“เอ็ม” อนาวิน จูจีน ถือเป็นนักเตะที่ครบเครื่องของวงการฟุตบอลไทย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝีเท้าอันเลิศเลอ ประสบความสำเร็จและก้าวไปติดทีมชาติไทย มีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาระดับพระเอกมิวสิกวีดีโอ เพลง "รักฉันเท่าที่เธอจะรักได้" ของ พลพล พลกองเส็ง นักร้องดังของค่ายแกรมมี่และพรีเซ็นเตอร์สินค้ามากมาย
ล่าสุดในวัย 36 ปี เขายังโลดแล่นและสนุกกับการไล่หวดลูกหนังที่รัก พร้อมพาทีม “มังกรไฟ” ดราก้อน ปทุมวัน กาญจนบุรี หักปากกาเซียนเลื่อนชั้นไปเล่นในไทยลีก 2 หรือ เอ็ม-150 แชมเปียนส์ชิพ ฤดูกาล 2023/24
อะไรทำให้ อนาวิน กลายเป็นแมวเก้าชีวิตที่คว้าไปถึง 18 แชมป์ในเส้นทางลูกหนัง แม้ชีวิตจะดำดิ่งแค่ไหนก็สามารถกลับมาประสบความสำเร็จได้ทุกครั้ง พร้อมกลายเป็นนักเตะที่คว้าแชมป์ฟุตบอลลีกทุกระดับ แล้วอนาคตเขาจะไปในทิศทางไหน ไปติดตามกับ BallThaiStand
ค้ายา แต่ฟุตบอลฉุดให้พ้นขุมนรก
จุดเริ่มต้นของชีวิตนักเตะฟุตบอลล้วนแตกต่างกันออกไปบางคนเกิดมาเพียบพร้อม แต่บางคนชีวิตติดลบ ซึ่งชีวิตของ “เอ็ม” อนาวิน จูจีน คงคล้ายกับอันหลัง เพราะไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทอง ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แถมต้องใช้ชีวิตแบบปากกันตีนถีบ
อนาวิน เคยถล้ำลึกไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เคยค้ายา และคุณแม่ของเขาต้องถูกจับกุมด้วยคดียาเสพติดมากแล้ว แน่นอนว่าชีวิตเขาอาจก้าวไปเส้นทางสีดำหากไม่รู้จักคำว่า “ฟุตบอล” ที่เปรียบเป็นเหมือนที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้ตกไปยังเหวนรก
เขาก้าวสู่เส้นทางลูกหนังอย่างจริงจังในวัย 13 ขวบ เมื่อเข้าเรียนระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนกีฬาอ่างทอง ที่นั่นนอกจากจะเป็นสถานที่ขัดเกลาลูกหนังแล้ว ยังทำให้เขาหันหลังให้กับยานรกอย่างจริงจัง
แม้ไม่ได้หวังว่าจะประสบความสำเร็จใดๆ เพราะฟุตบอลในอดีตไม่ได้เป็นอาชีพ และเงินเดือนนักฟุตบอลไม่ได้เยอะเหมือนปัจจุบัน แต่เขาแค่ว่าอยากจะทุ่มเทและอยากทำสิ่งที่รักก็พอ
อนาวิน ย้อนถึงอดีตที่หวานขมว่า “ผมรักฟุตบอลมาก ถ้าไม่มีฟุตบอลป่านนี้ผมคงไปทางสีดำหรือสีเทาแล้ว”
“ตอนผมย้ายไปเรียนโรงเรียนกีฬาอ่างทอง มันทำให้ผมหลุดพ้นทุกอย่าง ผมเล่นฟุตบอลเพราะใจรักล้วนๆ ไม่คิดเลยว่าจะต้องเป็นนักฟุตบอลอาชีพ หรือประสบความสำเร็จ เพราะเมื่อก่อนฟุตบอลบ้านเรายังเป็นกึ่งอาชีพ แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ มันกลายเป็นอาชีพ ทำให้เรามีรายได้และประสบความสำเร็จมากมาย ไม่คิดไม่ฝันเหมือนกันว่าจะมาถึงจุดนี้”
“ชีวิตผมกับไอ้เย็น (มงคล ทศไกร) เหมือนกัน คือเป็นนักสู้ ชีวิตเราไม่มีอะไรเลย คนอื่นถ้าไม่ประสบความสำเร็จเขายังมีเบาะนุ่มๆ มีบ้านให้รองรับ แต่เราข้างหลังมีแต่หนาม ล้มมาคือตาย ทำให้พอมีกำลังเราต้องสู้ เราต้องพยายามมากกว่าคนอื่น”
เป๊ปซี่ เวิลด์ ชาลเลนจ์ สอนให้เป็นนักเตะที่ชนะใจแฟนบอล
แม้จะเป็นนักเตะที่ประสบความสำเร็จมากมาย แต่ อนาวิน ในอดีตและปัจจุบัน ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เขายังคงเป็นคนเดิมที่แฟนบอลสามารถเข้าหาได้ง่ายดาย
ปรัชญการใช้ชีวิตทั้งในและนอกสนามของเขาได้มาจากการไปแข่งขันรายการ “เป๊ปซี่ เวิลด์ ชาลเลนจ์” ร่วมกับ วิสูตร บุญเป็ง พร้อมทั้งคว้ารองแชมป์กลับมา
เขาได้ใกล้ชิดยอดนักเตะของโลกยุคนั้นไม่ว่าจะเป็น โรนัลดินโญ, เดวิด เบ็คแฮม, โรแบร์โต คาร์ลอส, เธียร์รี อองรี หรือ อเล็กซานโดร เนสตา ทุกเรื่องราวเขาเก็บไว้ในความทรงจำ โดยเฉพาะการร่วมเดาะบอลกับ โรนัลดินโญ ได้สอนบทเรียนชีวิตให้กับเขานำมาใช้จนถึงปัจจุบัน
“ตอนนั้นได้นั่งเครื่องบินถือว่าสุดยอดมากแล้วครับ ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะได้ขึ้นเครื่องบิน เมื่อก่อนมันยากมากเลยนะที่จะได้นั่งเครื่องบิน”
“ผมว่าต่อให้มีเงินไป 10 หรือ 100 ล้านก็ยากที่จะได้มีโอกาสนั่งทานข้าวกับ โรนัลดินโญ,อองรี หรือ เนสตา มันคุ้มมาก”
“แต่สิ่งที่ผมจำมาใช้ในชีวิตเลยคือตอนไปแข่งเดาะบอลกับ โรนัลดินโญ ตอนปี 2006 เขาคือนักเตะเบอร์ 1 ของโลก ตอนนั้นมีแฟนบอลเรียกชื่อเขาจากชั้น 2 เขามองตามเสียงนั้นและรู้ว่าแฟนบอลคนนั้นเรียกชื่อเขา พอแข่งเสร็จ เขาเดินไปหาแฟนบอล ปีนรั้วขึ้นไปหา ไปจับมือกับแฟนบอลคนนั้น”
“รู้ไหมภาพนั้นมันสอนผม มันฝังใจและทำให้ผมนำบทเรียนนั้นมาใช้ นั่นคือนักเตะเบอร์ 1 ของโลกนะ ทำไมเขาถึงยอมทำขนาดนั้น เขาไม่ถือตัวเลย พอผมอยู่ไทย ผมมีชื่อเสียง ผมไม่เคยเปลี่ยนตัวเองเลย แฟนบอลเข้าหาผมได้หมด ทำไมผมถึงต้องแอ็ค เพราะขนาด โรนัลดินโญ ยังไม่แอ็คและเป็นกันเองกับแฟนบอล แล้วเราเป็นใคร เป็นจุดเล็กๆ นั่นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้แฟนบอลยังรักและคิดถึงผมเสมอ”
โค้ชแต๊ก ผู้มอบชีวิตใหม่ ธีราทร บุญมาทัน ผู้จุดชนวนสู่ตำนาน
ชีวิตจะประสบความสำเร็จต้องมีคนให้โอกาส คนที่ให้โอกาส อนาวิน คือหนุ่มใหญ่ใจดีที่ชื่อ “แต๊ก” อรรถพล ปุษปาคม ผู้ล่วงลับ ทำให้เขาเล่นฟุตบอลกับสโมสรธนาคารกรุงไทย โดย “โค้ชแต๊ก” มีคู่มือการใช้งานของ อนาวิน รู้ว่าต้องใช้งานแบบไหน และตอนไหนจึงจะเค้นเอาศักยภาพที่แท้จริงออกมา นี่คือบุคลากรลูกหนังที่เขาบูชา หากไม่มี “อรรถพล” ไม่มี “อนาวิน” ในวันนี้ และทำให้เขาคว้ารางวัล 18 แชมป์ แบ่งเป็น บางกอกกล๊าส 1 แชมป์ คือ ถ้วยควีนส์คัพ
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ไป 15 แชมป์ คือแชมป์ไทยลีก 3 สมัย แชมป์เอฟเอคัพ 2 สมัย แชมป์ลีกคัพ 2 สมัย แชมป์พระราชทาน ก. 4 สมัย และ โตโยต้าพรีเมียร์ คัพ กับ แม่โขง คลับแชมเปียนส์ชิพ อีกอย่างละ 2 สมัย รวมทั้งเคยพา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไปถึงรอบ 8 ทีมฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก มาแล้วในปี 2013
นอกจากนี้ยังพา พีทีที ระยอง คว้าแชมป์ไทยลีก 2 เมื่อปี 2019 และล่าสุดพา ดราก้อน ปทุมวัน กาญจนบุรี คว้าแชมป์โซนภาคตะวันตก ฟุตบอลไทยลีก 3
“พี่แต๊กให้โอกาสผมมาเล่นที่ ธ.กรุงไทย เขาเห็นศักยภาพของผม แต่เขาไม่ค่อยให้ผมลงตัวจริงนะ เขาจะให้ผมเป็นตัวสำรอง”
“ตอนแรกเขาจะให้รุ่นพี่ไปบดก่อน พอคู่ต่อสู้อ่อนแรง โค้ชแต๊ก จะให้ผมลงไปฆ่าทันที เพราะเขารู้ว่าผมเร็ว ยิ่งนักเตะคนไหนไม่มีแรงหรือแรงน้อยเสร็จผมหมด เรียกว่า โค้ชแต๊ก มีคู่มือการใช้งานของผมก็ได้”
การเปลี่ยนแปลงคือนิรันดร์ ชีวิตที่กำลังไปได้สวยกับทีม บางกอกกล๊าส หรือ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด กลับเกิดเรื่องไม่คาดฝัน เมื่อสโมสรตัดสินใจขายนักเตะเบอร์ 1 ของทีมตอนนั้นอย่าง อนาวิน สุดท้ายกลายเป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กระชากปีกหน้าหยกไปร่วมทีมเมื่อปี 2012
คนที่อยู่เบื้องหลังดีลนี้นอกจาก “โค้ชแต๊ก” ที่กุมบังเหียน “ปราสาทสายฟ้า” อยู่ ก็คือ “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน แบ็กซ้ายสมัยนั้นที่เรียกว่าเป็นตัวตึงของทีม
“ผมกับ อุ้ม รู้จักกันนานมาก ผมจะสนิทกับ บิ๊ก (ประวีณวัช บุญยงค์) ซึ่ง อุ้ม กับ บิ๊ก เขาจะสนิทกัน ผมรู้ว่า อุ้ม หัวร้อนง่าย สมัยนั้นนะ เพราะเขายังเด็ก ส่วนผมสายปั่นอยู่แล้ว เขาเล่นแบ็คซ้าย ผมเล่นปีกขวา จะเจอกันบ่อย”
“เวลาเจอกันผมจะยั่วเขา ทำให้เขาโมโห ปั่นเขา เขาจะหงุดหงิดและเล่นไม่ค่อยออกเวลาเจอผม แต่หลังเกมเราก็คุยและสนิทกัน เวลาผ่านกันไปสนิทก็มาเรื่อยๆ”
“ตอนนั้นผมจะโดนขาย ผมเลยถาม อุ้ม ว่าทาง บุรีรัมย์ สนไหม อุ้ม เลยไปคุยกับนายเนวินให้ บอกให้ซื้อผมมาร่วมทีม เพราะรำคาญผม เจอผมแล้วเล่นไม่ค่อยออก เลยให้นายซื้อมาอยู่ด้วยกันเลย แล้วตอนนั้นพี่แต๊ก เขาคุม บุรีรัมย์ อยู่ เขาชอบผมอยู่แล้ว เลยทำให้ผมย้ายไปอยู่กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด”
ชีวิตในถิ่นเซราะกราวต้องบอกว่าสวยหรู เพราะ อนาวิน สถาปนาตัวเองเป็นหนึ่งในนักเตะตัวหลักในตำแหน่งแบ็กขวา และสามาถก้าวไปเป็นตำนานของสโมสร
จากนั้นเขาได้ย้ายไปอยู่ สุพรรณบุรี ในปี 2017 และย้ายไปร่วมทีม พีทีที ระยอง ก่อนพาทีมคว้าแชมป์ไทยลีก 2 เมื่อปี 2019 ก่อนทีมจะประกาศยุบทีมในเวลาต่อมา ทำให้เขากลายเป็นนักเตะพเนจร ไปอยู่กับ เปตาลิง จายา ในซูเปอร์ลีก มาเลเซีย, พีที ประจวบ และอุดรธานี
สำนึกรักถิ่นเก่า ก่อนสร้างตำนาน
ฟุตบอลนำพา ใช้ได้ดีกับ อนาวิน ที่ไม่คิดว่าจะได้เล่นในระดับไทยลีก 3 เพราะการมาเล่นลีกรองโอกาสที่จะได้กลับไปเล่นระดับสูงย่อมยากกว่าเดิม ยิ่งในวัยที่ใกล้แขวนสตั๊ด
ถ้าไม่เสี่ยง ชัยชนะไม่เกิด สุดท้ายเขาตัดสินใจร่วมหัวจมท้ายกับทีม “มังกรไฟ” โดยไม่คิดว่าจะพาทีมไปถึงแชมป์หรือเลื่อนชั้น แต่เขาอยากช่วยสถานที่อันคุ้นเคยในวัยเด็กเท่านั้น
“จริงๆ ผมเคยคุยกับเพื่อนเล่นๆ นะว่า ถ้าแก่แล้วหรือประสบความสำเร็จแล้วอยากกลับไปเล่นให้บ้านเกิด ตอนนั้นมีทีม เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด ก็เคยคุยกับเจ้าของทีม แต่สุดท้ายไม่ได้ย้ายมา หรือ เพื่อนที่ อ่างทอง ก็ชวนกลับไปเล่นให้”
“แต่สำหรับ ดราก้อน ปทุมวัน กาญจนบุรี เราคุยกันมาสักพักแล้ว ตอนแรกเราก็ลังเล แต่ผมผูกพันธ์ตั้งแต่เด็ก ผมไม่ได้เกิดที่นี่ แต่ย้ายมาอยู่ กาญจนบุรี จนถึง 12 ขวบ ก่อนจะย้ายไปเรียนโรงเรียนกีฬา อ่างทอง ตอนอายุ 13 ปี พี่กฤต (พลกฤต กล่ำเครือ) เจ้าของทีมบอกว่าจะเขาขึ้นไทยลีก 2 เลยย้ายมา”
แม้จะเป็นสโมสรใหม่ แต่บรรยายกาศของทีมดีกว่าที่ อนาวิน คิดไว้แต่แรก นั่นทำให้เขากลับมามีไฟลุกโชนและกระหายอยากเล่นฟุตบอลอีกครั้ง
“ที่นี่ค่อนข้างเคารพและให้เกียรติผมมาก ผมบอกว่าผมไม่ได้เร็วเหมือนเมื่อก่อน แต่เรารู้ว่าจังหวะไหนควรเล่นแบบไหน ทีมก็ปรับนะใช้ตัวที่สดวิ่งแทน ผมจะใช้ประสบการณ์ช่วยทีมจนลงตัว”
“นักเตะที่นี่ไม่ได้มีชื่อเสียง ไม่ได้ดัง แต่ทุกคนเล่นดีมาก คุณภาพมาก พร้อมเปิดรับ ผมไม่ใช่คนเก่ง แต่ผมพร้อมที่ถ่ายทอดประสบการณ์ให้พวกเขา ไม่น่าเชื่อว่าทุกคนฟังผม”
“ผมเองก็แลกเปลี่ยนเรื่องฟุตบอลกับน้องๆ พวกเราต้องทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้ว เราคุยกันเยอะมาก ทั้งนักเตะและพี่ใหญ่ (ใหญ่ นิลวงษ์ เฮดโค้ช) ทำให้ผมปรับตัวเร็วขึ้น และมีไฟอีกครั้ง”
“มันไม่ใช่รางวัลสำหรับผมคนเดียว แต่มันคือทีม คือการช่วยเหลือกันทุกเรื่องจนถึงวันที่ประสบความสำเร็จ ตอนนี้กำลังคุยเรื่องสัญญาอยู่ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดคงเล่นไทยลีก 2 กับทีมต่อไปในฤดูกาลหน้า”
“แม้จะเป็นทีมใหม่ แต่ประสบความสำเร็จเกิดคาด แน่นอนว่าเป้าหมายของทีมจะไปทีละสเต็ป ไม่เร่ง ไม่รีบ แต่อยู่ด้วยความมั่นคง”
“เป้าหมายของเราคือการอยู่รอด เราอยากอยู่รอดสัก 2-3 ปี ให้ทุกอย่างพร้อม ทั้งสโมสร สนาม จากนั้นค่อยวางเป้าหมายสำหรับขึ้นไปไทยลีก 1 เราเน้นเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก”
อนาคตกุนซือจอมไซโค
ด้วยเส้นทางลูกหนังที่ผ่านมาบทบาท ประสบการณ์ที่สั่งสม อายุที่มากขึ้นทำให้ อนาวิน วางแผนชีวิตอย่างมีขั้นตอนและวางเป้าหมายว่าจะก้าวมาทำหน้าที่กุนซือในอนาคต และสไตล์การเป็นกุนซือของเขาย่อมมีเรื่องเกี่ยวกับ “จิตวิทยา” มาใช้
“ผมมักแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกุนซือที่เคยร่วมงานกันมา ทั้ง กามา หรือ พี่โจ (ธีรศักดิ์ โพธิ์อ้น) แถมผมเองเคยร่วมงานกันโค้ชฝีมือดีมามากมาย ตอนนี้ผมผ่านการอบรมโค้ชระดับ ซี ไลเซนส์ และลงเรียน บี ไลเซนส์ แต่โควิด-19 มาก่อน ทำให้ต้องเลื่อนออกไป”
“ผมจะไปเรียนปริญญาอีกใบ เกี่ยวกับ จิตวิทยา โดยตรง ผมเป็นคนที่ชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว ผมหวังว่าจะเอาประสบการณ์และความชอบมาผสมกัน ผมรู้ว่าต้องคุยนักเตะที่ไม่ได้ลง นักเตะที่มีปัญหา ยังไง ทำยังไงให้จะให้ทุกคนทั้งได้ลง ไม่ได้ลงสามารถกลายเป็นทีมเดียวกันได้”
“ผมต้องการไปเรียนพวกทฤษฎีเพิ่ม หลังแขวนสตั๊ดผมคงค่อยๆ เป็นโค้ช สั่งสมประสบการณ์ไปก่อน ถ้ามีจังหวะก็คงได้เป็นเฮดโค้ช นั่นคือเป้าหมายของผม” อนาวิน กล่าวปิดท้าย
เส้นทางลูกหนังของ อนาวิน จูจีน ผ่านครบทุกรสชาติ ทั้งทุกข์และสุข แต่นอกจากใจที่สั่งให้สู้แล้ว การเรียนรู้ ปรับตัว และพัฒนาตัวเองอย่างไมสิ้นสุด ทำให้เขากลายเป็นแมวเก้าชีวิต ประสบความสำเร็จอย่างมากมายและกลายเป็นหนึ่งในตำนานลูกหนังไทยอย่างแท้จริง