Feature

เดวิด เบ็คแฮม : ความสำเร็จของมิดฟิลด์เท้าชั่งทองต่อวงการ "ซอคเกอร์" อเมริกัน | Main Stand

หากพูดถึงวงการฟุตบอล หรือ ซอคเกอร์ ที่สหรัฐอเมริกาในรอบปี 2023 นี้ แน่นอนว่าใครหลายคนย่อมนึกถึงอิมแพ็คต์ชวนตะลึงของ ลิโอเนล เมสซี่ 

 

เพราะแนวรุกซูเปอร์สตาร์ชื่อดังรายนี้ทำสถิติหรูนับแต่ที่ย้ายมาเล่นให้ อินเตอร์ ไมอามี่ ด้วยการลงเล่นรวมทุกรายการ 9 นัด ซัดไปแล้ว 11 ประตู กับอีก 3 แอสซิสต์ ทั้งยังมีส่วนพาสโมสรดังแห่งรัฐฟลอริด้า ผงาดแชมป์แรกนับแต่ก่อตั้งทีมในปี 2018

การมาโลดแล่นบนแผ่นดินอเมริกาของกัปตันทีมชาติอาร์เจนติน่า นับเป็นแรงกระเพื่อมชั้นดีของแวดวงฟุตบอลที่นี่ชนิดไม่มีใครสงสัย และคงจะไม่ผิดอะไร หากเราจะบอกว่านี่คือผลกระทบที่ยิ่งใหญ้หนล่าสุดของซอคเกอร์มะกัน ต่อจากช่วงเวลากว่าทศวรรษที่แล้ว กับการมาของ เดวิด เบ็คแฮม ที่ แอลเอ กาแล็กซี่

อดีตมิดฟิลด์เท้าชั่งทองรายนี้เข้ามาสร้างความยิ่งใหญ่ให้ทีมดังจากลอสแองเจลิสในแง่ใดบ้าง ยิ่งไปกว่านั้น เบ็คแฮมเข้ามาเปลี่ยนเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ สหรัฐอเมริกาให้ประสบความสำเร็จ และสร้างอิทธิพลต่อวงการฟุตบอลแดนพญาอินทรีมากน้อยเพียงใด

Main Stand ขอพาทุกท่านย้อนไปติดตามเรื่องราวนี้กันอีกครั้ง

 

จากมาดริดสู่แอลเอ

ก่อนจะเอ่ยถึงช่วงสมัยที่ เดวิด แบ็คแฮม ในฐานะนักฟุตบอลและเซเลบริตี้ชื่อดังคนหนึ่งของโลก สร้างความสำเร็จในแวดวงลูกหนังที่สหรัฐอเมริกา เราจำเป็นต้องรับรู้ถึงเรื่องราวก่อนหน้าการตัดสินใจครั้งสำคัญนี้กันเสียก่อน 

เดวิด เบ็คแฮม ย้ายจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาเล่นให้ เรอัล มาดริด ฤดูกาล 2003-04 ผลจากการย้ายทีมครั้งนี้ เขากลายเป็นหนึ่งในนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ ที่ถูกราชันชุดขาวดึงเข้ามาเติมเต็มในยุค "กาลาติกอส" ร่วมกับดาวเด่นชื่อก้องโลกอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นโรนัลโด้, ซีเนดีน ซีดาน, โรแบร์โต้ คาร์ลอส, ราอูล กอนซาเลส, หลุยส์ ฟิโก้ ฯลฯ

ตลอดเส้นทางกับราชันชุดขาว แข้งดีกรีทีมชาติอังกฤษรายนี้แสดงให้เห็นถึงความเป็นนักกีฬามืออาชีพอย่างเต็มเปี่ยมอยู่เรื่อยมา เพื่อทำให้แฟน ๆ รับรู้ว่าเขาไม่ใช่ "เซเลบริตี้ที่เล่นฟุตบอลได้"  

เบ็คแฮม คำนึงถึงเรื่องทัศนคติและความมุ่งมั่นไปกับการทำหน้าที่ในสนาม รวมไปถึงการ "ปรับตัว" เพื่อให้เข้ากับทีมให้ได้มากที่สุด เพื่อชนะใจทุก ๆ คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทีม ไม่ว่าจะเป็นการฝึกซ้อมและหาจุดเด่นอื่น ๆ ของตัวเอง ที่นอกเหนือไปจากทีเด็ดเรื่องการเล่นลูกนิ่งอันเป็นเครื่องหมายการค้า เพราะมาดริดเปี่ยมไปด้วยยอดนักเตะที่ทำหน้าที่ในส่วนนี้ได้ดีชนิดไม่มีไม่มีใครได้รับสัมปทานเพียงแต่ผู้เดียว 

ดูเหมือนว่าอดีตสตาร์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็มีทัศนคติเปิดรับกับเรื่องใหม่ ๆ แบบไม่มีเคอะเขิน ดังบทสัมภาษณ์ที่เคยให้ไว้ว่า "ผมไม่ใช่ดารา ผมมาที่นี่เพื่อทำงานหนักให้กับทีม ผมจะมีสมาธิและต้องพิสูจน์คุณค่าของตัวเองให้ทุกคนเห็นให้ได้"

ทั้งหมดนี้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะช่วงสามฤดูกาลแรกในถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาเบว เบ็คแฮมเป็นหนึ่งในผู้เล่นกำลังสำคัญของสโมสร จากสถิติลงสนามให้ทีมนับเฉพาะศึกลาลีก้า ต่อฤดูกาลไม่น้อยไปกว่า 30 เกม พร้อมกับทำประตูและแอสซิสต์สำคัญ ๆ ให้ทีมได้มากมาย 

อย่างไรก็ตาม แม้เบ็คแฮมจะพิสูจน์ให้ทุกคนรับรู้อยู่เรื่อยมาว่าเขาคือกำลังสำคัญคนหนึ่งของเรอัล มาดริด ยุคกาลาติกอส ทว่าเพราะสโมสรไม่อาจเข้าใกล้ความสำเร็จในรูปแบบ "โทรฟี่" มากเท่าที่ควร ต่อให้มาดริดจะเปลี่ยนแปลงเก้าอี้กุนซือไปสักกี่คน ความสำเร็จระดับแชมป์เมเจอร์ก็ยังไม่เคยปรากฏให้เห็น 

และนั่นก็ทำให้ชื่อของเบ็คแฮม มักตกเป็นเป้าสายตาโดนวิจารณ์มากขึ้นในช่วงหลังจบซีซั่นที่สามกับสโมสร (2005-06) ว่ายังช่วยทีมได้ไม่ดีพอ

ยิ่งไปกว่านั้น ในซีซั่นที่สี่ (2006-07) เหตุการณ์ยังยิ่งแล้วไปกันใหญ่ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงบอร์ดบริหารจากฟลอเรนติโน่ เปเรซ ในฐานะผู้บุกเบิกยุคดาวเด่นกระฉ่อนโลก มาเป็นราม่อน กัลเดร่อน และการเข้ามาของกุนซือคนใหม่ฟาบิโอ คาเปลโล่ ที่มักใช้บริการโฆเซ่ อันโตนิโอ เรเยส เป็นปีกขวามากกว่าเขา ทั้งหมดกลายเป็นสถานการณ์ที่ "กลืนไม่เข้าคายไม่ออก" สำหรับตัวเบ็คแฮมอย่างแท้จริง

จนกระทั่งเมื่อถึงช่วงเวลาที่สัญญาของกัปตันทีมชาติอังกฤษเข้า "กฎบอสแมน" ในต้นปี 2007 ที่ทำให้เขาเจรจากับทีมอื่นได้ ก่อนจะตกลงปลงใจชนิดที่ทำเอาหน้าสื่อกีฬาน้อยใหญ่ตะลึงไม่น้อย เมื่อเขาปฏิเสธอยู่ค้าแข้งต่อในยุโรป แล้วเลือกไปเล่นในลีกฟุตบอลที่สหรัฐอเมริกา ที่ในเวลานั้นแทบจะโนเนมในสายตาแฟนลูกหนัง กับ "ลอสแองเจลิส กาแล็คซี่"

เดวิด เบ็คแฮม เปิดตัวกับทีมดังแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนียช่วงต้นปี 2007 ก่อนจะเข้าไปเป็นสมาชิกทีมอย่างเป็นทางการในซัมเมอร์ปีนั้น 

และถึงแม้ว่าช่วงครึ่งหลังของซีซั่น 2006-07 เขาจะเริ่มกลับมาเป็นตัวจริงให้เรอัล มาดริด จากทัศนคติเลือดนักสู้ที่ไม่เคยลดละ แถมยังช่วยทีมเป็นแชมป์ลาลีก้าได้ด้วย 

ทว่าก็ไม่ได้มีผลอะไรมากแล้ว เพราะชีวิตใหม่ของสตาร์ชาวอังกฤษ กำลังจะเกิดขึ้นบนดินแดนพญาอินทรี

 

กระหึ่มกาแล็กซี่

"สำหรับผม มันเกี่ยวกับเรื่องฟุตบอลเท่านั้น" 

"ผมมาที่นี่เพื่อสร้างความแตกต่าง ผมมาที่นี่เพื่อเล่นฟุตบอล ผมไม่ได้ต้องการจะบอกว่าการมาอเมริกาของผมจะทำให้ฟุตบอลที่นี่กลายเป็นกีฬาอันดับหนึ่ง นั่นคงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้สำเร็จ เพราะเบสบอล บาสเกตบอล อเมริกันฟุตบอล ได้รับความนิยมมากกว่า ผมจะไม่ตัดสินใจอะไรแบบนี้เลย (การมาเล่นในสหรัฐอเมริกา) ถ้าผมไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถสร้างความแตกต่างใด ๆ ได้" 

ในการตัดสินใจย้ายจากเรอัล มาดริด มาสู่แอลเอ กาแล็กซี่ ด้วยสัญญา 5 ปี ของเดวิด เบ็คแฮม ถูกใครหลายคนตั้งคำถามถึง เช่น ทำไมถึงตัดสินใจมาเล่นในลีกโนเนมทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังอยู่ในวัยพีค ไปจนถึงข้อครหาจากราม่อน กัลเดร่อน ที่บอกว่าเบ็คแฮมมาเล่นที่นี่ในฐานะเซเลบริตี้มากกว่านักฟุตบอล 

แต่ไม่ว่าจะด้วยคำวิจารณ์ใด ๆ ที่สุดแล้วมันทำอะไรเบ็คแฮมแทบไม่ได้เลย เพราะที่สุดแล้ว การยึดมั่นในทัศนคติของตัวเอง การตัดสินใจร่วมกันกับครอบครัว ที่เหลือก็ก้มตาก้มตาทำหน้าที่ในสนามไป แล้วผลลัพธ์อื่น ๆ จะตามมาเอง นี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงตัวตนของเบ็คส์ ที่เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ (MLS)

การเข้ามาเล่นให้แอลเอ กาแล็กซี่ ของเบ็คแฮม สร้างผลกระทบเชิงบวกให้สโมสรนับแต่ที่ประกาศเปิดตัว โดยที่เบ็คส์ไม่ต้องออกแรงกายแรงใจใด ๆ หนักหน่วง แน่นอนว่าส่วนสำคัญมาจากภาพลักษณ์ของเขาในฐานะยอดนักเตะ รวมถึงในฐานะบุคคลผู้มีชื่อเสียงโลก

ว่ากันว่าสโมสรสามารถบรรลุข้อตกลงการเป็นผู้สนับสนุนเสื้อแข่งระยะเวลา 5 ปีกับบริษัทโภชนาการ เฮอร์บาไลฟ์ ด้วยมูลค่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตั๋วปีสโมสรนับหมื่นใบถูกวางจำหน่ายหมดเกลี้ยง ฯลฯ

ช่วงแรกที่ย้ายมาเล่นให้แอลเอ กาแล็กซี่ เดวิด เบ็คแฮม พลาดโอกาสลงสนามให้ทีมแบบต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากอาการบาดเจ็บรบกวนตั้งแต่สมัยที่ลงเล่นช่วงปลายซีซั่นที่เรอัล มาดริด 

2008 คือฤดูกาลที่เบ็คแฮมได้ลงเล่นในระดับสม่ำเสมอกว่าปีแรกที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการรักษาอาการเจ็บ แต่ถึงกระนั้น เมื่อใดก็ตามที่เขาปรากฏตัวต่อหน้าแฟนบอลทั้งบนอัฒจันทร์และในจอทางบ้าน ไม่ว่าจะจุดเด่นเรื่องการเล่นลูกนิ่งชวนไว้ใจ ทั้งสังหารฟรีคิกที่แม่นยำ รวมถึงเปิดบอลถึงเพื่อนแบบเหมาะเหม็ง นั่นแสดงถึงคลาสบอลระดับท็อปที่ไม่เคยดร็อปลง เรียกได้ว่ายังคงสร้างความฮือฮาได้อยู่เสมอ

แม้ภายใต้อายุสัญญาที่กาแล็กซี่ จะมีช่วงที่เบ็คแฮมย้ายกลับไปเล่นในยุโรปกับเอซี มิลาน ถึงสองคำรบ (2008-09 และ 2009-10) ด้วยเหตุผลที่ยังอยากติดทีมชาติอังกฤษไปลุยฟุตบอลโลก เป็นเหตุให้เกิดกระแสไม่พอใจของแฟนบอลแอลเออยู่บ้าง 

อย่างไรก็ตาม เพราะฝีเท้าที่ไม่เคยตกลงไป ภายหลังที่กลับมาค้าแข้งกับทีมอีกครั้ง เบ็คแฮมเอาชนะใจแฟนบอลได้ไม่ยากเลยจากจุดนี้ ฟรีคิกระยะ 30 หลายังคงเสียบตาข่ายแบบไว้ใจได้ การโยนบอลที่แม่นยำยังคงเกิดขึ้นเสมอ ๆ 

ทั้งหมดนี้ถูกตอบแทนออกมาผ่านการช่วยสโมสรได้แชมป์โซนตะวันตก หรือ Western Conference ถึง 3 สมัย รวมถึงแชมป์ MLS Cup หรือแชมป์ลีกประจำฤดูกาลอีก 2 สมัยด้วยกัน

124 คือตัวเลขลงเล่นรวมทุกรายการของ เดวิด เบ็คแฮม ร่วมกับทัพกาแล็กซี่ พ่วงด้วยสถิติยิง 20 ประตู กับอีก 42 แอสซิสต์ 

ยังไม่นับความสำเร็จเรื่องปัจจัยนอกสนามอีกมากที่เขาสร้างไว้กับ แอลเอ กาแล็กซี่ โดยเฉพาะเรื่องกำไรที่ได้รับจากสปอนเซอร์ที่หลั่งไหลเข้ามา 

"ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เลยที่เขาย้ายมาที่นี่ และทำให้เรากลายเป็นแบรนด์ระดับโลก" คริส ไคลน์ ประธานกาแล็กซี่ กล่าวกับ Los Angeles Times

เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่สโมสรจะรำลึกถึงคุณงามความดีที่เดวิด เบ็คแฮม เคยสร้างไว้ โดยแอลเอ กาแล็กซี่ ตอบแทนไอค่อนคนนี้ด้วยการสร้างรูปปั้นทองสัมฤทธิ์สูง 9 ฟุตเพื่อเชิดชูเขาหน้าสนามของสโมสรในปี 2019 

แน่นอนว่าคนที่เข้ามาเป็นสักขีพยานในวันเปิดตัว ก็คือเบ็คแฮม

 

ชายผู้สร้างอิมแพ็กต์ให้ทั้งลีก

การย้ายมาโลดแล่นยังเมเจอร์ ลีก ซอคเกอร์ ของเดวิด เบ็คแฮม ไม่เพียงแต่จะช่วยให้แอลเอ กาแล็กซี่ สร้างมูลค่าผ่านความสำเร็จด้วยโทรฟี่แชมป์และรายได้มหาศาลเท่านั้น 

เพราะการมาของเบ็คแฮม ยังสร้างผลกระทบต่อลีกอาชีพสูงสุดของประเทศที่เรียกกีฬาลูกหนังว่าซอคเกอร์ ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เขาเข้ามาด้วยอีกทาง

จนอาจกล่าวได้ว่า นับแต่ที่ซอคเกอร์ลีกของสหรัฐอเมริกาเคยมีดาวดังอย่างเปเล่, ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ หรือแม้แต่ จอร์จ เบสต์ มาค้าแข้งและเคยส่งอิทธิพลกับลีกในยุค 70s กระทั่งช่วง 30 ปีให้หลัง หรือในยุคของเบ็คแฮม นี่เปรียบเสมือนยุคสมัยแห่งความสำเร็จครั้งต่อมาของลีก แถมยังดูยั่งยืนกว่าเสียด้วย

เพราะซอคเกอร์ ไม่ได้เป็นกีฬามหาชนของแผ่นดินมะกัน หากนำไปเปรียบกับบรรดาประเภทกีฬาเบอร์ต้นทั้งอเมริกันฟุตบอล (NFL), เบสบอล (MLB), บาสเกตบอล (NBA) หรือแม้แต่ฮอกกี้น้ำแข็ง (NHL) แน่นอนว่าความนิยมจากแฟนกีฬา ตลอดจนมูลค่าของทั้งสามชนิดกีฬาที่ว่ามานี้ มีความแตกต่างกับซอคเกอร์ แบบลิบลับ

ยกตัวอย่างเรื่องกฎเพดานเงินเดือน (Salary cap) ในขณะที่เมเจอร์ลีกซอคเกอร์ ซึ่งก่อตั้งลีกยุคใหม่โดยใช้ชื่อนี้อย่างเป็นทางการในปี 1996 มีการกำหนดเพดานเงินเดือนของสโมสรสมาชิกในแต่ละปี คิดออกเป็นค่าเฉลี่ยไม่เกิน 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกัน เพดานเงินเดือนของอเมริกันฟุตบอลสูงถึงหลัก 178 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ผลสืบเนื่องจากกฎเพดานเงินเดือน มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ทีมใดทีมหนึ่งของเมเจอร์ลีก จะไปจ้างนักเตะระดับโลกมาโลดแล่นเหมือนในสมัยยุค 70 ที่เคยทำได้ อย่างไรก็ตาม การเข้ามาสู่ลีกฟุตบอลสหรัฐฯ ของเบ็คแฮม กลับเปลี่ยนแปลงเรื่องกฏเงินเดือนตรงนี้ และถึงแม้ว่าฐานเงินจะยังเทียบเท่าเหล่ากีฬามหาชนไม่ได้ แต่ก็นับเป็นแรงกระเพื่อมชั้นดีที่เห็นผลในกาลต่อมา

กฎนักเตะพิเศษ (Designated Player Rule) หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า "กฎเบ็คแฮม" ถูกฝ่ายจัดการแข่งขันของเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ นำมาใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในฤดูกาล 2007 แน่นอนว่าการออกกฎนี้มีเพื่อสอดรับกับนักเตะใหม่อย่างเบ็คแฮม ที่ว่ากันว่าค่าเหนื่อยของเขา ณ เวลานั้น อยู่ที่ 6.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี และถือเป็นฐานเงินที่มากกว่าค่าเหนื่อยที่ทั้งทีมทีมหนึ่งจะได้รับ 

กฎเบ็คแฮมใน MLS กล่าวโดยสรุปคือทางฝ่ายจัดการแข่งขันลีก จะกำหนดให้แต่ละทีมสามารถเซ็นสัญญานักเตะพิเศษได้ 3 คน และเงินที่ใช้ซื้อนักเตะกลุ่มนี้จะไม่ถูกนำมาคิดรวมกับรายจ่ายรายปี อีกทั้งแต่ละทีมจะจ่ายค่าเหนื่อยให้นักเตะพิเศษเหล่านี้เท่าไรก็ได้ เนื่องจากค่าเหนื่อยหลักล้านต่อปีของแต่ละคน จะถูกหักในเพดานเงินเดือนแตะแค่ "หลักแสนเหรียญฯ" เท่านั้น 

และนั่นก็ทำให้เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ ไม่เคยขาดดาวดังที่ทยอยตบเท้ากันเข้ามาโลดแล่นในลีกทุกคนล้วนแต่เข้ามาด้วยกฎพิเศษเบ็คแฮม ไล่มาตั้งแต่เธียร์รี่ อองรี ในนามทีมนิวยอร์ก เร้ด บูลส์ ปี 2010, ริคาร์โด้ กาก้า ร่วมทีม ออร์แลนโด้ ซิตี้ เอสซี ปี 2014 รวมถึง ดาบิด บีย่า, แฟรงค์ แลมพาร์ด กับ อันเดรีย ปีร์โล่ ที่ย้ายมาร่วมทัพ นิวยอร์ก ซิตี้ เอฟซี พร้อมกันในปี 2015 

สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กับ แอลเอ กาแล็กซี่ ปี 2015 และ 2019 ตามลำดับ, เวย์น รูนี่ย์ ที่ ดีซี ยูไนเต็ด ในปี 2018 ไปจนถึงสามดาวเด่นชื่อก้องล่าสุดของอินเตอร์ ไมอามี่ ในปี 2023 ทั้ง ลิโอเนล เมสซี่, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ และ ฆอร์ดี้ อัลบา เป็นต้น
 
เช่นเดียวกับการปลุกกระแสฟุตบอลลีกสหรัฐให้ดูน่าตื่นตาตื่นใจกว่าที่เป็นมา ไล่ตั้งแต่เหตุผลเรื่องการตลาดของเบ็คแฮม จากการเปิดเผยของดอน การ์เบอร์ ผู้บริหารระดับสูงของเมเจอร์ลีกที่เคยกล่าวกับ New York Times เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2007 เอาไว้ว่า

"ไม่ต้องสงสัยเลยว่า MLS เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกมากกว่าครั้งไหน ๆ ในประวัติศาสตร์ของเรา และมีความชอบธรรมมากขึ้นในสหรัฐอเมริกา เหตุผลก็เพราะเดวิด (เบ็คแฮม) ทุกมาตรการในธุรกิจของเราเติบโตเพราะเขา เราขายเสื้อทีมลอสแอนเจลิส แกแล็คซี่ ที่มีชื่อของเบ็คแฮมได้มากกว่า 300,000 ตัว ซึ่งเป็นจำนวน 700 เท่าของจำนวนเสื้อแกแล็คซี่ที่เคยขายได้ในปี 2006" 

"ยอดขายสินค้าโดยรวมเพิ่มขึ้นสองหรือสามเท่า ยอดการขายผ่านรายการโทรทัศน์ระดับนานาชาติก็เพิ่มขึ้น จากเดิมที่แทบจะไม่มีอะไรเลยสู่การจัดจำหน่ายใน 100 ประเทศทั่วโลก"

และยังไม่นับเรื่องยิบย่อยอื่น ๆ เช่นแฟรนไชส์ทีมเกิดขยายตัวตามมา จากปี 2007 ที่เมเจอร์ลีกมีสโมสรสังกัดรวมสองภูมิภาค 13 ทีม ทว่าในซีซั่นปัจจุบัน (2023) ลีกกลับขยายตัวผ่านสโมสรสมาชิก 29 ทีมเข้าไปแล้ว เช่นเดียวกับการที่หลาย ๆ สโมสรเริ่มสร้างซอคเกอร์สเตเดี้ยมเป็นของตัวเอง ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากอิทธิพลของเบ็คแฮมทั้งสิ้น

ขณะที่ยอดผู้ชมในเมเจอร์ ลีก ก็เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 8.2 เปอร์เซ็นต์ในช่วงฤดูกาลแรกของเบ็คส์ หลาย ๆ ทีมต่างขยายที่นั่งให้แฟนบอลเข้ามาชมแบบไม่มีใครยอมกัน และหากนับภาพรวมของแฟนบอลเมเจอร์ลีกในยุคที่มีเบ็คแฮมค้าแข้ง คิดเป็นจำนวนผู้ชมลีกโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 40 เปอร์เซ็นต์ (จาก 15,000 คนเป็น 21,000 คนต่อเกม)

นอกจากนี้ เมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ ยังมองผลระยะยาวจากการเข้ามาของเบ็คส์ ด้วยการมอบสิ่งที่ล่อตาล่อใจอย่างสิทธิ์ในการสร้างแฟรนไชส์ทีมฟุตบอลเป็นของตัวเอง ด้วยราคาเพียง 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น ขณะที่การลงทุนของทีมอื่นก็ไม่ได้ราคาระดับนี้ โดยดีลนี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อ เบ็คแฮม แขวนสตั๊ดเลิกเล่นฟุตบอลแล้วเท่านั้น 

กระทั่งอย่างที่เรารับรู้โดยทั่วไป ภายหลังจากที่เขาแขวนสตั๊ดในปี 2013 อดีตดาวเตะเบอร์ 7 ได้ใช้เงื่อนไขนี้ก่อตั้ง อินเตอร์ ไมอามี่ ขึ้นมา พร้อมกระโดดสู่เมเจอร์ลีกเต็มตัวในปี 2020 นำมาซึ่งการขยายตัวของฟุตบอลที่นี่อีกคำรบ โดยเฉพาะการมาของเมสซี่ ในปี 2023

"เมื่อเดวิด เบ็คแฮมเซ็นสัญญากับแอลเอ กาแล็กซี่ในปี 2007 เขามุ่งมั่นที่จะช่วยให้ MLS และกีฬาฟุตบอลเติบโตในอเมริกาเหนือ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า MLS ได้รับความนิยมและมีความสำคัญกับทั้งคนที่นี่และในต่างแดน มากกว่าตอนที่เขาย้ายมา" ดอน การ์เบอร์ ย้ำอิทธิพลของเบ็คแฮม ในวันที่ดาวเตะรายนี้อำลาลีก ในปี 2012 

ไม่ว่าอนาคตภายหน้า เมเจอร์ ลีก ซอคเกอร์ จะขยับขยายออกไปได้อีกไกลแค่ไหน เราปฏิเสธไม่ได้ว่าสาเหตุสำคัญที่มีผลทำให้ลีกอาชีพที่นี่เติบโตมากขึ้นในทุก ๆ ปี เกิดจากความสำเร็จและอิมแพ็คต์ที่เดวิด เบ็คแฮม เคยจารึกไว้ในสมัยเป็นนักเตะแอลเอ กาแล็กซี่

 

แหล่งอ้างอิง

https://bleacherreport.com/articles/1415671-david-beckham-leaving-la-galaxy-why-his-time-in-mls-has-been-a-success 
https://www.planetfootball.com/nostalgia/david-beckham-la-galaxy-mls-usa-soccer-real-madrid-transfer-story-miami/ 
https://www.theguardian.com/football/blog/2017/jan/11/david-beckham-la-galaxy-mls 
https://www.lagalaxy.com/players/david-beckham/ 
https://www.goal.com/th/%E0%B8%82%E0%B9%88
https://www.blockdit.com/posts/62bd9d7a055a8ed2aa78ca02 
https://www.facebook.com/jingjungfootball/posts/pfbid0mcPuf1RMKC2e8VcuQW3f2tP6tTNGPurmH1NovxJhnAJzj81nwW7PfXFu4yzGgGdQl 
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-11804353/David-Beckham-transformed-MLS-Lionel-Messi-HIGHER-level.html 
https://www.latimes.com/sports/soccer/story/2020-02-28/david-beckham-signing-with-the-galaxy-made-lasting-impact-on-mls 

Author

พชรพล เกตุจินากูล

แฟนคลับเชลซี ติดตามฟุตบอลเอเชีย ไก่ทอดและกิมจิเลิฟเวอร์

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ