้งฉุบเปลี่ยนชีวิต
มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 1986 เขามีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักเตะอาชีพ และเริ่มหัดเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังตั้งแต่อายุ 7 ขวบ หรือช่วงชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หลัง "เจลีก" ลีกฟุตบอลอาชีพแห่งแรกของประเทศญี่ปุ่น ได้ก่อตั้งขึ้นและเริ่มจัดการแข่งขันฟุตบอลอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1993 ทำให้บรรดาเด็กหนุ่มญี่ปุ่นจำนวนมากในช่วงเวลานั้น ฝันอยากจะเป็นนักเตะอาชีพกันมากขึ้น
ฮิงาชิกุจิเริ่มเล่นฟุตบอลให้กับทีมฟุตบอลเยาวชนในจังหวัดโอซาก้า จังหวัดบ้านเกิดของเขาที่ชื่อ ฮิโยชิได วิงส์ (เวลาต่อมา เปลี่ยนชื่อเป็น เอฟซี โอลว์ส อินเตอร์ ฮิโรโนะ) โดยลงเล่นในตำแหน่งกองหน้า ซึ่งเขาก็สามารถทำผลงานได้ดี โดยเขาเป็นกองหน้าสปีดความเร็วสูงที่ทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
จนเวลาต่อมา ในช่วงเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ฮิงาชิกุจิก็ได้เจอกับจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ตัวเขาต้องเปลี่ยนบทบาทในสนามจากกองหน้าที่ไล่ถล่มประตูคู่แข่งมาเป็นผู้รักษาประตูยืนเฝ้าเสาแทน หลังมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่ทีมขาดนักเตะที่เล่นในตำแหน่งผู้รักษาประตู แล้วก็เป็นฮิงาชิกุจิที่ต้องไปทำหน้าที่ในตำแหน่งนั้นเพราะดันไป "เป่ายิ้งฉุบ" แพ้เพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ หมด
ซึ่งตอนแรกฮิงาชิกุจิรู้สึกเซ็งมากที่ต้องมาเล่นเป็นผู้รักษาประตู เพราะตอนนั้นเขาอยากจะเล่นเป็นกองหน้าที่ทำประตูให้กับทีมมากกว่า แต่หลังจากที่ได้มีโอกาสออกแรงเซฟลูกยิงของทีมคู่แข่งเป็นครั้งแรกแล้ว มันก็ทำให้เขารู้สึกว่าการเล่นเป็นผู้รักษาประตูเองก็น่าสนใจไม่น้อยเลยเหมือนกัน
"จริง ๆ แล้วตอนผมเป็นเด็กผมไม่เคยคิดอยากจะเล่นเป็นผู้รักษาประตูเลย" มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ กล่าวกับทางสถานีวิทยุ Radio Kansai
"ตอนนั้นผมอยากเล่นเป็นกองหน้ามากที่สุด เพราะผมชอบการวิ่งขึ้นไปข้างหน้าแล้วทำประตู แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเป่ายิ้งฉุบแพ้เพื่อน ๆ คนอื่น ผมเลยต้องไปเล่นเป็นผู้รักษาประตู แล้วดันเล่นดีด้วยเนี่ยสิ หลังจากนั้นโค้ชก็ให้ผมเล่นเป็นผู้รักษาประตูมาตลอด เพราะตอนนั้นทีมกำลังขาดนักเตะตำแหน่งนี้อยู่พอดี"
"หลังจากที่ผมเซฟลูกยิงของกองหน้าทีมคู่แข่งได้ มันทำให้ผมรู้สึกสะใจมาก และเริ่มรับรู้ถึงเสน่ห์ของการเป็นผู้รักษาประตู ผมว่าคนดูฟุตบอลนอกจากจะอยากดูจังหวะการทำประตูแล้วก็น่าจะอยากดูจังหวะเซฟลูกยิงปาฏิหาริย์ของผู้รักษาประตูด้วยเหมือนกัน"
จากกองหน้าสู่ผู้รักษาประตู
ฮิงาชิกุจิเริ่มผันตัวจากกองหน้ามาเล่นเป็นผู้รักษาประตูอย่างจริงจังมากขึ้นในช่วงที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น แล้วต่อมาได้เข้าไปเป็นหนึ่งในนักเตะทีมชุดเยาวชนของ กัมบะ โอซาก้า หลังพบว่าเพื่อนร่วมรุ่นของเขาที่เล่นเป็นกองหน้ามีฝีเท้าที่เก่งฉกาจกว่าเขาหลายเท่า นั่นจึงทำให้เขาเลือกที่จะเปลี่ยนตำแหน่งไปเล่นเป็นผู้รักษาประตูเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะต้องไปแย่งตำแหน่งกับเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่น ๆ ซึ่งหากเลือกเล่นเป็นกองหน้ายังไงเขาก็ต้องตกไปเป็นตัวเลือกลำดับท้าย ๆ ของทีมแน่
"เพื่อนร่วนรุ่นของผมในตอนนั้นมีแต่คนที่เล่นกองหน้าทั้งนั้น และฝีเท้าของพวกเขาก็เหนือกว่าผมหลายขั้น ทั้ง อากิฮิโระ อิเอนางะ หรือ เคสุเกะ ฮอนดะ ตัวผมในบทบาทของกองหน้านั้นยังไงก็เทียบพวกเขาไม่ติด ผมเลยเลือกที่จะเปลี่ยนไปเล่นเป็นผู้รักษาประตูแทนเพื่อที่จะได้ลงเล่นและพัฒนาฝีมืออย่างสม่ำเสมอ" มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ เปิดเผยกับ REIBOLA สื่อฟุตบอลรายหนึ่งในญี่ปุ่น
เขาลงเฝ้าเสาให้กับทีมชุดเยาวชนของ กัมบะ โอซาก้า อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งนายด่านหนุ่มรายนี้ก็พบกับปัญหาใหญ่ที่ส่งผลให้เขาไม่ได้ไปต่อกับทีมหลังเรียนจบชั้นมัธยมต้น นั่นคือเรื่องสรีระร่างกาย ด้วยส่วนสูงของเขาที่มีน้อยเกินไปสำหรับตำแหน่งผู้รักษาประตูคือเพียงแค่ 162 เซนติเมตรเท่านั้น ทำให้ฮิงาชิกุจิมักจะเสียประตูจากลูกกลางอากาศอยู่บ่อย ๆ
จากปัญหาดังกล่าวทำให้ผู้รักษาประตูรายนี้หลุดออกจากระบบฟุตบอลอคาเดมีสโมสรและจำต้องเข้าไปพัฒนาฝีมือต่อกับการลงเล่นให้กับทีมฟุตบอลโรงเรียนแทนในช่วงมัธยมศึกษาตอนปลาย และจากความล้มเหลวที่เกิดขึ้นในช่วง ม.ต้น ทำให้ฮิงาชิกุจิมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม และพยายามลบจุดอ่อนในเรื่องส่วนสูงให้เหลือน้อยลง
ท้ายที่สุดหลังเรียนจบ ม.ปลาย ส่วนสูงของเขาก็เพิ่มขึ้นมามากพอสำหรับตำแหน่งผู้รักษาประตูแล้วแม้จะไม่ได้สูงมากก็ตาม โดยเขาใช้เวลา 3 ปีเพิ่มส่วนสูงขึ้นมาเป็น 180 เซนติเมตร
จากนั้นฮิงาชิกุจิก็ได้เข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยกับ มหาวิทยาลัยการจัดการนีงาตะ ที่จังหวัดนีงาตะ และได้เข้าร่วมทีมฟุตบอลของที่นั่น ก่อนที่จะโชว์ฟอร์มหนึบจนไปเข้าตาของ "อัลบิเร็กซ์ นีงาตะ" สโมสรฟุตบอลอาชีพในเจลีก 1 ที่มีฐานที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนีงาตะที่ตัดสินใจดึงตัวเขามาร่วมทีมในปี 2009 ทำให้ฮิงาชิกุจิได้เข้าสู่เวทีลูกหนังระดับอาชีพเป็นครั้งแรก
ซึ่งเขาก็ยังคงนำฟอร์มการเล่นของตัวเองจากตอนที่อยู่กับทีมมหาวิทยาลัยมาใช้กับ อัลบิเร็กซ์ นีงาตะ ด้วย ก่อนจะเซฟประตูอุตลุดช่วยให้ต้นสังกัดแรกในอาชีพของเขารอดพ้นจากการตกชั้นอยู่หลายฤดูกาล และต่อมาในปี 2014 ก็มีสโมสรแห่งหนึ่ง ติดต่อมาหา อัลบิเร็กซ์ นีงาตะ เพื่อขอคว้าตัว มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ ไปร่วมทีม
สโมสรแห่งนั้นก็คือ "กัมบะ โอซาก้า" บ้านหลังเก่าที่ครั้งหนึ่งเขาเคยจากมา...
ลงเล่นให้สโมสรที่ใฝ่ฝัน
นายด่านวัย 27 ณ ช่วงเวลานั้นเข้ามาเป็นหนึ่งในนักเตะของ กัมบะ โอซาก้า อย่างเป็นทางการในปี 2014 พร้อมกับพาทีมประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้เลยตั้งแต่ปีแรกด้วยการคว้าทริปเปิลแชมป์กับรายการแข่งขันฟุตบอลในประเทศ 3 รายการ ได้แก่ แชมป์เจลีก, แชมป์ลูวาน คัพ และแชมป์ เอ็มเพอเรอร์ส คัพ นับเป็นการคว้าทริปเปิลแชมป์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
"มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ เพราะผมเพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่ได้แค่ปีเดียว แต่กลับได้เฉลิมฉลองกับความสำเร็จที่มันมากมายขนาดนี้ เป็นอะไรที่สุดยอดมาก ๆ" มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ เล่าประสบการณ์ของเขา ผ่านทางช่องยูทูบของ ไดสึเกะ นาสุ
ความสำเร็จครั้งนั้นส่งผลให้ มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ ได้รับโอกาสในการลงเฝ้าเสาให้กับทีมชาติญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในปี 2015 ในเกมเสมอกับ จีน 1-1 ในศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียตะวันออก หลังจากที่มีชื่อติดทีมมาแล้วหลายครั้งแต่ก็ยังไม่เคยได้รับโอกาสลงเล่นเสียที
เขายังได้รับความไว้วางใจจาก กัมบะ โอซาก้า ให้ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตูมือหนึ่งของทีมอย่างต่อเนื่องมาตลอด โดยนับตั้งแต่ที่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อปี 2014 ยาวจนไปถึงในปี 2021 ฮิงาชิกุจิลงเฝ้าเสาในเกมเจลีกให้กับ กัมบะ โอซาก้า ไปเกือบทุกเกมเป็นจำนวน 271 เกม จากทั้งหมด 276 เกม พลาดลงช่วยทีมไปเพียง 5 เกมเท่านั้น ส่วนในศึกเจลีก ปี 2022 เขาได้รับบาดเจ็บจนต้องพักยาว ทำให้มีโอกาสลงสนามไปแค่ 19 เกม จากทั้งหมด 34 เกม
นอกจากนี้ มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ ยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในแคนดิเดตผู้เล่นยอดเยี่ยมของเจลีกอยู่หลายครั้ง ทั้งในปี 2014, 2015, 2018 และล่าสุดในปี 2022 สะท้อนให้เห็นถึงฝีมือของเขาที่แม้จะดูไม่ค่อยโดดเด่นแต่ก็ได้รับการยอมรับว่าคือของจริงที่มีคุณภาพ
รวมถึงได้มีชื่อติดทีมชาติญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในขุนพลซามูไร ลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่ประเทศรัสเซีย และแม้เขาจะได้แต่นั่งอยู่บนม้านั่งสำรอง แต่มันก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ฮิงาชิกุจิรู้สึกภาคภูมิใจกับการได้เป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้เข้าร่วมแข่งขันในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลระดับทีมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
"จริง ๆ ผมเกือบจะได้ไปลุยศึกฟุตบอลโลกครั้งแรกตั้งแต่ปี 2014 แล้ว แต่น่าเสียดายที่ผมได้รับบาดเจ็บก่อนหน้าที่การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้นไม่นาน" มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ กล่าว
"ผมกลับมาเตรียมตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ เฝ้ารอให้การแข่งขันฟุตบอลโลกวนกลับมาจัดอีกครั้งในอีก 4 ปีข้างหน้า และในที่สุดผมก็สามารถบอกกับทุกคนได้แล้วว่า ครั้งหนึ่งผมเคยได้ไปเล่นฟุตบอลโลก"
อย่างไรก็ตาม แม้ มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ จะเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูชาวญี่ปุ่นที่มีฝีมือดีคนหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง เพราะมันมีเหตุการณ์หนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ กับตัวเขา ก่อนจะทำให้นายด่านวัย 37 ปีในตอนนี้ถูกพูดถึงในเชิงสีสันสนุกสนานอยู่ทุก ๆ ครั้ง เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวได้วนมาหาเขาอีกรอบ
เอาอีกแล้วเหรอ!!!
ปฏิเสธไม่ได้ว่า มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ คือหนึ่งในผู้รักษาประตูชาวญี่ปุ่นที่มักจะเสียประตูให้กับนักเตะไทยอยู่บ่อย ๆ แม้โอกาสที่เขาจะได้เจอกับนักเตะแนวรุกชาวไทยที่ทีมฝั่งตรงข้ามส่งลงมาจะมีไม่ค่อยมากก็ตาม อีกทั้งแต่ละประตูที่ฮิงาชิกุจิเสียให้กับนักเตะไทยต่างก็เป็นการทำประตูสุดสวยและยากที่ผู้รักษาประตูจะเซฟเอาไว้ได้ จนทำให้คนเริ่มสนใจเขาจากเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้เกิดขึ้นในเกมที่ กัมบะ โอซาก้า เปิดบ้านรับการมาเยือนของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2015 เกมดังกล่าวเป็นฝั่งเจ้าบ้านที่ได้ประตูขึ้นนำก่อน 1-0 ในช่วงครึ่งแรก ก่อนที่ในช่วงครึ่งหลังในนาที 62 แบ็กซ้ายฝั่งทีมเยือนอย่าง ธีราธร บุญมาทัน จะมาทำประตูตีเสมอให้กับทีมเป็น 1-1 ได้สำเร็จ จากจังหวะฟรีคิก แล้วเกมก็จบลงไปด้วยสกอร์นี้
โดย มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ ได้ให้สัมภาษณ์หลังเกมเกี่ยวกับประตูที่เขาเสียในเกมนั้นว่า
"เมื่อพูดถึงฟรีคิก มันคือการดวลกันระหว่างคนที่เล่นลูกฟรีคิกกับผู้รักษาประตู ซึ่งศึกการดวลกันในครั้งนั้นผมยอมรับว่าผมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ผมรู้ว่าเขา (ธีราธร) จะทำอะไรกับฟรีคิกจังหวะนั้น แต่สุดท้ายผมก็ไม่สามารถรับมือกับมันได้"
ต่อมาในศึกเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2015 เช่นเดิม ในเกมที่ กัมบะ โอซาก้า บุกไปเอาชนะ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 2-1 แม้ต้นสังกัดของเขาจะเก็บสามแต้มจากเกมนี้ได้ แต่ทว่าหนึ่งประตูที่ฮิงาชิกุจิโดนเล่นงานกลับเป็นที่พูดถึงมากกว่า เพราะนอกจากจะได้ ธีราทร บุญมาทัน เป็นคนทำประตู (อีกแล้ว) มันยังเป็นประตูที่ได้มาจากการเตะมุมอีกด้วย
แล้วถ้าคิดว่าเรื่องราวการทำประตูระหว่าง มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ กับ ธีราทร บุญมาทัน จะจบลงแค่นี้นั้น ขอบอกเลยว่า "ไม่"
เพราะฮิงาชิกุจิก็ยังโดน "โก๋อุ้ม" ตามมาทำประตูถึงศึกเจลีกเป็นการปิดท้ายในปี 2019 ตอนนั้นแข้งไทยรายนี้ลงเล่นให้กับ โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส และซัดระยะไกลเป็นประตูหนึ่งลูก ในเกมเปิดบ้านชนะ กัมบะ โอซาก้า 3-1 ซึ่งเกมนั้นทีมเยือนใช้งาน มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ เป็นผู้รักษาประตู
เวลาผ่านไปสี่ปี ในช่วงเวลาปัจจุบัน ฮิงาชิกุจิก็กลับมาให้นักเตะไทยทำประตูใส่อีกครั้งในเกมที่ กัมบะ โอซาก้า บุกไปพ่าย คอนซาโดเล่ ซัปโปโร 0-4 ในศึกเจลีก 2023 เมื่อวันที่ 2 กันยายน โดยเป็นทาง สุภโชค สารชาติ ที่เหมาคนเดียวสองประตูในเกมนี้
ซึ่งก็ต้องมาตามดูกันต่อหลังจากนี้ว่า มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ จะยังคงบวกสถิติการเสียประตูให้กับนักเตะไทยเพิ่มอีกหรือไม่ หรือจะหยุดลงแค่นี้
แม้ มาซาอากิ ฮิงาชิกุจิ จะโชคไม่ค่อยดีเท่าไรนักเมื่อต้องเจอนักเตะไทยง้างเท้าทำประตูใส่ไปหลายครั้งจนกลายเป็นภาพจำของใครหลายคน แต่เขาก็ไม่ให้ปล่อยเรื่องราวเหล่านั้นมาบั่นทอนกำลังใจของตัวเอง พร้อมกับก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดอยู่เสมอ
"ผมคิดว่าที่ผมมีทุกวันนี้ได้เพราะผมรักในการเล่นฟุตบอลและอดทนอยู่เสมอเพื่อสิ่งนั้น แม้จะเจอเรื่องที่ยากลำบากมากแค่ไหนผมก็สามารถเอาชนะและผ่านมันมาได้"
"ผมอยากจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดจนถึงอายุ 40 ปี ผมอยากที่จะพา กัมบะ โอซาก้า ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของความสำเร็จให้ได้ ตอนอายุ 40 ปี ผมคิดว่าเราเป็นทีมคู่ควรกับการคว้าแชมป์ และผมอยากจะทำให้ดีที่สุดเพื่อพาทีมคว้าแชมป์"
แหล่งอ้างอิง :
https://reibola.com/column/post802/
https://jocr.jp/raditopi/2022/02/19/413804/?detail-page=1
https://web.gekisaka.jp/news/jleague/detail/?220364-220364-fl
https://www.youtube.com/watch?v=q1ETsSWkVKs
https://news.yahoo.co.jp/expert/articles/a7ae95908f3f5aa5951d1f7a1d209e41ea0424d4