1 เหรียญทองโอลิมปิก , 2 เหรียญทองชิงแชมป์โลก และอีก 22 เหรียญทองรวมทุกรายการที่ เทนนิส พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ คว้ามาครอบครองนับตั้งแต่ยังแข่งขันในรุ่นเยาวชน
หากคุณเป็น พาณิภัค ในวัย 25 ปี ที่เคยไปถึงจุดสูงสุดมาแล้วทุกรายการ รวมถึงการเป็นเบอร์ 1 ของโลก คุณอาจจะคิดว่า การแข่งขันระดับอาเซียน หรือ ซีเกมส์ ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไร และ อาจจะเสี่ยงต่อการบาดเจ็บเสียด้วยซ้ำ
ทว่าในความคิดของตัวเธอเอง ที่มองลงมาจากบัลลังก์แชมป์ กลับเห็นว่าซีเกมส์คือเวทีสะท้อนทัศนคติ ความคิดความอ่านของตัวเองได้เป็นอย่างดี หากเธอพลาดในเวทีนี้ เท่ากับว่าในวันข้างหน้า เธอจะมีข้อผิดพลาดที่เปิดช่องให้คู่แข่งหน้าไหนก็ตามล้มเธอได้ง่ายขึ้น
มาร่วมถอดความคิดและมุมมองของเทนนิส พาณิภัค ที่มีต่อเวทีซีเกมส์ กับ Main Stand ในบทความนี้
เพราะทองแรกในซีเกมส์ มีคุณค่าต่อความทรงจำ
ย้อนไปปี 2017 พาณิภัค เข้าร่วมการแข่งขันซีเกมส์ครั้งที่ 2 ของตัวเอง ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย หลังจากที่เพิ่งคว้าเหรียญทอง กีฬามหาวิทยาลัยโลกที่ไต้หวัน และ เวิลด์ กรังด์ปรีซ์ ที่รัสเซีย มาติดๆกันในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นเดือนเกิดครบรอบ 20 ปีของเธอพอดี
เรายังจำภาพวันนั้นได้ดี คุณพ่อสิริชัย วงศ์พัฒนกิจ ผู้เป็นทุกสิ่งของเทนนิส สวมเสื้อยืดสีขาว สกรีนภาพลูกสาวในผมหน้าม้าถักเปีย ยืนทำท่าออกอาวุธในชุดเทควันโด มานั่งรอให้กำลังใจเทนนิสอยู่บนอัฒจันทร์ฝั่งกองเชียร์คนไทย
สายตาผู้เป็นพ่อมองตรงลงไปที่สังเวียนอย่างจดจ่อ แม้บนนั้นจะยังไม่มีลูกสาวยืนอยู่ก็ตาม เพราะคุณพ่อรู้ดีว่าลูกสาวมาซีเกมส์ครั้งนี้เพื่อต้องการแก้มือ หลังจากซีเกมส์ครั้งแรกของเธอเมื่อปี 2013 ที่เนปิดอว์ พาณิภัค ฝังใจเจ็บเพราะแพ้เจ้าภาพไปแบบค้านสายตา และเธอก็พร่ำพูดกับตัวเองว่าเป็นเพราะเธอออกอาวุธไม่เด็ดขาดพอ
แต่ในรอบชิงฯซีเกมส์ 2017 เทนนิส ไม่พลาดที่จะปล่อยให้เวลาแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวของเธอหลุดลอย เธอใช้ทุกจังหวะและโอกาสที่มีในการจู่โจม ไล่เตะ นูร์ ดาย่า เบนติ ชาฮาร์รุดดิน ทั้งจากท่า Hook Kicks หรือ Scorpion Kicks (เตะเกี่ยวหัว) , หมุนเตะลำตัว จนเจ้าภาพเซล้ม ไล่มาทุกกระบวนท่าแบบหนักหน่วงและเด็ดขาด ชนิดที่กองเชียร์ ได้แต่ร้อง “โอ๊ย! โอ๊ย!” ทุกครั้งที่เธอออกอาวุธ ก่อนจะชนะนักกีฬาเจ้าภาพไปขาดลอย 39-1 !
และทันทีที่ผู้ตัดสินเป่าจบการแข่งขัน เพลงแฮปปี้เบิร์ทเดย์ทูยูว์ จากกองเขียร์ไทยก็ดังลั่นฮอลล์ และในจังหวะนั้นเองที่เราหันไปเห็นว่า คุณพ่อสิริชัย ที่นั่งอยู่ในวงกองเชียร์ที่ร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดให้เทนนิส กำลังน้ำตาคลอเบ้า นั่งมองลูกสาวชูธงชาติไทยโบกอยู่บนสังเวียน แม้จะไม่ได้กระโดดโลดเต้น หรือส่งเสียงเหมือนกับกองเชียร์คนอื่นๆ
แต่แววตาที่ฉายภาพลูกสาวชูธงชาติไทยวิ่งไปรอบๆเวทีนั้น เปี่ยมไปด้วยความยินดีและภาคภูมิใจ
ให้หลังพิธีรับเหรียญรางวัล เราตามคุณพ่อสิริชัยลงไปข้างสนามแข่งขัน คุณพ่อตรงเข้าไปหาเทนนิส เช่นเดียวกับเธอ ที่รอผู้เป็นพ่อและปรี่เข้าไปกอดทันทีที่เห็น
“หนูทำได้แล้ว!” เทนนิสบอกพ่อ อีกฝ่ายพยักหน้าตอบกลับนิ่มๆ และน้ำตายังคงคลอเบ้า
“มันเป็นของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดในชีวิตหนูเลยค่ะ เพราะว่าทัวร์นาเมนต์นี้หนูยังไม่เคยได้เหรียญทองด้วย และครั้งที่แล้วแพ้ให้กับเจ้าภาพก็เสียใจเสียดายมาก แต่ครั้งนี้คิดแค่ว่าลงไปทำให้ดีที่สุด จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง แล้วก็ทำได้จริงๆค่ะ”
“มันเป็นเหรียญทองที่ 3 ติดต่อกันในเดือนเกิดหนูด้วย ดีใจมากที่ทำได้ค่ะ” เทนนิสให้สัมภาษณ์กับเราพร้อมยิ้มกว้าง
เมื่อถามถึงของขวัญในเดือนเกิด นอกจากเหรียญทอง มีอะไรอีกไหมที่เธออยากได้จากคุณพ่อ เทนนิสหันไปหาพ่อที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมตอบว่า
“อยากให้พ่ออยู่กับหนูไปนานๆ หนูจะทำให้ดีที่สุดและเต็มที่ที่สุดค่ะ”
ส่วนคุณพ่อสิริชัย ไม่มีคำกล่าวใดนอกจากความ ‘ภาคภูมิใจ’ ในตัวลูกสาวที่ทำให้คนไทยมีความสุขและให้สัญญาว่าจะรักษาเนื้อรักษาตัวให้แข็งแรงเพื่ออยู่ดูลูกสาวทำให้คนไทยมีความสุขอีกครั้ง ในโอลิมปิกเกมส์ ที่โตเกียว ซึ่งทันทีที่คุณพ่อพูดประโยคนี้
เทนนิส ถึงกับขำเจื่อน แล้วแอบสะกิดคุณพ่อว่า “ยังไม่รู้เลยจะได้ไปเปล่า”
แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าอีก 4 ปีต่อมา ลูกสาวผู้ถ่อมตัวของคุณพ่อสิริชัย จะทำได้จริงๆ!
เหรียญทองโอลิมปิก ก็พลาดได้
หลังคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นในปี 2021 (จากเดิมต้องแข่งปี 2020 แต่เลื่อนจัดเพราะการระบาดของโควิด-19) พร้อมกับจารึกเรื่องราว 7 วินาทีพลิกชีวิตจากความพ่ายแพ้สู่ชัยชนะ เพราะเธอสามารถเอาชนะคู่แข่งจากสเปนที่ ณ ขณะนั้น นำเธออยู่ 10-9 มาเป็น 10-11 ได้ในเวลา 7 วินาทีสุดท้ายของการแข่งขัน
ชื่อเสียงของพาณิภัค ยังกระหึ่มด้วยการรักษาตำแหน่งเบอร์ 1 โลกไว้ได้ยาวนาน และ ยังคงไล่ล่าเหรียญทองต่อเนื่องในอีกหลายรายการ
ทว่าในช่วงกลางปี 2022 สหพันธ์เทควันโดโลก มีการปรับเปลี่ยนกติกาหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการห้ามเตะเกี่ยว ซึ่งเป็นท่าที่เทนนิสชอบใช้เป็นไม้ตายในการเผด็จศึกคู่แข่งและอีกหลายกติกายิบย่อย ทำให้นักกีฬาเทควันโดทั่วโลก ต้องลงแข่งขันในแต่ละรายการไปพร้อมๆกับการปรับตัวกับกติกาใหม่ที่ว่า
ทำให้ช่วงปลายปีสถานการณ์ของ พาณิภัคเริ่มไม่ค่อยสู้ดี ในเดือนมิถุนายน เธอพลาดเหรียญทอง 2 รายการติดต่อกันในช่วงเดือนมิถุนายน
ก่อนจะเกิดอาฟเตอร์ช็อกในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน เมื่อเทนนิส แพ้ เปาโล ดานิลา ซูซ่า จอมเตะชาวเม็กซิกัน ในศึกชิงแชมป์โลกไป 1-2 ยก พลาดคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ทั้งที่ใคร ๆ ต่างก็ขนานนามว่าเธอเป็นเต็ง 1 ชนิดนอนมา
หลังจบการแข่งขัน เทนนิส โพสต์ลงในเฟซบุ๊คของตัวเองพร้อมกับภาพชูเหรียญเงินว่า
"วันนี้ทำดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังดีไม่พอ เศร้ามาก เฮ้ออออออออออออ ~ หนูอยากขอโทษและขอบคุณทุกๆคนที่คอยซับพอร์ต และเชียร์เสมอมานะคะ จะกลับมาแข็งแกร่งให้ไวเหมือนเดิม วันพระไม่ได้มีหนเดียว ลุยต่อฮ้ะ ไม่มีเวลามานั่งเสียใจนาน เดือนหน้ามีกรังด์ปรีซ์ไฟนอลรออยู่ ลุยดิรอไร"
“หนูจะร้องไห้และเสียใจให้จบภายในคืนนี้ สัญญาว่าจะกลับมาแข็งแกร่งให้ไวๆ แน่นอนวันนี้มันเป็นประสบการณ์ที่มีราคาที่ต้องจ่ายแพงมากๆ แต่หนูจะนำมันไปใช้เป็นบทเรียนให้คุ้มค่าที่สุด สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกๆคนอีกครั้งนึงนะคะที่เชียร์และคอยอยู่ข้างๆเสมอมา รักทุกคนเหมือนกันนะคะ”
ทดสอบหัวใจที่ ‘ซีเกมส์’ ก่อนทวงแชมป์โลก
เทนนิส เดินออกมาจากความเสียใจในชิงแชมป์โลก 2022 ไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับไปมองแล้ว ตอนนี้เธอเดินหน้าลุยอย่างเดียว ด้วยปณิธาน ‘ปีนี้ต้อง 5 แชมป์ !’
และซีเกมส์คือหนึ่งในหมุดหมายของเธอและสมาคมเทควันโด หากทำได้จะเป็นเหรียญทองซีเกมส์สมัยที่ 4 ของเทนนิส พาณิภัค ซึ่งอาจจะเป็นซีเกมส์ครั้งสุดท้ายของเธอด้วย
ทว่าในเป้าหมายนั้นก็มีเสียงวิจารณ์อยู่พอสมควร เนื่องจากถัดซีเกมส์ไปเพียง 2 สัปดาห์ ก็จะเป็นศึกชิงแชมป์โลก 2023 ที่อาร์เซอร์ไบจาน
แฟนกีฬาไทยจึงตั้งคำถามว่า ‘เหตุใดสมาคมถึงไม่ถนอมร่างกายพาณิภัคไว้รอไปรายการใหญ่ แล้วส่งดาวรุ่งไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในซีเกมส์แทน?’
คำถามนี้หากตอบโดยสมาคมเทควันโด มันคือแผนงานที่วางไว้ และ สมาคมประเมินแล้วว่าพาณิภัคจะฟื้นฟูร่างกายทัน ซึ่งก็อาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับแฟนกีฬาที่กังวลใจ
แต่หากฟังบทสัมภาษณ์จากปากของเทนนิส ในตลอดระยะเวลาช่วงเตรียมตัวก่อนไปกัมพูชา เธอจะตอบคำถามที่สะท้อนทัศนคติที่ดีเสมอ
“เป็นเบอร์ 1 ก็แพ้ได้ค่ะ เพราะกีฬามันก็ต้องมีทั้งคนแพ้คนชนะ”
“หนูไม่ได้มองว่าเวทีไหนเล็กใหญ่เลยค่ะ ทุกเวทีถ้าประมาทหนูก็แพ้ได้”
“กับซีเกมส์ทุกครั้งหนูไม่เคยประมาทเลยค่ะ หนูใช้มันสำหรับเตรียมตัว เพราะถ้าหนูแพ้ หนูก็จะเห็นข้อบกพร่องของตัวเอง แล้วก็จะเห็นว่าในอาเซียนหนูก็ยังแพ้ได้ หมายความว่าในรายการอื่นๆถ้าหนูผิดพลาดหนูก็แพ้ได้เหมือนกัน”
“หนูยังไม่ค่อยพอใจผลงานของตัวเองในปีนี้ ยังมีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข ซึ่งในซีเกมส์หนูจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นตัวเต็งเพราะไม่อยากกดดัน จะเตะตามสไตล์ตัวเองให้เต็มที่ที่สุด จะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังอีก และจะเอาเหรียญทองกลับมาฝากคนไทยให้ได้ค่ะ”
ทั้งหมดนั้นคือการให้สัมภาษณ์ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลังสมาคมฯ ยืนยันว่า พาณิภัค จะเป็นคนนำทัพเทควันโดไทยล่าทองซีเกมส์ที่กัมพูชา และเธอยังคงมีวินัยเข้มงวดในการฝึกซ้อม , อดอาหารรอชั่งน้ำหนัก ทำทุกอย่างตามระเบียบวินัยตามหลักสากล แม้จะมีเสียงวิจารณ์ตามหลังว่าซีเกมส์เป็นเวทีระดับเล็กไปสำหรับเธอก็ตาม
ไม่ว่าการแข่งขันในวันที่ 13 พฤษภาคมนี้ ผลงานของเทนนิส พาณิภัค ในซีเกมส์ครั้งที่ 32 ที่กัมพูชา จะออกมาเป็นอย่างไร ผลแพ้ หรือ ชนะ มันคือคำตัดสินบนสังเวียนการแข่งขัน แต่กับสังเวียนชีวิตเธอชนะตัวเองไปแล้วโดยไม่ต้องรอให้กรรมการตัดสิน…