หากจะเอ่ยถึงนักเตะขวัญใจแฟนบอล เลสเตอร์ ซิตี้ คนหนึ่งในรอบเกือบทศวรรษที่ผ่านมา เชื่อเหลือเกินว่าชื่อของ "เจมี่ วาร์ดี้" ย่อมถูกพูดถึงเป็นลำดับต้น ๆ เพราะนี่คือนักเตะที่อยู่รับใช้สโมสรมาตั้งแต่ปี 2012 เรียกได้ว่าอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับทีมมามากมาย
เมื่อเวลาเดินทางมาเกือบทศวรรษ แน่นอนว่าอดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษผู้นี้ยังคงเป็นนักเตะทัพ เดอะ ฟ็อกซ์ อยู่ ทว่าด้วยอายุอานามที่มากขึ้น กอปรกับการเข้ามาของนักเตะแนวรุกรายอื่น ๆ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่โอกาสของจอมเก๋ารายนี้จะถูกลดทอนลงไปบ้าง
ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่แฟนฟุตบอลอาจตั้งคำถาม ตลอดจนข้อสังเกตร่วมกันว่า วาร์ดี้พร้อมมากน้อยแค่ไหนกับภารกิจในฤดูกาลที่ 12 ร่วมกับเลสเตอร์
มาวิเคราะห์และสืบเจาะประเด็นนี้ไปพร้อม ๆ กันกับ Main Stand
ไอ้หนุ่มโรงงาน ชีวิตนอกลีก สู่เส้นทางกับเลสเตอร์
"ฟุตบอล" เป็นสิ่งที่อยู่ติดตัวกับคนอังกฤษแบบแยกกันไม่ขาด กีฬาลูกหนังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันจนแทบจะแยกกันไม่ออก จึงไม่แปลกที่อิงลิชชนหลาย ๆ คนจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเกม ทั้งในฐานะนักฟุตบอลไปจนถึงผู้สนับสนุน แน่นอนว่า เจมี่ วาร์ดี้ ก็เป็นหนึ่งในนั้น
หลังจากที่เด็กชายจากเซาท์ ยอร์คเชียร์ ถูกคัดตัวออกจากทีมเยาวชนชื่อดังในท้องถิ่นอย่าง เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ ธงในใจที่ติดตัวเขาเรื่อยมาคือทำอย่างไรก็ได้ให้กลับมาอยู่ในสารบบลูกหนังอังกฤษอีกครั้ง
เหล่าวัยรุ่นที่เผชิญเรื่องราวเดียวกับวาร์ดี้มีทางเลือกในเส้นทางฟุตบอลไม่มากนัก นอกจากจะมุ่งมั่นเดินตามฝันนี้ต่อด้วยวิธีไปคัดตัว อีกทางหนึ่งคือสลัดฝันตัวเองทิ้งแล้วไปทำงานด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับฟุตบอลแทน หรือไม่ก็ปิดฉากงานด้านนี้ไปเลยแล้วเปลี่ยนไปเป็นแค่สาวกตัวยงของทีมที่เชียร์เฉย ๆ แล้วมุ่งหน้าไปสู่หนทางใหม่
แน่นอนว่า เจมี่ วาร์ดี้ คือคนที่มีฝันและเชื่อว่าศักยภาพของตัวเองนั้นไปถึงการเป็นนักเตะอาชีพได้ เขาเลือกเส้นทางแบบแรก ยิ่งไปกว่านั้นเด็กจากเมืองเชฟฟิลด์รายนี้ยังเลือกทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองด้วยการเป็นพนักงานในโรงงานผลิตขาเทียม เพื่อที่เขาจะนำรายได้ส่วนนี้มาสานฝันเส้นทางฟุตบอลของตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาใครมากนัก
นั่นเท่ากับว่าเมื่อเสร็จสิ้นงานในโรงงาน หากว่ามีโอกาสให้วาร์ดี้วัยหนุ่มหิ้วสตั๊ดไปทดสอบฝีเท้าตั้งแต่เหนือจรดใต้ และเขาก็พร้อมไปคัดตัวและไม่ปฏิเสธโอกาสเช่นนี้
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" ที่สุดแล้วคำกล่าวคลาสสิกนี้ก็มาเกิดขึ้นกับ เจมี่ วาร์ดี้ เมื่อ สต็อกส์บริดจ์ พาร์ค สตีลส์ ซึ่งอยู่ในท้องถิ่นเมืองเชฟฟิลด์ เป็นทีมระดับ 7 ของพีระมิดฟุตบอลลีกอังกฤษ ซึ่งเทียบสถานะเป็นทีมนอกลีก ให้โอกาสวาร์ดี้เป็นส่วนหนึ่งของทีม และแม้จะรับค่าเหนื่อยอยู่ที่ 30 ปอนด์ต่อสัปดาห์ (ราว 1,300 บาท) แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับโอกาสที่ได้รับในฐานะนักเตะ
"เขาตัวเล็ก ผอม บางทีกองหลังตัวใหญ่ ๆ ของนอร์ธเทิร์น ลีก ต่างก็เพ่งเล็งมาที่เขา และคิดว่าจัดการหมอนี่ได้แน่ ๆ แต่สิ่งที่อยู่ติดตัววาร์ดี้คือความท้าทาย เขาไม่เคยกลัวที่จะเผชิญหน้ากับคนที่ตัวใหญ่กว่า" เบรตต์ โลเวลล์ กัปตันทีมสต็อกส์บริดจ์ในเวลานั้น กล่าวกับ Sky Sports
เมื่อพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า เจมี่ วาร์ดี้ มีความตั้งใจจริงที่จะเข้าสู่สารบบฟุตบอลอาชีพ เวลาต่อจากนั้นกราฟลูกหนังของเขาก็ถูกยกระดับขึ้นเรื่อย ๆ จากทีมระดับดิวิชั่น 7 สู่ทีมระดับดิวิชั่น 6 และ 5 อย่าง ฮาลิแฟกซ์ ทาวน์ และ ฟลีตวูด ทาวน์ ตามลำดับ
ว่ากันว่านักเตะระดับนอกลีกหลายคนมีฝีเท้าดีพอที่จะก้าวสู่ระดับอาชีพได้ เพียงแต่โอกาสของพวกเขาเหล่านี้ไม่ได้สวยหรูเหมือนนักเตะที่เติบโตมาจากอคาเดมีฟุตบอล ที่สุดแล้ว ก่อนเริ่มฤดูกาล 2012-13 ฝันของ เจมี่ วาร์ดี้ ก็มาถึง
"ทันทีที่ผมลงเล่นเกมสุดท้ายกับฟลีตวูด ประธานและผู้จัดการทีมก็เข้ามาหาและพูดกับผมว่า 'ขอบคุณมาก แต่คุณจะย้ายสโมสรในช่วงซัมเมอร์'" วาร์ดี้ ย้อนความ
หลังทำผลงานสุดดุดันจากสถิติซัลโว 34 ประตูจากการลงเล่น 42 เกมให้ ฟลีตวูด ทาวน์ ฟอร์มของเขาก็ไปสะดุดตาทีมงานแมวมองของ เลสเตอร์ ซิตี้ จนได้ ก่อนจะได้ร่วมงานกันด้วยค่าตัวสถิติลีกที่ 1 ล้านปอนด์
กลายเป็นว่าจากหนุ่มโรงงานในวันนั้น เจมี่ วาร์ดี้ กำลังจะขยับตัวเองจากลีกระดับดิวิชั่น 5 มาสู่ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ
ที่สำคัญมูลค่า 1 ล้านปอนด์ที่เลสเตอร์สู่ขอได้สร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการฟุตบอลนอกลีกไปด้วย เพราะวาร์ดี้กลายเป็นนักเตะนอกลีกคนแรกที่มีค่าตัวเท่านี้
เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
การก้าวขึ้นมาสู่ฟุตบอลอาชีพแบบเต็มตัวของ เจมี่ วาร์ดี้ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะปรับตัวได้ทันที และที่สำคัญ นี่เป็นการขยับจากลีกเทียร์ 5 มาสู่ลีกรองขั้นสุดท้ายก่อนถึงลีกอาชีพสูงสุดอย่างพรีเมียร์ลีก
เป็นเหตุให้ เจมี่ วาร์ดี้ จะมาใช้ชีวิตแบบเดิมเหมือนสมัยลงเล่นระดับกึ่งอาชีพไม่ได้อีกแล้ว เขาจะต้องปรับพฤติกรรมทั้งในและนอกสนามสู่สารบบลูกหนังอาชีพให้ได้โดยเร็วที่สุด
2012-13 คือซีซั่นแรกของวาร์ดี้ในวัยเบญจเพสร่วมกับ เลสเตอร์ ซิตี้ แม้ทีมจะเกือบเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกได้ แต่ดันไปเสียท่าต่อ วัตฟอร์ด ในรอบเพลย์ออฟ แต่สำหรับวาร์ดี้ดูเหมือนว่าจะต้องปรับตัวอีกพักหนึ่ง โอกาสลงสนามในลีก 29 นัด แปรเปลี่ยนมาเป็น 5 ประตูให้ทีมเท่านั้น
และอย่างที่ทุกคนทราบกันดี "ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน" เวลาต่อจากนั้น วาร์ดี้ค่อย ๆ พัฒนาตัวเองในหลาย ๆ แง่ จนกลายเป็นหนึ่งในอาวุธสำคัญในแนวรุกเลสเตอร์ แน่นอนว่าขวบปีต่อมา ผลงาน 16 ประตูจาก 41 เกม ช่วยให้ เดอะ ฟ็อกซ์ เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ในฐานะแชมป์ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ
"เขาต้องใช้เวลาสักพักในการปรับตัวเข้ากับแชมเปี้ยนชิพและค้นหาฝีเท้าของตัวเอง"
"ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ยอดเยี่ยม ฤดูกาลที่เราได้เลื่อนชั้น ฟอร์มเขาร้อนแรงมากและสร้างปัญหาให้กับทีมที่เผชิญหน้ากับเราได้อย่างต่อเนื่อง" เวส มอร์แกน อดีตกัปตันเลสเตอร์ กล่าวถึงแข้งรุ่นน้อง
เลสเตอร์ ซิตี้ คืนสู่พรีเมียร์ลีกหนแรกในรอบทศวรรษ โดยมี เจมี่ วาร์ดี้ เป็นหนึ่งในตัวเลือกในแดนหน้า และแม้ช่วงซีซั่นแรก (2014-15) เขาจะเผชิญกับงานที่ไม่ง่าย เพราะอีก 19 ทีมที่ร่วมต่อกรล้วนแต่มีแข้งเสือสิงห์กระทิงแรดที่ชื่อชั้นเหนือกว่าที่หัวหอกเบอร์ 9 เคยเผชิญมาก่อน
ทีมจิ้งจอกที่มีเจ้าของเป็นกลุ่มทุนชาวไทยต้องต่อสู้กับภารกิจรอดตกชั้นให้ได้ ก่อนจะทำได้สำเร็จจากการจบที่อันดับ 14 ในรายของวาร์ดี้นั้นซัดไป 5 ประตู หนึ่งในนั้นคือประตูความทรงจำในเกมบุกชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คาบ้าน 5-3 เพียงเท่านี้ก็เรียกว่าน่าประทับใจแล้วกับเส้นทางสู่ฝันของดาวยิงจากนอกลีก
อย่างไรก็ดี ที่สุดแล้ว เจมี่ วาร์ดี้ "ไปไกล" มากกว่านั้น เมื่อฤดูกาล 2015-16 เขากลายเป็นกองหน้าเบอร์หนึ่งของทีม และมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้สโมสรผงาดแชมป์ลีกสูงสุดเป็นสมัยแรก กลายเป็นเรื่องราวดุจเทพนิยายที่ใครหลายคนยังคงพูดถึง
ยิ่งไปกว่านั้น ผลงาน 24 ประตูในลีก ส่งให้เขาคว้าสองรางวัลสำคัญอย่างนักเตะยอดเยี่ยมแห่งซีซั่นของพรีเมียร์ลีกและสมาคมนักข่าว (FWA)
จากจุดนี้เอง วาร์ดี้กลายเป็นทั้งไอคอนลูกหนังของเลสเตอร์ จากความภักดีที่ไม่คิดย้ายออกจากทีมไปไหน แม้จะเคยมีข่าวอย่างหนักหน่วงกับ อาร์เซนอล เขาได้ติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ ทั้งยังเป็นแบบอย่างของนักเตะที่เริ่มต้นเส้นทางจากศูนย์สู่เวทีใหญ่
กับผลงานยิงประตูได้ 11 นัดติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก 2015-16 ลบสถิติเก่าของ รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่ทำไว้ 10 เกมเมื่อปี 2003 หรือแม้แต่ผลงาน 100 ประตูในพรีเมียร์ลีก ในฤดูกาล 2019-20
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องราวที่รับรู้โดยทั่วกันว่า ไม่ว่าแนวรุกคนใดจะแวะเวียนมาสวมยูนิฟอร์มจิ้งจอกในแต่ละฤดูกาล แต่กองหน้าคนหนึ่งที่ยังคงอยู่กับทีมเสมอมาก็คือ เจมี่ วาร์ดี้
มากกว่านั้น ในช่วงหลังความสำเร็จของฤดูกาลแห่งแชมป์ลีกสูงสุด เราไม่อาจปฏิเสธว่านักเตะชุดแชมป์ดุจเทพนิยายเริ่มทยอยปลดระวางกับทีม แต่จนเรื่อยมาถึงฤดูกาล 2022-23 ซึ่งเป็นรอบปีสุดท้ายที่เลสเตอร์ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก ก่อนตกชั้นสู่ ลีกแชมเปี้ยนชิพ ในปีต่อมา (2023-24) จะเห็นว่าไอคอนนาม วาร์ดี้ ก็ยังคงเป็นนักเตะหมายเลข 9 ของสโมสรอยู่
และที่สำคัญ นี่คือแข้งมรดกชุดแชมป์ลีกคนสุดท้ายที่ยังมีสัญญากับสโมสร
อย่างไรก็ดี ในระหว่างที่เวลาดำเนินไป วาร์ดี้เองก็มีอายุที่มากขึ้น แถมเขาก็เคยเจ็บหนักทั้งที่หัวเข่าและแฮมสตริง ในฤดูกาล 2021-22 มาก่อนด้วย
ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราอยากชวนผู้อ่านมาร่วมตั้งคำถามและหาคำตอบไปด้วยกันว่า ในวัย 36 ปี ณ เวลานี้ (2023) เขายัง "ไหว" อยู่ไหม กับการเป็นดาวยิงเบอร์ต้น ๆ ของเดอะ ฟ็อกซ์
ไหวแค่ไหนในวัย 36
ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2022-23 นาทีในสนามของ เจมี่ วาร์ดี้ ร่วมกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ถูกจำกัดลงไป แม้เขาจะลงสนามให้ทีมถึง 37 เกม แต่เมื่อดูรายละเอียดยิบย่อยก็จะพบว่าโอกาสเป็น 11 ตัวจริงนั้นไล่เลี่ยกับการลงสนามในฐานะตัวสำรอง (19 ต่อ 18) พร้อมกับยิงประตูในลีกไปแค่สามลูกเท่านั้น
และไม่ว่าจะด้วยปัจจัยใดก็ตาม ที่สุดแล้วบทสรุปของฤดูกาลดังกล่าวคือ เลสเตอร์จบด้วยอันดับที่ 18 เป็นทีมสุดท้ายที่ตกชั้นสู่แชมเปี้ยนชิพ
เมื่อต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่กันอีกครั้ง แน่นอนว่านักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ของทีมหลาย ๆ คนที่ถูกดึงไปร่วมทีมอื่น ก็จะได้ลงเล่นในลีกสูงสุดต่อไป
แต่กับวาร์ดี้ในฐานะแข้งซีเนียร์สโมสร แม้จะมีข่าวกับทีมในพรีเมียร์ลีก เช่น เอฟเวอร์ตัน รวมถึงมีกระแสว่า อัล คาลีจ ทีมจากซาอุดีอาระเบียสนใจดึงไปร่วมทัพ ตลอดจนสัญญาที่เหลือกับ เดอะ ฟ็อกซ์ อีกหนึ่งปี กระนั้นเราก็ยังเห็นเขาสวมเสื้อทีมลงซ้อมพรีซีซั่นอยู่เช่นเคย และไม่มีสัญญาณใด ๆ จากเขาว่าจะย้ายออกไปไหน ขณะที่บรรดาสื่อเอ็กซ์คลูซีฟก็ไม่ได้มีบทวิเคราะห์ว่ากองหน้าจอมเก๋ารายนี้จะย้ายออกจากทีมในซัมเมอร์นี้แต่อย่างใด
มากไปกว่านั้น เอนโซ มาเรสก้า กุนซือป้ายแดงของทีมฉายาที่แฟนบอลไทยเรียก "จิ้งจอกสยาม" ยังยืนยันด้วยว่าวาร์ดี้อยู่ในแผนการทำทีม ภายใต้ภารกิจสำคัญคือ "เลื่อนชั้น" กลับสู่พรีเมียร์ลีกภายในฤดูกาลเดียว ดังบทสัมภาษณ์ที่ได้กล่าวไว้กับ Telegraph Sport
"ใช่ เขาจะยังอยู่กับเรา สิ่งที่เรากำลังทำอยู่คือดูภาพรวมของทีมและวางแผนสำหรับฤดูกาลหน้า"
จะเห็นว่า เลสเตอร์ ซิตี้ เอาจริงกับการกลับสู่ลีกสูงสุดภายใต้กุนซือคนใหม่ที่มีดีกรีเป็นถึงอดีตมือขวาของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา โดยมี เจมี่ วาร์ดี้ เป็นทั้งรุ่นพี่ใหญ่ที่พร้อมอยู่ "รับผิดชอบ" ผลงานในปีก่อน และเป็นอาวุธสำคัญสำหรับต่อกรกับคู่แข่งไปตลอดฤดูกาลในลีกรอง
บ่อนพนันถูกกฎหมายบางที่ของอังกฤษยังเปิดราคาว่า วาร์ดี้จะเป็นดาวซัลโวของแชมเปี้ยนชิพด้วยซ้ำไป
แม้วัยจะเดินทางมาถึง 36 ปี ทว่าจากประสบการณ์อันเหลือล้นของ เจมี่ วาร์ดี้ ก็น่าจะเข้ามาทดแทนหลักไมล์อายุที่มากขึ้นได้แบบไม่มีเคอะเขิน และที่สำคัญวาร์ดี้อาจเจองานที่ไม่ได้หนักเท่าคู่แข่งของเขาในหลายปีที่ผ่านมา เหตุเพราะความแข็งแกร่งของคู่แข่งจากลีกรองแตกต่างกันกับพรีเมียร์ลีกอยู่แล้ว
บางทีสถานการณ์ของ เดอะ ฟ็อกซ์ อาจวนมาจุดเดิมอีกครั้งเหมือนสมัยยืนหยัดบนลีกสูงสุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ คือต่อให้ขุมกำลังแผงรุกของทีมจะมีใครย้ายเข้าย้ายออก ยอดทีมแห่งถิ่น คิง พาวเวอร์ สเตเดียม ก็จะยังคงมีศูนย์หน้าเบอร์ 9 คนนี้เป็นแกนหลัก
เมื่อนำเหตุปัจจัยทั้งหมดนี้มารวมกัน นั่นแสดงให้เห็นว่า เจมี่ วาร์ดี้ ในวัยเข้าเลขสามตอนปลายยัง "ไหว" กับการเป็นจอมถล่มประตูให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเขาพร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยทีมให้กลับไปอยู่ในจุดที่ควรอยู่
แหล่งอ้างอิง
https://www.transfermarkt.com/jamie-vardy/leistungsdaten/spieler/197838/plus/0?saison=2022
https://www.telegraph.co.uk/football/2023/06/21/enzo-maresca-interview-why-i-quit-man-city-for-leicester/
https://theathletic.com/4630946/2023/06/22/leicester-transfer-jamie-vardy-james-maddison/
https://youtu.be/EuARH6mNezA
https://www.lcfc.com/players/8979/Jamie-Vardy/profile?tabs=statistics&lang=th