ย้อนกลับไปสมัยที่ "สตีเว่น เจอร์ราร์ด" ยังค้าแข้งกับลิเวอร์พูล ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเขาคือกัปตันผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของสโมสร รวมถึงเขายังได้รับความเคารพจากแฟนบอลอย่างท่วมท้น
เช่นเดียวกับ "แดเนียล แอ็กเกอร์" ที่แม้จะไม่ได้เป็นกัปตันทีม แต่ก็เป็นอีกคนที่ได้รับความเคารพไม่แพ้กัน จากภาวะผู้นำที่สูงและบุคลิกแบดบอยที่ทำให้เหล่าแฟนบอลพากันตั้งฉายาให้เขาว่า "ท่านรอง"
เส้นทางของท่านรองผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไร เขาทำอย่างไรจึงมัดใจแฟนหงส์แดงทุกคนได้อยู่หมัด
มาร่วมติดตามเรื่องราวนี้ไปพร้อมกันกับ Main Stand
พ่อเทพบุตรแดนโคนม
เส้นทางของ แดเนียล แอ็กเกอร์ เริ่มมาจากเมืองเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของประเทศเดนมาร์กอย่าง "ฮวิโดฟ" หนึ่งในเมืองที่มีชื่อเสียงด้านกีฬาเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ทำให้เขาเติบโตมาพร้อมกับสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเล่นฟุตบอลอย่างมาก
แอ็กเกอร์เริ่มอาชีพการค้าแข้งด้วยการไปเข้าร่วมอคาเดมีของ "บรอนด์บี้" ในปี 1996 เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา จนได้พบตำแหน่งถนัดของตัวเองอย่าง เซ็นเตอร์แบ็ก ก่อนจะถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2003
เขาค่อย ๆ แทรกขึ้นมาเป็นตัวจริง ก่อนจะช่วยให้ทีมคว้าแชมป์เดนิช ซูเปอร์ลีกา และเดนิช คัพ ในฤดูกาล 2004-05 มาประดับตู้โชว์ และในนามทีมชาติเขาก็ทำผลงานได้ดีไม่แพ้กันจากการประเดิมสนามให้กับทัพโคนมชุด U-21 พร้อมกับทำไปถึง 3 ประตูในรายการนี้ จนสามารถคว้ารางวัล "Talent of the Year" ของเดนมาร์กมาครองได้สำเร็จ
ฟอร์มการเล่นของเขาในตอนนั้นถือว่าดังกระฉ่อนไปทั่วยุโรป มีสโมสรชื่อดังมากมายแสดงความต้องการอยากได้ตัวเขาไปร่วมทีม และสุดท้ายเป็น "ลิเวอร์พูล" ที่สามารถคว้าตัวแอ็กเกอร์ไปร่วมก๊วนได้สำเร็จในช่วงตลาดหน้าหนาวปี 2006 ด้วยค่าตัว 5.8 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นสถิติแนวรับที่แพงสุดของทัพหงส์แดง ณ เวลานั้น
แอนฟิลด์ … ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว
ช่วงแรกที่แอ็กเกอร์ย้ายเข้าสู่รั้วแอนฟิลด์ถือเป็นช่วงที่ลิเวอร์พูลเต็มไปด้วยขุมกำลังที่กลมกล่อมทุกตำแหน่ง ภายใต้การคุมทีมของ "ราฟาเอล เบนิเตซ" กุนซือผู้ยิ่งใหญ่ที่เพิ่งพาทีมชูถ้วยบิ๊กเอียร์มาหมาด ๆ
เขาประเดิมสนามนัดแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2006 ในเกมพรีเมียร์ลีกที่ทีมพบกับ เบอร์มิงแฮม ก่อนจะก้าวมาเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ และเอฟเอ คอมมูนิตี้ชิลด์ เรียกได้ว่าเป็นปีที่เขาแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว
สไตล์การเล่นที่เป็นจุดเด่นของแอ็กเกอร์คือการกล้าพาบอลขึ้นไปข้างหน้าและจ่ายบอลแม่นยำ ความเยือกเย็นนี้ทำให้เขามีความเป็นผู้นำในแนวรับ รวมถึงมีการยิงไกลในบางครั้งจากเท้าซ้ายอันทรงพลัง
หลังจากคว้าแชมป์สองรายการในปีแรก เขาเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ทีมทะลุเข้าสู่รอบชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2007 ก่อนจะแพ้ เอซี มิลาน ไปอย่างน่าเสียดาย แต่ฟอร์มส่วนตัวของเขาก็ทำให้หลายสื่อต่างหันมาจับจ้องเขาตาเป็นมัน
เขารักษามาตรฐานของตัวเองได้ดีและเต็มที่กับทุกนัดที่ลงสนาม รวมกับภาวะผู้นำที่ติดตัวมาแต่เด็กทำให้เขาสามารถยืนระยะกับทีมได้ถึง 8 ปี ภายใต้ผู้จัดการทีม 4 คนที่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ความเป็นผู้นำของเขามันช่วยให้โค้ชอย่างเราทำงานง่ายขึ้นมาก"
ท่านรองทรงอย่างแบด
แอ็กเกอร์สามารถคว้าใจแฟนบอลได้เพราะความจงรักภักดีที่มีให้กับสโมสร เขาจะแสดงอาการไม่พอใจออกมาถ้ามีใครสักคนกระทำสิ่งที่ไม่ให้เกียรติกับทีม ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนตัวเอง
อย่างในช่วงต้นปี 2011 ที่ "เฟร์นานโด ตอร์เรส" ย้ายไป เชลซี ด้วยค่าตัวมหาศาล แอ็กเกอร์ก็ออกมาวิจารณ์อย่างดุเดือดถึงอดีตเพื่อนร่วมทีมคนนี้ว่า "ผมว่ามันเป็นการไม่ให้เกียรติทีมเลย คุณสัญญาไว้แล้วไม่ใช่หรอว่าจะไม่ไปเล่นให้กับทีมคู่แข่งในลีก มันเป็นเรื่องที่รับไม่ได้อย่างมากสำหรับผม"
เขาได้กล่าวต่ออีกว่า "สำหรับผม ผมภูมิใจมากที่ได้สวมยูนิฟอร์มของหงส์แดง และผมจะไม่ย้ายไปสโมสรร่วมลีกแบบนั้นเด็ดขาด"
โมเมนต์นี้เหมือนเขียนบทมาแล้ว เพราะทันทีที่ตอร์เรสย้ายไปเชลซี นัดแรกที่เขาต้องลงประเดิมสนามคือการฟาดแข้งกับทีมเก่าของเขา แอ็กเกอร์ไม่รอช้านำความไม่พอใจต่ออดีตเพื่อนร่วมทีมคนนี้มาปลดปล่อยในสนามทันที
คู่นี้ได้ปะทะกันตลอดทั้งเกมเพราะเป็นตำแหน่งที่ต้องเผชิญหน้ากันโดยตรง และมีอยู่จังหวะหนึ่งที่แอ็กเกอร์เล่นนอกเกมด้วยการชักศอกเข้าไปที่คางของตอร์เรสจนกลิ้งลงไปนอนบนพื้นสนามด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะช่วยให้ทีมบุกไปคว้าชัยได้ถึงสแตมฟอร์ด บริดจ์
มันไม่มีใครตอบได้หรอกว่าสิ่งที่แอ็กเกอร์ทำถูกหรือผิด และมันเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจทำหรือไม่ แต่สิ่งเดียวที่ทราบได้แน่ชัดคือเขาได้ใจแฟนหงส์แดงทุกคนไปเต็ม ๆ
อีกหนึ่งโมเมนต์ที่ทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของแฟนหงส์แดงคือการปฏิเสธยอดทีมอย่าง บาร์เซโลน่า ถึง 3 ครั้ง เขาได้ให้เหตุผลไว้ว่า "ผมมีความสุขมากกับสโมสรแห่งนี้ ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ ผมไม่สนใจหรอกว่าทีมจะได้แชมป์หรือไม่ แต่ถ้าให้เลือกผมขออยู่ลุ้นแชมป์กับสโมสรที่ผมรักดีกว่าต้องย้ายไปที่อื่น"
เขายังทำในสิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันกับแฟนหงส์แดงอีกว่า "คำสัญญาของเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ลมปาก" เพราะในช่วงที่เขามีข่าวกับบาร์เซโลน่าอย่างหนักหน่วง เขาได้ไปสักคำว่า "YNWA" ที่ย่อมาจากสโลแกนประจำทีมอย่าง "You’ll Never Walk Alone" ไว้บนนิ้วมือขวาทั้ง 4 ของตัวเอง
เขาให้เหตุผลผ่านเว็บไซต์ของสโมสรว่า "ผมคิดเรื่องสักมาพักหนึ่งแล้วล่ะ อย่างที่ผมเคยกล่าวไปก่อนหน้านี้ ผมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสโมสรและเมืองนี้ มันทำให้การตัดสินใจครั้งนี้ง่ายขึ้นเยอะ ผมภูมิใจกับที่นี่มากและหวังว่ารอยสักที่นิ้วของผมจะแสดงให้ทุกคนเห็นเองว่าผมรักสโมสรนี้มากแค่ไหน"
เรียกได้ว่าเป็นการเซย์โนข้อเสนอจากบาร์เซโลน่าและแสดงความจงรักภักดีต่อลิเวอร์พูลไปในตัว ไม่แปลกใจเลยที่แฟนหงส์แดงทุกคนจะเผลอรักเขาแบบหมดใจ
นอกจากความจงรักภักดีที่มีให้ทีมแล้ว ภาวะความเป็นผู้นำของเขาก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เขาแสดงมันออกมาให้เห็นในสนามอยู่ตลอด จนเมื่อปี 2013 "แบรนแดน ร็อดเจอร์ส" กุนซือของทีมในขณะนั้นได้แต่งตั้งให้เขาเป็นรองกัปตันทีมคนใหม่แทน "เจมี่ คาร์ราเกอร์" ที่ประกาศรีไทร์ไป นี่จึงเป็นที่มาของฉายา "ท่านรอง" ที่เหล่า เดอะ ค็อป ตั้งให้กับเขา
หลังจากนั้นเขาเล่นให้กับทีมอีกหนึ่งฤดูกาล ก่อนจะโดนอาการบาดเจ็บลักพาตัวไป ส่งผลให้เขาตกเป็นตัวเลือกอันดับสุดท้ายของทีม ทำให้ลิเวอร์พูลต้องตัดใจปล่อยตัว และเขาก็ทำตามสัญญาที่เคยลั่นวาจาไว้ โดยการเลือกกลับไปเล่นให้กับทีมเก่าในบ้านเกิดอย่าง บรอนด์บี้ แม้จะมียักษ์ใหญ่หลายทีมรุมจีบเขาอยู่ก็ตาม
เขาลงเล่นในแดนบ้านเกิดอีกสองฤดูกาล แต่ปัญหาอาการบาดเจ็บที่รุมเร้าก็ทำให้เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ดในวัย 32 ปี เขาให้สัมภาษณ์ไว้ในตอนนั้นว่า "ผมบาดเจ็บบริเวณข้อต่อมาหลายปีแล้วเลยหันไปพึ่งยาแก้อักเสบ แต่ดูเหมือนว่าผมจะใช้มันในปริมาณที่มากเกินไป มันน่าจะส่งผลเสียต่อสภาพร่างกายผมเยอะเลยแหละ นี่เป็นสาเหตุที่ผมตัดสินใจเลิกเล่น ผมคิดว่าตัวเองพอใจแล้วกับฟุตบอลทั้งด้านร่างกายและจิตใจ"
เขาใช้เวลาหลังรีไทร์ในการพักผ่อนหย่อนใจก่อนจะไปเอาดีทางด้านโค้ช และผันตัวมาเป็นกุนซืออย่างเต็มตัวกับ "เฮชบี โคเก" ทีมจากลีกรองของเดนมาร์ก ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2021 ก่อนอำลาทีมเมื่อเดือนมิถุนายน 2023
แอ็กเกอร์ได้กลับมาเล่นให้กับลิเวอร์พูลอีกครั้งในแมตช์การกุศลในช่วงต้นปี 2022 หลังจบเกมเขาได้รับรางวัล "Standard Charter Player of the Match" ไปครอง พร้อมกับบทสัมภาษณ์ที่ว่า "มันสนุกดี ผมหวังว่าผู้คนจะสนุกกับมัน แม้ว่าจังหวะมันจะช้าลงบ้างแต่ยังคงเข้มข้นมาก ผมไม่ได้เล่นฟุตบอลมานาน ดังนั้นผมจึงต้องพยายามอย่างดีที่สุดในการปิดบังเรื่องนี้ด้วยฟอร์มในสนาม มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่จากที่ไหนได้นอกจากที่นี่"
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเขายังรักลิเวอร์พูลเสมอไม่เคยเปลี่ยน ถึงแม้ว่าบางช่วงทีมจะทำผลงานได้ไม่ดี แต่เขาก็ยังคงยึดมั่นและปักหลักอยู่กับทีมและไม่ย้ายไปไหน เมื่อนำเอาความจงรักภักดีตรงนี้มาหลอมรวมกับภาวะผู้นำอันเปี่ยมล้นด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้เขากลายเป็นที่รักของแฟนหงส์แดงเข้าไปใหญ่
ในอนาคตอันใกล้ ลิเวอร์พูลอาจมีท่านรองคนใหม่ขึ้นมาแทนที่ และแน่นอนว่าบุคลิกต้องแตกต่างออกไป เพราะของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับสไตล์แต่ละคนที่จะแสดงออกอย่างเหมาะสม
แต่เชื่อเลยว่าความจงรักภักดีและภาวะผู้นำที่สูงเช่นนี้คงหาจากใครไม่ได้ง่าย ๆ อีกแล้ว นอกจากชายที่ชื่อ "แดเนียล แอ็กเกอร์"
แหล่งอ้างอิง
https://www.transfermarkt.com/daniel-agger/erfolge/spieler/22832
http://lfcstats.co.uk/agger.html
https://www.theguardian.com/football/blog/2016/jul/20/daniel-agger-liverpool-story-athletes-pills
https://www.eurosport.com/football/premier-league/2009-2010/agger-slams-torres_sto2660744/story.shtml
https://www.express.co.uk/sport/football/436888/REVEALED-Liverpool-star-Daniel-Agger-explains-why-he-rejected-Barcelona
https://www.liverpoolfc.com/news/first-team/125042-agger-why-i-got-ynwa-tattoo
https://thailand.liverpoolfc.com/news/thailand-news/452481-daniel-agger-playing-at-anfield-is-a-feeling-you-can-t-recreate
https://www.sportskeeda.com/football/former-liverpool-star-daniel-agger-reveals-reason-behind-retirement-tears-into-roy-hodgson