ย้อนกลับไปในช่วงก่อนปี 2018 หากจะพูดถึงตำแหน่งที่เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของลิเวอร์พูล แฟนบอลคงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ผู้รักษาประตู” อย่างแน่นอน
จนการมาของ “อลิสซง เบคเกอร์” นายด่านเลือดแซมบ้า ผู้ที่เข้ามาเติมเต็มให้กับทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ และกลายเป็นที่รักของเหล่าแฟนบอลได้อย่างรวดเร็วจากฟอร์มการเล่นที่ดีและบุคลิกอันอบอุ่นของเขา
การเดินทางของชายผู้ที่ได้รับฉายาว่า “พ่อหมี” มีความเป็นมาอย่างไร และเหตุใดเขาถึงกลายเป็นที่รักของแฟน ๆ หงส์แดง มาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Main Stand
จากแดนแซมบ้า มายังกรุงโรม
อลิสซง เบคเกอร์ เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1992 ในเมืองโนโว ฮัมเบอร์โก ของรัฐรีโอกรันดีดูซูล ทางตอนใต้ของประเทศบราซิล โดยครอบครัวของเขาเป็นคนชั้นกลาง
จุดเริ่มต้นในการเป็นนักฟุตบอลของอลิสซงเรียกได้ว่ามาจากครอบครัวผู้รักษาประตูอย่างแท้จริง เริ่มมาจากการที่คุณพ่อของเขาถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพแบบจริงจัง แต่ก็ลงแข่งขันในตำแหน่งผู้รักษาประตูให้กับทีมสมัครเล่นอยู่บ่อยครั้ง และแม่ของเขาที่เล่นเป็นผู้รักษาประตูในกีฬาแฮนด์บอล รวมไปถึงพี่ชายของเขาเองก็เป็นผู้รักษาประตูอาชีพเช่นกัน ทำให้อลิสซงเกิดแรงบันดาลใจและเริ่มหลงใหลในตำแหน่งนี้ ดังคำกล่าวของเขาที่ว่า “ฮีโร่ในวงการฟุตบอลของผมก็คือพี่ชายของผมเอง ผมโตมากับการดูเขาฝึกซ้อม มันอยู่ในสายเลือดของผม และมันอยู่ในครอบครัวของผม” ด้วยเหตุนี้เขาจึงเริ่มเล่นฟุตบอลในตำแหน่งผู้รักษาประตูนับแต่นั้นเป็นต้นมา และเข้าสู่อคาเดมีของสโมสรในบ้านเกิดอย่าง “อินเตอร์นาซิอองนาล” ในปี 2002 เมื่อตอนอายุ 10 ขวบ
อลิสซงเริ่มต้นอาชีพการค้าแข้งในปี 2013 หลังจากที่อยู่ในอคาเดมีของสโมสรมาหนึ่งทศวรรษเต็ม ๆ เขาถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่โดยเริ่มจากการทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตูสำรองให้กับพี่ชายของเขาอย่าง “มูเรียล เบคเกอร์” แต่เมื่อพี่ชายของเขาได้รับบาดเจ็บจนต้องพักรักษาตัวในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2013 ทำให้ผู้จัดการทีมในเวลานั้นอย่าง “ดุงก้า” เห็นถึงความสามารถของอลิสซงและให้โอกาสเขาลงประเดิมสนามให้กับทีม ซึ่งจากพรสวรรค์และทักษะในการเป็นผู้รักษาประตูของเขา ทำให้เขาสามารถยึดมือหนึ่งของทีมได้สำเร็จนับตั้งแต่ตอนนั้น ถึงแม้จะมีบางช่วงที่ถูกท้าทายตำแหน่งจาก “ดีด้า” ตำนานผู้รักษาประตูทีมชาติบราซิลที่ย้ายเข้ามาแย่งชิงตำแหน่ง ในช่วงท้ายอาชีพการค้าแข้ง แต่จากความยอดเยี่ยมของอลิสซงทำให้เขายังคงยึดมือหนึ่งของทีมต่อไปได้ รวมทั้งยังได้รับคำชมจากดีด้าอีกด้วยว่า “เขา (อลิสซง) จะกลายเป็นผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดของโลกในอนาคตอย่างแน่นอน” จากนั้นเขาก็รักษาตำแหน่งมือหนึ่งของทีมได้อย่างต่อเนื่องตลอดการค้าแข้งกับอินเตอร์นาซิอองนาล
จากการที่อลิสซงโชว์ผลงานได้อย่างโดดเด่นทั้งการเซฟและทักษะการเล่นบอลด้วยเท้าที่ดี ทำให้เขาได้รับความสนใจจากสโมสรในยุโรปมากมาย จนสุดท้ายก็เป็นทีมหมาป่าแห่งกรุงโรมอย่าง “โรม่า” ที่คว้าตัวอลิสซงไปร่วมทีมได้สำเร็จในเดือนกรกฎาคม ปี 2016 ด้วยค่าตัว 7.5 ล้านยูโร แต่ชีวิตในกรุงโรมปีแรกนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิด เพราะถึงแม้ตัวเขาจะมีความสามารถมากเพียงใดในลีกบ้านเกิด แต่เมื่อต้องออกมาเล่นในต่างแดนเป็นครั้งแรก ประกอบกับการยังเป็นดาวรุ่งที่น้อยประสบการณ์ในการเล่นเวทีใหญ่ ทำให้เขาต้องเริ่มจากการเป็นมือสองของทีมไปก่อนรองจากผู้รักษาประตูตัวจริงของทีมในขณะนั้นอย่าง “วอยเชียค เชสนี่” และเขาก็ไม่ได้รับโอกาสในการลงสนามในเซเรีย อา เลยแม้แต่เกมเดียวในฤดูกาลนั้น ทำให้เขาเปิดเผยกับสื่อว่าคิดที่จะย้ายออกจากโรม่า
แต่กราฟชีวิตที่กำลังตกก็กลับมาขึ้นภายในปีเดียว เนื่องจากเชสนี่ถูก “ยูเวนตุส” ซื้อตัวไปในช่วงกลางปี 2017 เพื่อเป็นตัวแทนในระยะยาวของ “จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน” ที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงของอาชีพการค้าแข้ง ทำให้อลิสซงได้รับโอกาสลงสนามในฐานะมือหนึ่งของทีมหมาป่าในฤดูกาล 2017-18 และเขาก็ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากในฤดูกาลนั้น จากการเก็บคลีนชีตได้ถึง 22 นัดในทุกรายการ โดยเฉพาะในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ไม่เสียประตูในเกมเหย้าเลยจนถึงรอบรองชนะเลิศที่พบกับ ลิเวอร์พูล รวมไปถึงการบินไปโชว์ผลงานอย่างต่อเนื่องในศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย จากจุดเด่นในการเซฟแบบดวลหนึ่งต่อหนึ่งและทักษะการเล่นบอลด้วยเท้าที่ดี
สู่การเป็นที่รักของแฟนหงส์แดง
หลังจากนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2018 ที่ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ให้กับ เรอัล มาดริด จากความผิดพลาดส่วนบุคคลของ “ลอริส คาริอุส” ทำให้ทีมยังคงมีปัญหาในตำแหน่งผู้รักษาประตูอยู่เสมอ ทำให้ เยอร์เกน คล็อปป์ แก้ปัญหาอย่างเด็ดขาดด้วยการเซ็นสัญญาคว้าตัวอลิสซงมาแทนที่ทันทีในเดือนกรกฎาคม ปี 2018 ด้วยค่าตัว 72.5 ล้านยูโร ซึ่งเป็นค่าตัวสถิติโลกของตำแหน่งผู้รักษาประตูในขณะนั้น จากฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยมของอลิสซงในฤดูกาล 2017-18 รวมไปถึงในฟุตบอลโลก และหลังจากนั้นเขาก็สร้างผลงานจนกลายเป็นที่รักของแฟนหงส์แดง
เริ่มจากในฤดูกาลแรกที่เขาโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจนสามารถคว้ารางวัลถุงมือทองคำไปครองได้ จากการเสียประตูไปเพียงแค่ 22 ลูกเท่านั้น เหตุนี้จึงทำให้แฟนหงส์แดงเริ่มหลงรักในตัวอลิสซง เพราะเขาเหมือนเป็นผู้ที่เข้ามาเติมเต็มตำแหน่งที่เป็นจุดอ่อนของทีมมาอย่างยาวนาน และทำให้แฟน ๆ อุ่นใจมากขึ้นเมื่อมีเขาลงสนาม
และผลงานส่วนตัวของเขาที่ทำให้กลายเป็นที่รักอย่างมากของแฟนหงส์แดงคือจังหวะเซฟสำคัญในเกมรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดสุดท้ายที่พบกับ นาโปลี จากจังหวะยิงจ่อ ๆ ของ “อาร์คาดิอุส มิลิค” ในนาทีสุดท้ายของเกม ซึ่งการเซฟจังหวะนี้ช่วยให้ทีมไม่ถูกตีเสมอ ส่งผลให้ลิเวอร์พูลสามารถผ่านเข้าไปแข่งขันต่อในรอบน็อกเอาต์ได้สำเร็จ และหลังจากนั้นลิเวอร์พูลก็สามารถทะลุเข้ารอบไปได้เรื่อย ๆ จนสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยที่ 6 ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่
ซึ่งถ้าแฟนบอลส่วนใหญ่มาย้อนนึกดูก็คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ถ้าอลิสซงไม่สามารถเซฟในจังหวะนั้นลิเวอร์พูลคงตกรอบลงไปเล่นในยูฟ่า ยูโรป้า ลีก แล้ว และไม่มีทางที่จะได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปีนั้นอย่างแน่นอน” ทำให้เขากลายเป็นที่รักของแฟนหงส์แดงอย่างรวดเร็ว
ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น ในฤดูกาลถัดมาถึงแม้ว่าอลิสซงจะโชคร้ายได้รับบาดเจ็บที่น่อง ตั้งแต่นัดเปิดสนามของพรีเมียร์ลีก แต่หลังจากสลัดอาการบาดเจ็บกลับมาลงเฝ้าเสาได้เขาก็ช่วยให้ทีมในฤดูกาล 2019-20 มีฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ พร้อมกับการทำแอสซิสต์แรกของตัวเองให้กับ “โมฮาเหม็ด ซาลาห์” ลากเข้าไปยิงประตูปิดกล่องได้ในเกมแดงเดือด พร้อมกับวิ่งจากหน้าปากประตูตัวเองมากอดแสดงความดีใจกับซาลาห์ และเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ทีมเก็บได้ถึง 99 คะแนน จนสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกไปครองได้สำเร็จ รวมไปถึงแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ และแชมป์สโมสรโลก ทำให้แฟน ๆ ยิ่งรักอลิสซงมากขึ้นไปอีก เพราะว่านี่เป็นแชมป์ที่ทีมรอคอยมาอย่างยาวนาน
หากลองมองจากมุมแฟนบอล การที่อยู่ดี ๆ มีผู้เล่นคนหนึ่งเข้ามาเติมเต็มจุดอ่อนของทีมได้อย่างไร้รอยต่อ และยังช่วยให้ทีมรักประสบความสำเร็จ ก็คงไม่แปลกใจที่เขาจะกลายเป็นที่รักของแฟนหงส์แดงมากขนาดนี้
แต่การเป็นขวัญใจเหล่า เดอะ ค็อป ของอลิสซงแบบเต็มตัวเกิดขึ้นในฤดูกาล 2020-21 ซึ่งเป็นปีที่ทีมฟอร์มตกหลังจากคว้าแชมป์ ประกอบกับการขาดหายไปของผู้นำในแนวรับอย่าง “เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ก” ที่ได้รับบาดเจ็บหนักในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้ จนต้องพักยาวตลอดทั้งฤดูกาล รวมไปถึงฟอร์มของตัวอลิสซงเองที่ตกลงไป เนื่องจากคุณพ่อของเขาได้เสียชีวิตอย่างกะทันหัน ส่งผลให้ลิเวอร์พูลมีความสุ่มเสี่ยงที่จะหลุดท็อปโฟร์จากฟอร์มการเล่นที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตลอดทั้งฤดูกาล
แต่แล้วคำว่า “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” ก็ไม่ได้เป็นแค่วลี เพราะตัวอลิสซงสามารถทำให้เกิดขึ้นจริงในเกมที่ทีมต้องบุกไปเยือนถิ่น “เวสต์บรอมวิช อัลเบียน” และจำเป็นต้องชนะสถานเดียวเพื่อต่อลมหายใจในการลุ้นท็อปโฟร์ ซึ่งในเกมนั้นลิเวอร์พูลต้องพบกับความยากลำบากเป็นอย่างมากในการทำประตู เพราะไม่ว่าจะทำเกมบุกในรูปแบบใดก็ไม่สามารถทำประตูแซงขึ้นนำเวสต์บรอมวิชได้สักที จนเมื่อใกล้หมดเวลาการแข่งขัน ลิเวอร์พูลได้ลูกเตะมุม และอลิสซงก็วิ่งขึ้นมาลุ้นทำประตูด้วย จนนักพากย์ของช่อง LFC TV ได้พูดขึ้นมาว่า “ฮีโร่ที่เราต้องการคือชายชุดแดง หรือครั้งนี้มันอาจเป็นชายชุดดำ” ซึ่งเป็นสีเสื้อที่อลิสซงใส่ลงสนามในวันนั้น และเขาก็ทำได้สำเร็จจริง ๆ จากการโหม่งทำประตูชัยในนาทีสุดท้าย พร้อมกับบรรยากาศที่เพื่อนร่วมทีมวิ่งเข้ามารุมกอดแสดงความดีใจกับเขา ทำให้มันกลายเป็นภาพที่แฟนหงส์แดงทุกคนยังคงติดตราตึงใจมาจนถึงทุกวันนี้
หลังจบเกม ตัวเขาได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “บางครั้งเวลาฝึกซ้อมผมก็ฝึกโหม่ง ทำให้ผมมีเซนส์ในการโหม่งบอล ผมโชคดีและมีความสุขมากกับชัยชนะ และหวังว่าพ่อของผมจะเฝ้าดูและเฉลิมฉลองอยู่ที่ไหนสักแห่ง ผมมีความสุขจริง ๆ ขอบคุณเพื่อนร่วมทีมทุกคนที่ร่วมต่อสู้กันมา”
เขาได้กลายเป็นขวัญใจของเหล่า เดอะ ค็อป อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมกับพาทีมผ่านเข้าไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลถัดไปได้สำเร็จ
หลังจากนั้นในฤดูกาลถัดมาจนถึงปัจจุบัน เขาก็ยังคงรักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการมีสถิติแอสซิสต์ฤดูกาลละลูกจากการวางบอลที่แม่นยำของเขาให้กับซาลาห์คนเดิม ในเกมที่พบกับ นอริช ซิตี้ ในฤดูกาล 2021-22 และล่าสุดในเกมที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาล 2022-23 ที่ทำให้ทัพเรือใบสีฟ้าพ่ายแพ้เป็นนัดแรกของฤดูกาล พร้อมกับช่วยให้ทีมคว้าแชมป์คาราบาว คัพ และเอฟเอ คัพ ได้สำเร็จในปี 2022 และหลังจบฤดูกาล 2022-23 เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปีของสโมสรอีกด้วย
Shot-stopper ผู้ไร้ซึ่งความกลัว
หากจะถามถึงสไตล์การเล่นของอลิสซง คำว่า “Shot-stopper”คงเป็นคำนิยามที่ตรงกับจุดเด่นของเขามากที่สุด โดยเห็นได้ชัดจากการที่ไม่ว่าลูกฟุตบอลจะถูกยิงมาในลักษณะใด เขาจะมีปฏิกิริยาและมีทักษะการเซฟที่ยอดเยี่ยมเสมอ โดยเฉพาะสถานการณ์ที่ต้องดวลหนึ่งต่อหนึ่ง
ฉายา “พ่อหมี” ที่เขาได้รับจากแฟน ๆ หงส์แดงในไทยนั้นไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่มาจากการที่เขาใช้โครงร่างของตัวเองที่มีขนาดใหญ่และหนาในการบีบพื้นที่ให้คู่แข่งเอาชนะเขาให้ยากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ รวมถึงการบีบคู่แข่งให้เข้าไปเล่นในพื้นที่แคบ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเซฟของตัวเอง อีกทั้งประสิทธิภาพในสถานการณ์แบบดวลตัวต่อตัวของเขาก็ยังติดอันดับต้น ๆ ของโลก โดยเมื่อคู่แข่งเลี้ยงบอลมาในระยะที่เขาต้องการ เขาก็จะทำตัวให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อทำให้คู่แข่งเกิดความกดดันจนยิงพลาดไปเอง อีกทั้งเขายังมีทักษะในการเซฟลูกยิงไกลที่ยอดเยี่ยมด้วยการยืนตำแหน่งและช่วงแขนขาที่ยาว ประกอบกับปฏิกิริยาที่ยอดเยี่ยม ทำให้เขาเสียประตูจากนอกกรอบน้อยมากตลอดอาชีพการค้าแข้ง
จากทักษะและสไตล์การเล่นที่กล้าได้กล้าเสียของเขา ทำให้โค้ชผู้รักษาประตูของลิเวอร์พูลอย่าง “จอห์น อัคเทอร์เบิร์ก” ได้ออกมาพูดถึงอลิสซงผ่านเว็บไซต์ของสโมสร ว่า “ความเชื่อมั่นและความกล้าของเขาเป็นคุณลักษณะพิเศษที่ทำให้เขาแตกต่างจากผู้รักษาประตูทั่วไป” และจอห์นยังได้พูดต่ออีกว่า “เขาเป็นผู้รักษาประตูที่ไม่มีความกลัวเลย ถ้าเขาจะทำอะไรเขาจะไม่ลังเลและยึดมั่นกับการตัดสินใจของเขา นั่นแหละคือการเซฟประตูแบบเป็นธรรมชาติ” นี่จึงกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่มาจากตัวเขา จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ผู้รักษาประตูที่ไร้ซึ่งความกลัว”
ต้นแบบของผู้รักษาประตูยุคโมเดิร์น
นอกจากการเซฟประตูที่เป็นทักษะติดตัวมาตั้งแต่เด็กแล้ว พรสวรรค์ในการเล่นบอลด้วยเท้าของอลิสซงก็เป็นอีกหนึ่งทักษะที่โดดเด่นไม่แพ้กัน และวิธีการเล่นแบบนี้ก็ตอบโจทย์ฟุตบอลสมัยใหม่ หรือที่เรียกกันว่า “โมเดิร์นฟุตบอล”
เมื่อพูดถึงผู้รักษาประตูในสมัยก่อน ภาพที่เราจะนึกถึงก็คงเป็นผู้เล่นที่ใส่เสื้อไม่เหมือนเพื่อนร่วมทีมและมีหน้าที่เซฟเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้บทบาทของผู้รักษาประตูเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมาก เพราะการที่เป็นตำแหน่งเดียวที่มองเห็นผู้เล่นทั้งสนามทำให้ผู้รักษาประตูสามารถกำหนดทิศทางการเล่นของทีมได้ ไม่ว่าจะเป็นการครองบอล การจ่ายบอล และการวางบอลยาวที่แม่นยำ ทำให้ผู้รักษาประตูที่มีความสามารถในการใช้เท้าเล่นกับบอลมีส่วนสำคัญต่อทีมเป็นอย่างมาก ซึ่งมันถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการทำเกมของทีม
ตัวอลิสซงเองที่มีพรสวรรค์เรื่องการเล่นบอลด้วยเท้าอยู่แล้วจึงตอบโจทย์โมเดิร์นฟุตบอลอย่างลงตัว ทำให้เขามีส่วนช่วยในการขึ้นเกมของทีมอย่างมาก ถ้าทีมเป็นฝ่ายได้ครองบอล เขาก็จะเคลื่อนที่ด้วยการจ่ายบอลออกไปในหลายทิศทาง ไม่ว่าจะจ่ายให้คู่เซ็นเตอร์แบ็ก ฟูลแบ็กทั้งสองข้าง หรือมิดฟิลด์ทั้งกลางสนามและริมเส้น และเมื่อเขาจ่ายบอลออกไปแล้วเขาก็จะเคลื่อนที่ไปมาอยู่ตลอดเพื่อเป็นตัวเลือกให้เพื่อนร่วมทีมของเขาสามารถจ่ายบอลให้เขาได้
อีกทั้งการครองบอลที่ดีจากทักษะการเล่นบอลด้วยเท้ายังทำให้ทีมสร้างความได้เปรียบคู่แข่งในเรื่องตัวผู้เล่นอีกด้วย เพราะมันทำให้ดูเหมือนกับทีมมีผู้เล่นเพิ่มมาอีก 1 คน เป็น 11 ต่อ 10 รวมไปถึงเขายังเป็นผู้รักษาประตูที่สามารถจ่ายบอลได้ทุกระยะ ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น กลาง หรือยาว เห็นได้จากจำนวนการแอสซิสต์ของเขาในระยะหลังที่เกิดจากความสามารถในการจ่ายบอลที่ช่วยให้ทีมสามารถทำประตูได้ในช่วงเวลาสำคัญอยู่บ่อยครั้ง จนกลายเป็นสถิติว่าตลอดทุกฤดูกาลเขาที่ค้าแข้งให้กับทีมหงส์แดง เขาจ่ายบอลสำเร็จเฉลี่ยถึง 83.6% ซึ่งถือว่าสูงมากในตำแหน่งผู้รักษาประตู
หรือจะเป็นช่วงเวลาที่ทีมไม่ได้เป็นฝ่ายครองบอล อลิสซงก็ไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่รอเซฟอยู่ที่หน้าปากประตูเพียงอย่างเดียว แต่เขาจะมีสมาธิกับการอ่านเกมอยู่ตลอดทำให้สามารถออกมาตัดบอลได้อยู่บ่อยครั้ง หรือเป็นวิธีเล่นแบบที่เราเรียกกันว่า “Sweeper keeper” และมีครั้งหนึ่งที่เขาออกมาตัดบอลได้อย่างยอดเยี่ยมจนเป็นภาพที่แฟน ๆ น่าจะยังจำกันได้ โดยเขาออกมาใช้หัวโหม่งสกัดบอลในเกมที่พบกับ บอร์นมัธ ในปี 2018 ซึ่งการที่เขาสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ นอกจากทักษะการเล่นที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญมันคือความมั่นใจที่สูงและมีการตัดสินใจที่เด็ดขาด อย่างที่ จอห์น อัคเทอร์เบิร์ก เคยพูดถึงเขา
ส่งผลให้เขาสามารถช่วยให้ลิเวอร์พูลสามารถรอดพ้นจากการเสียประตูอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่บางครั้งยังไงลูกนั้นก็ต้องเข้า แต่อลิสซงก็ยังแหกกฎด้วยการปฏิเสธมันเอาไว้ได้ และไม่ใช่แค่นั้น เขายังคงสร้างสรรค์โอกาสให้กับทีมได้อยู่บ่อยครั้งจากทักษะในการเล่นบอลด้วยเท้าที่ดีของเขาที่ช่วยให้ทีมได้ประโยชน์ในช่วงเวลาสำคัญอยู่เสมอจนคว้าชัยชนะมาครองได้
เราก็ต้องมาติดตามกันต่อว่า การเดินทางของอลิสซงต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ? แต่ที่แน่ ๆ คือตอนนี้เขาเป็นคนที่ทีมขาดไม่ได้ และเป็นที่รักขวัญใจของเหล่า เดอะ ค็อป ทุกคนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ที่มา
https://liverpooloffside.sbnation.com/2018/10/30/18041178/alisson-becker-liverpool-on-his-goal-keeping-family-pedigree
https://www.calciomercato.com/en/news/dida-alisson-can-become-the-best-in-the-world-42864
https://lifebogger.com/alisson-becker-childhood-story-plus-untold-biography-facts/
https://sportytell.com/biography/alisson-becker-biography-facts-childhood-career-net-worth-life/
https://www.fotmob.com/players/319784/alisson-becker
https://www.whoscored.com/Players/114147/Show/Alisson
https://www.liverpoolecho.co.uk/sport/football/football-news/liverpool-alisson-becker-goal-interview-20610362 (บทสัมภาษณ์หลังจบเกมกับเวสต์บรอม)
https://www.coachesvoice.com/cv/alisson-becker-liverpool-jurgen-klopp/
https://www.goal.com/en/lists/13-fun-facts-about-alisson-becker/blt6443403e1c881735#csc6b26ec8c8b0a553
https://www.independent.co.uk/sport/football/premier-league/liverpool-alisson-goalkeeping-coach-john-achterberg-premier-league-latest-a9427746.html
https://www.infogol.net/en/player/alisson/9155
https://www.coachesvoice.com/cv/modern-goalkeeper-football-tactics-explained-alisson-ederson-ter-stegen/