Feature

เมื่อเรือใบแล่นฉิว : เจาะเบื้องหลังปลดคำสาปแชมป์แชมเปี้ยนส์ ลีก ของแมนฯ ซิตี้ | Main Stand

ทันทีที่เสียงนกหวีดยาวจาก ซิม่อน มาร์ชิเนียค ใน อตาเติร์ก โอลิมปิก สเตเดี้ยม เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน 2023 สิ้นสุดลง เราได้เห็นหน้าตาของทีมแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ทีมใหม่กันเป็นที่เรียบร้อย นั่นคือ "แมนเชสเตอร์ ซิตี้"

 


ภายใต้การทำทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า นี่ถือเป็นความสำเร็จระดับพระกาฬอย่างแท้จริง เพราะ "เรือใบสีฟ้า" กลายเป็นสโมสรล่าสุดบนหน้าประวัติศาสตร์ลูกหนังยุโรป ที่ผงาด "เทรเบิ้ลแชมป์" ในฤดูกาลเดียว 

และที่สำคัญ การได้แชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกคราวนี้ เสมือนเป็นการปลดล็อคคำสาปของทีมอย่างแท้จริง เพราะนับแต่รอบทศวรรษก่อนหน้า ที่ ซิตี้ เริ่มเป็นทีมขาประจำของรายการ พวกเขาจะจอดป้ายก่อนกำหนด หรือต่อให้เข้าชิงชนะเลิศได้ ก็อยู่ในสถานะแค่ "พระรอง" เท่านั้น

Main Stand ชวนแฟนฟุตบอลทุกท่านมาติดตามเบื้องหลังของการปลดล็อคคำสาปโทรฟี่บิ๊กเอียร์ของแมนฯ ซิตี้ จากที่รอคอยมานาน สู่ความสำเร็จอย่างเป็นทางการในฤดูกาล 2022-23

 

ถ้วยบิ๊กเอียร์ เป้าหมายใหญ่ที่ไม่เคยเปลี่ยน

นับแต่ที่ ชีค มันซูร์ บิน ซาเยด อัล นาห์ยาน สมาชิกราชวงศ์จากอาบูดาบี แห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้ามาซื้อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2008 เวลาต่อจากนั้น เรือใบสีฟ้า ก็ได้เกิดการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ หรือถ้าจะบอกว่าภูมิทัศน์ของฟุตบอลอังกฤษเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วยก็ย่อมได้ 

เพราะการทุ่มเงินลงทุนมหาศาล ดึงนักเตะฝีเท้าดีและกุนซือระดับแถวหน้าของโลกมาร่วมทีมชนิดที่มีให้เห็นในทุก ๆ ฤดูกาล แปรเปลี่ยนให้แมนฯ ซิตี้ กลายเป็นสโมสรแถวหน้าของยุโรปได้ในระยะเวลาไม่กี่ปี

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในยุคสมัยใหม่ กวาดความสำเร็จเป็นว่าเล่น ไล่มาตั้งแต่แชมป์เอฟเอ คัพ 2010-11 ซึ่งเป็นการยุติการรอคอยถ้วยรางวัลที่ยาวนานถึง 35 ปี ต่อด้วยฤดูกาล 2018-19 และในฤดูกาลล่าสุด 2022-23 

ตามมาด้วยความสำเร็จผ่านแชมป์พรีเมียร์ลีก 2011-12 ยุติการรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดไว้ที่ 44 ปี ตามมาด้วยการชูโทรฟี่รายการนี้ในเวลาต่อจากนั้นอีก 6 สมัย เช่นเดียวกับการเป็นเจ้าบอลถ้วยลีก คัพ ที่ในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้ พวกเขาเป็นแชมป์ถึง 6 สมัย

ความสำเร็จในประเทศนั้นแทบจะเป็นมาตรฐานให้สโมสรเดินหน้าต่อไปในทุก ๆ ปี และยากจะปฏิเสธว่าพวกเขาอาจจะอยู่ในเส้นทางนี้ไปอีกนานแสนนาน

หากพูดถึงแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นี่ถือเป็นโทรฟี่เป้าหมายหลักของสโมสรไม่แพ้การผงาดเป็นทีมเบอร์ต้น ๆ ของวงการลูกหนังประเทศ เป็นปณิธานของเจ้าของสโมสรที่ตั้งเป้าเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาเทคโอเวอร์แบบ 100%

"ถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก เป็นแผนแม่บท (ของแมนฯ ซิตี้) มาโดยตลอด นับตั้งแต่การซื้อสโมสร" แดเนี่ยล เทย์เลอร์ นักเขียนจาก The Athletic เผย

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากาลเวลาของซิตี้ยุคเศรษฐีจากอาบูดาบีจะเดินไปเท่าไร สโมสรยังไม่เคยก้าวไปถึงความสำเร็จกับคำว่า "แชมป์สโมสรยุโรป" ได้เสียที

และในระหว่างที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กวาดแชมป์ในประเทศอังกฤษชนิดที่มีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ซิตี้ ก็คอยปรับเสริมเติมแต่งทีมอยู่ตลอดเวลาไปด้วย เพราะธงในใจของทุก ๆ คน รวมถึงแฟนบอล ย่อมมีความคิดฝังอยู่เสมอว่าวันใดวันหนึ่ง ทีมจะก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์เจ้าสโมสรยุโรป 

จนกระทั่งมาได้กุนซือระดับท็อปของโลกที่ชื่อ "เป๊ป กวาร์ดิโอล่า" เข้ามาทำทีมแบบเต็มตัว ในฤดูกาล 2016-17

กุนซือเลือดกระทิง มีประสบการณ์เคยคุมบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก มาแล้ว แถมนักเตะซิตี้ในแต่ละรอบปียุคเป๊ปต่างก็อุดมไปด้วยฝีเท้าอันเหลือล้น อย่างไรเสีย เขากลับไม่อาจพาแมนฯ ซิตี้ เป็นแชมป์รายการดังกล่าวได้ทันที เหมือนสมัยที่คุมบาร์ซ่า 

สถานการณ์ของสโมสรยังคงวนในลูปเดิม คือไปไม่ถึงฝันใหญ่ในถ้วยบิ๊กเอียร์

อาจกล่าวได้ว่าในทุก ๆ ฤดูกาลที่เขาพาเรือใบลำนี้แล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เสมือนมีดาบสองคมติดอยู่ในใจ คือมีขนาดทีมที่พร้อมเป็นแชมป์ ทว่าก็มีความกดดันในตัวอยู่เสมอ ไล่ตั้งแต่ 2016-17 ซิตี้ ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือของ อาแอส โมนาโก ส่วนสามฤดูกาลต่อมาก็จอดที่ ท่า (รอบ) 8 ทีมสุดท้ายทั้งสิ้น 

ฤดูกาล 2020-21 เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พาทีมเข้าใกล้กับโอกาสการเป็นแชมป์มากที่สุด แต่แล้วค่ำคืนนัดชิงชนะเลิศที่ปอร์โต้ก็จบด้วยเรื่องเศร้า เมื่อไค ฮาแวร์ตซ์ ทำประตูชัยให้เชลซีชนะ 1-0 ขณะที่ฤดูกาลต่อมา (2021-22) ซิตี้ ลิ่วเข้ารอบรองชนะเลิศได้ ก่อนโดน เรอัล มาดริด กดชนะสกอร์รวม 6-5
 
เมื่อเป็นแบบนี้เรื่อยมา นานวันเข้ามันเริ่มเป็นแรงกดดันที่อยู่ติดกับทีมมาตลอด และเคยมีเสียงวิจารณ์ด้วยซ้ำไปว่าเป๊ป "ทำทีมล้มเหลว" 

"เราอยากคว้าแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผู้จัดการทีมคนอื่นและนักเตะคนอื่น ผู้คนพูดว่า ถ้านักเตะชุดนี้ หรือกวาร์ดิโอล่า ไม่ได้แชมป์ (ยุโรป) พวกเขาถือว่าล้มเหลว ผมไม่เห็นด้วยเลย เรารู้ว่าทุกอย่างมันยากแค่ไหน" กุนซือวัยเลข 5 ให้สัมภาษณ์หลังคุมซิตี้แพ้ เรอัล มาดริด เมื่อฤดูกาล 2021-22

แต่ในทางกลับกัน เมื่อเป๊ปและแมนฯ ซิตี้ มีบทเรียนและประสบการณ์จากอดีตที่สั่งสมเรื่อยมา กอปรกับการพัฒนารูปแบบตลอดจนวิธีการเล่นที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้เห็นอยู่เสมอ ท้ายสุดผลลัพธ์แห่งความสำเร็จก็เกิดขึ้นจริง ๆ ในฤดูกาลแห่งความทรงจำ 2022-23 

 

รูปแบบและวิธีการที่ยืดหยุ่นของเป๊ป

"เขามีส่วนสำคัญอย่างมากต่อความสำเร็จและโครงสร้างขององค์กรนี้ ภายใต้การนำทีมของเขา ทีมชุดใหญ่ของเราประสบความสำเร็จมากมาย ในขณะที่เราลงเล่นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สไตล์ฟุตบอลของซิตี้เป็นที่ชื่นชมจากทั่วโลก เช่นเดียวกับแฟนบอลซิตี้ทุกคน" คัลดูน อัล มูบารัค ประธานสโมสรแมนฯ ซิตี้ กล่าวชื่นชมปรัชญาการทำทีมของเป๊ป ในวันที่ขยายสัญญากุนซือรายนี้ออกไปจนถึงปี 2025

ความ "อัจฉริยะ" ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ได้รับการพูดถึงเป็นเวลานานแล้ว โดยเฉพาะเรื่องของการสรรหา ทดลอง จนเกิดรูปแบบและวิธีการเล่นใหม่  ๆ ที่ใครหลายคนคาดไม่ถึง 

และตัวอย่างที่ออกมาเป็นรูปธรรม ทฤษฎีถูกเปลี่ยนผ่านมาสู่การปฏิบัติที่ลงตัว ต้องยกให้ฤดูกาล 2022-23 ซึ่งไม่ใช่แค่เป็นแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกที่รอคอยมานานเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดผลลัพธ์ผ่านโทรฟี่พรีเมียร์ลีกและเอฟเอ คัพ กลายเป็น "เทรเบิ้ลแชมป์" อย่างสมบูรณ์แบบ

ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างมากมายที่ซิตี้ทำให้เห็นแบบลงตัว เช่น การดร็อปสองฟูลแบ็กตัวหลักกลางฤดูกาล เลือกปล่อย ชูเอา คันเซโล่ ที่เป็นแกนหลักของทีมในช่วงเวลาก่อนหน้า ไปให้ บาเยิร์น มิวนิค ดันเอา นาธาน อาเก้ เป็นแบ็คซ้ายแทน กล้าปรับแบ็คขวาทีมชาติอังกฤษอย่าง ไคล์ วอล์คเกอร์ มาเป็นปราการหลังตัวกลาง 

แล้วเลือกเปลี่ยนแผนในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด มาเล่นแผน 3-2-4-1 ที่มี จอห์น สโตนส์ เล่นในลักษณะของ "ฟูลแบ็กตัวใน" ที่เข้ามาเล่นเป็นมิดฟิลด์ (Inverted Fullback) เพื่อชิงความได้เปรียบพื้นที่บริเวณแกนกลางสนามด้วยจำนวนผู้เล่นที่มากกว่า กลายเป็นทีเด็ดหักด่านทั้ง บาเยิร์น มิวนิค และ เรอัล มาดริด ในรอบ 8 และ 4 ทีมสุดท้าย ตามลำดับ

แผนการเล่นดังกล่าว "สมดุล" สุด ๆ อาศัยประโยชน์จากทุกตำแหน่งในสนาม กองหลังมีความยืดหยุ่น มีกองกลางและเหล่าตัวรุกที่มากไปด้วยทักษะ กลายเป็นจุดเด่นทั้งกับเกมรุกและเกมรับ 

กล่าวคือเกมบุกมีมิติ มีวิธีเข้าทำหลากหลาย  พอสบโอกาสได้พื้นที่เล่นถนัด ก็ใช้ประโยชน์จากส่วนนี้จัดการคู่แข่งอยู่หมัด แถมยังมีกลยุทธ์ทั้งจ่ายเท้าสู่เท้าที่แม่นยำ บอลครอสไว้ใจได้ มีทีเด็ดจากลูกยิงไกล เรียกได้ว่าพร้อมนวดคู่ต่อสู้จนหมดโอกาสสวนกลับ ฯลฯ 

ความสมดุลนี้ยังส่งผลมายังการเล่นเกมรับด้วยเช่นกัน อย่างการใช้แผน 3-2-4-1 ในเวลาบุก ขณะที่เวลาเล่นเกมรับ นักเตะจะถอยมายืนแบบ 4-2-3-1 ได้แบบทันควัน จากแผงรับเดิม 3 คน ก็จะมี จอห์น สโตนส์ ซึ่งเป็นกองหลังธรรมชาติลงมาช่วยกลายเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟยืนคุมแท้ ๆ ถึง 4 คน 

ขณะที่ อิลคาย กุนโดกัน ก็จะขยับลงมาช่วยสกรีนกับ โรดรี้ แทน หรือแม้แต่การให้ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ถอยมายืนต่ำลง เพื่อช่วยสอดรับกับเพื่อน ๆ ดังแทคติกที่ชื่อ "Haaland Drop" ก็มีมาแล้ว

หลายเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แทบจะมองเป็นความเห็นเดียวกันว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มีแนวคิดเรื่องรูปแบบและวิธีการเล่นใหม่ ๆ มาปรับใช้กับทุก ๆ ทีมที่เขาได้คุมทัพ ส่งผลให้แนวคิดที่ถูกทดลอง ถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ นี้ ได้ผลลัพธ์ผ่านความสำเร็จที่เรียกว่า "แชมป์" มานักต่อนัก

เช่นเดียวกับ แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2022-23 ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

 

ทดแทนกัน เล่นได้เข้าขารู้ใจ

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมเงินถุงเงินถังที่พร้อมทุ่มซื้อนักเตะมาสู่ทีมเพื่อความสำเร็จ ยอดทีมจากแมนเชสเตอร์ทีมนี้ เป็นหนึ่งในหลาย ๆ สโมสรที่มีมหาเศรษฐีเป็นเจ้าของ ที่เลือกใช้โมเดลนี้มาแข่งขันกันแบบนักต่อนัก

แต่สิ่งหนึ่งที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้เห็นถึงความแตกต่าง คือ "ฉลาดซื้อ ฉลาดใช้" จุดไหนที่ทีมขาด หรืออยากเติมเต็มให้แน่นกว่าเดิม ก็จะเจาะจงไปที่จุดย่อยตรงนั้นทันที 

ยกตัวอย่างฤดูกาลแห่งความฝัน 2022-23 สโมสรยกทุ่มเงินกว่า 51.2 ล้านปอนด์ ล่า เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ มายกระดับเกมรุก แล้วปล่อย กาเบรียล เชซุส ไปให้อาร์เซนอล ด้าน ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่เป็นตัวหลักของทีมมานาน ก็ถูกขายออกไปให้ เชลซี โดยเป๊ปผลักดันและให้โอกาสกับ แจ็ค กรีลิช ที่อยู่กับทีมมาแล้วหนึ่งซีซั่นขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญแทน ขณะที่แผงรับก็คว้า มานูเอล อคานยี่ เข้ามาเต็มเต็ม และอย่างที่ทุกคนได้เห็นกันแล้ว 

ก่อนที่แฟนฟุตบอลจะได้เห็นแล้วว่าทั้งสามคนที่ว่ามานี้ ล้วนแต่มีช่วงเวลาที่ดีที่สุดบนเส้นทางอาชีพ ฮาลันด์ยิงสลุดกวาดทั้งดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมและดาวรุ่งยอดเยี่ยมของลีก แถมเป็นตัวเต็งลุ้นบัลลงดอร์ ในส่วนของกรีลิชก็พกสถิติสุดแกร่งทำ 5 ประตูกับอีก 11 แอสซิสต์ให้ทีม ด้านอคานยี่ สถาปนาตัวเองเป็นหนึ่งในสนามเกมรับตัวหลักทีมไปแล้ว

ยามใดที่คนใดคนหนึ่งเกิดบาดเจ็บ หรือเจอคู่แข่งที่อาจต้องปรับแผนการเล่นเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่น่าเชื่อว่านักเตะเรือใบสีฟ้าชุดปัจจุบันกลับมาส่วนผสมที่ลงตัวไปหมด มันกลายเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์รูปแบบและวิธีการที่ยืดหยุ่นของเป๊ปอย่างแท้จริง

ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 2023 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ได้ดูเล่นได้เหนือกว่าอินเตอร์ มิลาน ชนิดผูกขาดทั้งรูปเกมและโอกาสจบสกอร์ ตามการคาดการของใครหลาย ๆ คนในช่วงก่อนคิกออฟ มีจังหวะเกร็ง ๆ หลุด ๆ ให้เห็น อย่างการออกบอลพลาดของเอแดร์ซอน นายด่านมือหนึ่ง 

เผลอ ๆ ทีม "เนรัซซูรี่" ทำได้ดีกว่าในหลาย ๆ โอกาสด้วยซ้ำ เพียงแต่จบสกอร์ไม่เด็ดขาด แต่สิ่งที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำให้เห็นว่าพวกเขาเป็นทีมที่ดีกว่า นั่นคือการทดแทน คอยสอดรับกันของขุมกำลังที่ทำได้อย่างลงตัว และความเด็ดขาดเรื่องการจบสกอร์

ในยามที่ เควิน เดอ บรอยน์ เจ็บกล้ามเนื้อจนเล่นไม่ไหว โดนเปลี่ยนออกตั้งแต่พักครึ่ง ฟิล โฟเด้น คนที่เข้ามาแทนที่ ต่อให้ความคิดสร้างสรรค์ในการจ่ายบอลไม่ได้ดีเท่ามิดฟิลด์เบลเยี่ยม แต่สิ่งที่มาทดแทนคือความเร็ว การทะลุทะลวง และเกือบจะทำประตูที่สองให้ซิตี้ได้ด้วย ทว่าดันยิงไปติด อังเดร โอนาน่า นายด่านทีมงูใหญ่ เสียก่อน

ส่วนประตูชัยตัดสินเกมที่มาจากลูกยิงไกลสุดเด็ดขาดของ โรดรี้ ส่วนหนึ่งต้องให้เครดิตจากรูปแบบและวิธีการที่รู้ใจของนักเตะ ซึ่งฝึกซ้อมและเรียนรู้ร่วมกันมาพักใหญ่แล้ว

มานูเอล อคานยี่ เติมขึ้นแดนบนโดยมีเพื่อนร่วมทีมคนอื่นถอยไปสอดซ้อนในตำแหน่งของเขา  ขณะที่ ฟิล โฟเด้น และ แบร์นาร์โด้ ซิลวา ช่วยกันฉีกแนวรับงูใหญ่ตามพื้นที่ที่ยืนในเวลานั้น 

ก่อนถึงช็อตซัดเน้น ๆ นอกกรอบเขตโทษ ซึ่ง โรดรี้ ที่ภายหลังคว้าผู้เล่นยอดเยี่ยมในนัดชิงชนะเลิศ ทำให้เห็นอยู่บ่อย ๆ อย่างการซัดในลักษณะนี้ในเกมรอบก่อนรองชนะเลิศ กับ บาเยิร์น มิวนิค 

 

โทรฟี่ที่มีความหมาย

ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยุโรป มีทีมผงาดแชมป์ลีก แชมป์บอลถ้วย และแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ หรือแชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลเดียวกันมาแล้ว 7 ทีม คือ กลาสโกว์ เซลติก ปี 1967, อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ปี 1972, พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ปี 1988, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปี 1999, บาร์เซโลน่า ปี 2009 และ 2015, อินเตอร์ มิลาน ปี 2010, รวมถึง บาเยิร์น มิวนิค ปี 2013 และ 2020

ล่าสุด แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปี 2023 เข้าทำเนียบเป็นทีมที่ 8 ที่ทำได้ และยังเป็นการคว้าแชมป์เจ้าสโมสรยุโรปครั้งแรก นับแต่ก่อตั้งสโมสรในปี 1880 

และที่สำคัญ แมนฯ ซิตี้ ทำผลงานเทียบขั้นอริร่วมเมืองแมนเชสเตอร์ อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เคยจารึกผลงานหรูนี้ไว้ในปี 1999 โดยในเวลานั้น เรือใบสีฟ้ายังเป็นทีมสถานะทีมจากดิวิชั่นสอง (ลีกวัน ในปัจจุบัน) ที่เป็นแค่แชมป์เพลย์ออฟเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่นหนึ่ง (หรือ ลีก แชมเปี้ยนชิพ ในปัจจุบัน) อยู่เลย

ดังนั้น การที่แมนฯ ซิตี้ ค่อย ๆ ขยับสถานะตัวเอง จากทีมที่แทบไม่มีใครให้น้ำหนักเท่าคู่ปรับสีแดงร่วมเมือง อยู่ในสถานะแค่ทีมเกรดรองของอังกฤษ กระทั่งการเข้ามาของกลุ่มทุนจากยูเออี จนกลายเป็นทีมแกร่งลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกในทุก ๆ ซีซั่น 

ก่อนจะปลดล็อคความสำเร็จชิ้นใหญ่อย่างแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ทีมรอคอยมาอย่างยาวนาน 

"มันถูกกำหนดมาแล้วว่าแชมป์นี้เป็นของเรา" สารบางส่วน ที่เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ให้สัมภาษณ์หลังเกมนำลูกทีมเชือดอินเตอร์ มิลาน 1-0 "บอกเลยว่ารายการนี้มันยากมากที่คุณจะทำทีมได้ เทรเบิ้ล แชมป์"

บัดนี้ พลพรรคเรือใบกลายเป็นเรือที่แล่นฉิวในทุก ๆ สมรภูมิ พร้อมกับปลี่ยนทั้งเมืองแมนเชสเตอร์ เกาะอังกฤษ ตลอดจนผืนแผ่นดินทวีปยุโรป ให้กลายเป็น "สีฟ้า" ไปแล้วเรียบร้อย

 

แหล่งอ้างอิง

https://theathletic.com/4599552/2023/06/10/manchester-city-inter-milan-champions-league-final-talking-points/ 
https://www.telegraph.co.uk/football/2023/06/10/man-city-inter-milan-player-ratings-champions-league-final/ 
https://en.wikipedia.org/wiki/2022%E2%80%9323_Manchester_City_F.C._season 
https://www.goal.com/th/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%
https://th.mancity.com/news/mens/pep-guardiola-new-manchester-city-contract-63804794 

Author

พชรพล เกตุจินากูล

แฟนคลับเชลซี ติดตามฟุตบอลเอเชีย ไก่ทอดและกิมจิเลิฟเวอร์

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา