Feature

บรูซ ลี : "จีทคุนโด" ปรัชญาการต่อสู้ที่เปรียบว่า "จงใช้ชีวิตให้เหมือนดั่งน้ำ" | Main Stand

ท่วงท่าหนักแน่นมั่นคง ออกหมัดรวดเร็วแม่นยำ เคลื่อนที่พลิ้วไหวอย่างเป็นอิสระ เหล่านี้คือรูปแบบการต่อสู้ของ บรูซ ลี ปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ นักแสดง ผู้กำกับ นักเขียนบท และผู้นำวิชากังฟูเผยแพร่สู่โลกตะวันตกจนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก

 

บรูซ ลี มีความสามารถโดดเด่นเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้แทบทุกแขนง ขณะที่ย้ายมาเปิดสำนักกังฟูอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย ในช่วงปี 1964 เขาก็ได้รับการท้าทายจาก หว่อง เจ็ค หมาน ปรมาจารย์กังฟูอีกท่านซึ่งอาศัยอยู่ในย่านเดียวกัน

การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้เกิดศิลปะการต่อสู้ชนิดใหม่ที่เรียกว่า "จีทคุนโด" ซึ่งได้รับการยกย่องว่าสอดแทรกปรัชญาการดำเนินชีวิตได้อย่างแนบเนียน

จีทคุนโดคืออะไร มีวิถีต่อสู้อย่างไร และเกิดอะไรขึ้นในการต่อสู้ที่แคลิฟอร์เนียบ้าง ? ติดตามได้ที่ Main Stand

 

เจ้าหนุ่มยอดกังฟู

ลี ฮอย ชุน (Lee Hoi-chuen) นักแสดงงิ้วที่มีชื่อเสียงอยู่ในฮ่องกง และ เกรซ โฮ (Grace Ho) ภรรยาลูกครึ่งจีน-เยอรมัน ได้ออกทัวร์เล่นงิ้วอยู่ในย่านไซน่าทาวร์ ซานฟรานซิสโก ในช่วง 1940s และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่า ลี จุน ฟาน (Lee Jun-fan) ซึ่งแปลว่า "มังกรน้อย"

หนูน้อยได้รับสัญชาติอเมริกันโดยอัตโนมัติ "บรูซ ลี" เป็นชื่อที่นางพยาบาลคนหนึ่งตั้งให้ขณะทำคลอดเพราะเห็นว่าเป็นชื่อที่เรียกง่ายและมีสำเนียงคล้ายชาวตะวันตก โดยที่ไม่ได้คาดคิดเลยว่าทารกรายนี้จะเติบโตขึ้นมาเป็นคนมีชื่อเสียง จนกลายมาเป็นหนึ่งในไอคอนนักแสดงชื่อดัง

ถึงแม้เจ้ามังกรน้อยจะซึมซับความเป็นนักแสดงมาจากครอบครัว แต่เขาก็ชื่นชอบการชกต่อยจนสร้างความหนักอกหนักใจให้กับพ่อแม่อยู่เป็นประจำ

ในช่วงวัยรุ่น บรูซ ลี มีปัญหาทะเลาะวิวาทกับอันธพาลกลุ่มหนึ่ง เขาถูกรุมอัดจนสะบักสะบอมไปทั่วร่างกาย ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บแค้นเป็นอย่างมาก เขาจึงอยากฝึกวิชาต่อสู้ที่สามารถล้มคนจำนวนมากได้ด้วยหมัดเปล่า ทำให้ในเวลาต่อมาเขาได้สมัครเรียนกังฟูกับ อาจารย์ยิปมัน ปรมาจารย์มวยหย่งชุนผู้มีชื่อเสียงในฮ่องกง และฝึกฝนจนชำนาญภายในเวลาเพียง 3 ปีเท่านั้น

ระหว่างที่ฝึกหย่งชุน ยิปมันสั่งห้าม บรูซ ลี ต่อสู้กับแก๊งอันธพาลข้างถนนอีกเด็ดขาด แต่อนุญาตให้ต่อสู้ในการแข่งขันบนเวทีประลองได้

กระนั้นเมื่อรู้ว่า บรูซ ลี ไม่ได้มีสายเลือดจีนแท้ ท่าทีของยอดปรมาจารย์มวยหย่งชุนก็เปลี่ยนไปทันที

"มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับการฝึกหย่งชุนกับยิปมันแบบตัวต่อตัว ซึ่งหนึ่งในนั้นไม่ใช่ผม" บรูซ ลี กล่าว

ระหว่างที่ฝึกหย่งชุนในช่วงปี 1959 มีศิษย์กังฟูต่างสำนักเข้ามาท้าทายต่อสู้กับสำนักของยิปมัน บรูซ ลี ได้เสนอตัวต่อสู้กับผู้ท้าชิงรายนั้นบนด่านฟ้าของโรงฝึก เขาอัดจนผู้ท้าชิงฟันหักไปหลายซี่ และเจ็บถึงขั้นสลบคาที่บนสนามประลอง

บทสรุปของการชกครั้งนั้นทำให้ บรูซ ลี ถูกฟ้องดำเนินคดีในข้อหาทำร้ายร่างกาย จนตำรวจฮ่องกงต้องเอ่ยปากตักเตือนกับบิดาของเขาว่า

"หากลูกชายของคุณมีเรื่องชกตอยขึ้นอีกรอบ รับรองได้เลยว่าเราจะจับเขาเข้าคุกแน่นอน"

จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ ลี ฮอย ชุน ผู้เป็นบิดาต้องส่ง บรูซ ลี ไปอยู่กับ แอกเนส ลี (Agnes Lee) พี่สาวของเขาไกลถึงซีแอตเทิล ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้เขาออกห่างจากพวกอันธพาลในฮ่องกง และจะได้กลับไปเรียนหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจได้เสียที

 

ห้ามสอนกังฟูให้ชาวตะวันตก

บนชายฝั่งดินแดนอเมริกา บรูซ ลี ได้เรียนต่อในสาขาปรัชญาของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน เขาได้พบรักกับ ลินดา แคดเวลล์ (Linda Emery Lee Cadwell) และทั้งคู่แต่งงานกันในเวลาต่อมา

เขาได้เปิดสำนักกังฟูชื่อว่า "Jun Fan Gung Fu" (จุงฟานกังฟู) ขึ้นที่ในซีแอตเทิล โดยยึดพื้นฐานการสอนมวยหย่งชุนที่มีลีลาพลิ้วไหวเหมือนสรีระของผู้หญิง แต่มีการยืนระยะเท้าที่มั่นคง โดยเน้นที่การตั้งรับแต่กลับมีการจู่โจมระยะสั้นอย่างรวดเร็วแม่นยำ

ต่อมาในช่วงปี 1964 ขณะที่ บรูซ ลี มีอายุได้ 24 ปี เขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อเปิดสำนักกังฟูแห่งที่สอง และตระเวนสร้างชื่อเสียงไปทั่วแคลิฟอร์เนียด้วยการแสดงทักษะวิดพื้นด้วยสองนิ้ว หรือแม้แต่การใช้หัวแม่มือในการจู่โจมให้ผู้คนได้เห็น ด้วยเหตุนี้เขาจึงเป็นเพื่อนกับดาราดังในฮอลลีวูดหลายคนอาทิเช่น สตีฟ แมคควีน และ เจมส์ โคเบิร์น

ระหว่างสอนกังฟูอยู่นั้น บรูซ ลี ทำเรื่องผิดขนบของชาวจีนอย่างร้ายแรง นั่นคือการสอนกังฟูให้ผู้สนใจเรียนโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ

เมื่อข่าวลือดังกล่าวเข้าไปถึงหูของ หว่อง เจ็ค หมาน (Wong Jack-man) ปรมาจารย์กังฟูที่อาศัยอยู่ในย่านเดียวกัน ผู้มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับหมัดนกกระเรียนขาวจากสำนักเส้าหลิน ซึ่งมีจุดเด่นที่ลีลาอ่อนช้อยประหนึ่งท่วงท่าของนกกระเรียน แต่มีการรุกและรับที่รวดเร็วราวกับสุนัขจิ้งจอกที่กำลังล่าเหยื่อ

เจ็ค หมาน ตักเตือน บรูซ ลี ไม่ให้สอนกังฟูให้กับชาวตะวันตกอีก แต่ บรูซ ลี ไม่รับฟังและยังคงสอนกังฟูต่อไป ทำให้ เจ็ค หมาน ยื่นคำขาดด้วยการท้าประลองกับ บรูซ ลี โดยมีข้อตกลงว่า หากเขาชนะ บรูซ ลี จะต้องปิดสำนักกังฟูของตัวเองทันที แต่ถ้า บรูซ ลี ชนะ เจ็ค หมาน จะยอมรับ บรูซ ลี ในฐานะอาจารย์กังฟูท่านหนึ่ง โดยสามารถสอนกังฟูให้กับชาวตะวันตกต่อไปได้

แน่นอนว่า บรูซ ลี รับคำท้าอย่างไม่ต้องสงสัย

 

ศึกสองยอดกังฟู

สนามประลองเกิดขึ้นภายในบ้านพักของ บรูซ ลี โดยมีผู้เฝ้าดูเหตุการณ์เพียงไม่กี่คน ส่วนใหญ่เป็นอาจารย์กังฟูในละแวกนั้น หรือไม่ก็เป็นคนใกล้ชิดของทั้ง บรูซ ลี และ หว่อง เจ็ค หมาน

การต่อสู้เป็นไปอย่างคลุมเครือ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่ชัด วิลเลียม เฉิน (William Chen) ปรมาจารย์ไทเก๊กหนึ่งในผู้ชมครั้งนั้น เล่าไว้ว่า

"การต่อสู้กินเวลานานถึง 25 – 30 นาที เจ็ค หมาน ดูสุภาพ เขารักษาสัญญาก่อนจะขึ้นสู้ว่าจะไม่ใช้ลูกเตะเส้าหลินเหนือ เพราะเห็นว่ามันอันตรายเกินไป ถึงเขาจะประสบปัญหาเรื่องของการตั้งรับหมัดจู่โจมของ บรูซ ลี แต่ เจ็ค หมาน ก็จะไม่ยอมใช้ลูกเตะของเขาอย่างเด็ดขาด"

ในขณะที่ ลินดา แคดเวลล์ ภรรยาของ บรูซ ลี กลับให้ข้อมูลที่ต่างออกไปว่า

"ลีได้เปรียบทันทีที่ขึ้นสู้กับหว่อง เขาใช้เวลาจบการต่อสู้เพียง 3 นาที บรูซชกชายคนนั้นลงกับพื้น แล้วถามว่า 'คุณจะยอมแพ้ไหม ?' หว่องตอบว่า 'ยอมแพ้' การต่อสู้จึงจบลงแค่นั้น"

หนึ่งสัปดาห์หลังการต่อสู้ บรูซ ลี ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า "ผมเอาชนะผู้ท้าชิงที่ไม่มีชื่อเสียง" ซึ่งหว่องได้กล่าวตอบโต้ผ่านหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวไปว่า "เป็นการกล่าวอ้างถึงผมอย่างชัดเจน"

แม้จะไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในการต่อสู้ครั้งนั้น แต่เราก็พอเข้าใจได้ว่าการต่อสู้จบลงด้วยชัยชนะของ บรูซ ลี

แต่ หว่อง เจ็ค หมาน ยังไม่ยอมรับในความพ่ายแพ้ของตน เขากลับมาท้าสู้กับ บรูซ ลี อีกหลายหนแต่ก็ถูกปฏิเสธทุกครั้ง ทำให้ไฟต์ล้างตาไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย

 

"จีทคุณโด" ปรัชญาแห่งการไร้ตัวตน

หลังต่อสู้กับ หว่อง เจ็ค หมาน ได้เพียง 2 ปี บรูซ ลี ก็เริ่มมีบทบาทในด้านการแสดงมากขึ้น (ช่วงปี 1966 - 70) เขาได้รับบทบาทเป็น คาโต้ ผู้ช่วยพระเอกในซีรีส์เรื่อง The Green Hornet ซึ่ง บรูซ ลี ได้นำศิลปะการต่อสู้ของตัวเองที่เรียกว่า จีทคุนโด (Jeet Kune Do) มาปรับใช้ในการแสดงฉากบู๊เป็นครั้งแรก ๆ

จีทคุนโด มีความหมายว่า "การสกัดหมัด" คือรูปแบบการต่อสู้ที่ บรูซ ลี คิดค้นขึ้นใหม่ภายหลังการต่อสู้กับ หว่อง เจ็ค หมาน ที่บ้านพักในแคลิฟอร์เนีย เขาพบว่าตนเองใช้เวลาล้มคู่ต่อสู้นานเกินไป จึงปรับรูปแบบการออกหมัดและการเคลื่อนที่ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

บรูซ ลี กล่าวว่า "แก่นแท้ของจีทคุนโดคือความเรียบง่ายบนความไร้รูปแบบ ร่างกายจึงเป็นอิสระ เมื่อร่างกายเป็นอิสระ หัวใจก็พร้อมจะต่อสู้"

ผู้ฝึกจีทคุนโดจะได้รับการฝึกที่เรียกว่า "Four ranges of combat" หรือรูปแบบการต่อสู้ทั้งสี่คือ การเตะ การต่อย การดักจับ และการต่อสู้ ซึ่งผู้ฝึกนอกจากจะต้องเคลื่อนที่อย่างมีชีวิตชีวาแล้ว ยังต้องรับรู้สภาวะจิตใจของตัวเองด้วย ซึ่ง บรูซ ลี เรียกสิ่งนั้นว่า "สไตล์ที่ไม่มีสไตล์"

การรับรู้สภาวะจิตของตัวเองจากการเคลื่อนไหวอย่างไร้รู้แบบ ผู้ฝึกจะต้องไตร่ตรองอยู่ในทุกช่วงขณะว่ามีความสามารถอยู่ในระดับไหน จากนั้นจึงพัฒนาความสามารถไปสู่การรับรู้สภาวะอารมณ์ สภาพแวดล้อม รวมถึงคู่ต่อสู้ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่

โดยระหว่างนั้นผู้ฝึกต้องเข้าใจว่าอะไรคือจุดแข็งหรือจุดอ่อนของตัวเอง หากเราจู่โจมต้องมั่นใจว่าได้เปรียบ และหากตั้งรับต้องทำอย่างแน่นหนารัดกุม เมื่อเรากำลังพ่ายแพ้จะพลิกสถานการณ์ให้กลับมาได้เปรียบได้อย่างไร สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้ฝึกจีทคุนโดเข้าใจตัวเองได้มากยิ่งขึ้นคือการขจัดความคิดเชิงลบให้หมดไปเสียก่อน แต่จะทำเช่นนั้นได้ผู้ฝึกต้องใช้ความกล้าหาญอยู่พอสมควร

"เราจะรับรู้สภาวะแห่งการต่อสู้ได้ เราต้องเป็นเหมือนน้ำ"

บรูซ ลี มักใช้สายน้ำในการเปรียบเทียบรูปแบบของจีทคุนโดอยู่เสมอ เขาเชื่อว่าการต่อสู้จะดีได้ผู้ฝึกต้องมีความยืดหยุ่นเหมือนสายน้ำ ซึ่งหมายถึงจงใช้ชีวิตเหมือนน้ำที่ยืดหยุ่นและไร้สภาพ แต่แข็งแรงทรงพลังกว่าหินผา มันอ่อนไหวไปทุกทิศทาง แต่ก็ไม่มีสิ่งใดจะทำลายมันได้ ชัยชนะจึงตกอยู่กับผู้ที่รู้จักยืดหยุ่นอย่างชาญฉลาด เหล่านี้คือปรัชญาที่ซ่อนอยู่ในการฝึกจีทคุนโดได้อย่างแนบเนียน

อย่างไรก็ดี บรูซ ลี ไม่ได้มีความชำนาญเพียงการฝึกกังฟูเท่านั้น แต่เขายังเคยฝึกศิลปะการต่อสู้มาแล้วหลายประเภท เช่น มวยปล้ำ มวยสากล เทควันโด้ ยูโด คาราเต้ รวมถึงอื่น ๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึง

 

ชีวิตแสนสั้น แต่เป็นตำนานตลอดกาล

บรูซ ลี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ปี 1973 ขณะที่มีได้อายุเพียง 32 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงที่เรียกได้ว่ากำลังโด่งดังถึงขีดสุด

เขาฝากผลงานทางภาพยนตร์ไว้อย่างมากมาย อาทิ The Big Boss (1971), Fist of Fury (1972), The Way of the Dragon (1972) และ Warner Brothers (1973)

ชีวิตของ บรูซ ลี นับว่าน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง เขาคือบุรุษผู้มุ่งหน้าสู่เส้นทางแห่งความฝันอย่างกล้าหาญและไม่เคยเกรงกลัวต่ออุปสรรค จนได้รับการยกย่องจากนิตย์สาร TIME ให้เป็นหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดของศตวรรษที่ 20

ปัจจุบันยังคงมีการกล่าวถึงคุณูปการของ บรูซ ลี ในหลายด้าน เช่น การเป็นนักแสดงผู้เป็นไอคอนแห่งยุค ผู้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสังคมในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเรื่องวัฒนธรรมหรือสิทธิพลเมืองในอเมริกา รวมถึงยังได้รับการนับถือในฐานะนักปรัชญาผู้สอนให้ผู้คนได้เข้าถึงแก่นแท้ของชีวิตที่ว่าด้วยความยืดหยุ่นจากศิลปะการต่อสู้อย่างจีทคุนโดอีกด้วย

ถึงแม้ บรูซ ลี จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่สิ่งที่เขาฝากไว้กับโลกก็กลายเป็นตำนานที่ถูกจารึกไปอีกนานแสนนานอย่างที่จะหาใครมาเทียบได้ยาก

 

แหล่งอ้างอิง

https://brucelee.com/jeet-kune-do
https://en.wikipedia.org/wiki/Bruce_Lee
https://wheecorea.com/ra-masia-project/the-philosophy-of-jeet-kune-do/
https://screenrant.com/bruce-lee-wong-jack-man-real-fight-explained/
https://en.wikipedia.org/wiki/Wong_Jack-man
https://blackbeltmag.com/jeet-kune-dos-combat-philosophy

Author

ณัฐพงศ์ อินต๊ะริด

Main Stand's author

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

ภราดร ภราดร

อยากจะทำให้ดี ไม่ใช่แค่อยากจะทำให้เป็น