ตลอดชีวิตการเป็นนักแสดงอาชีพ คีอานู รีฟส์ ฝากผลงานและบทบาทการแสดงอันน่าจดจำเอาไว้มากมาย และหนึ่งในบทบาทที่ส่งให้เขาประสบความสำเร็จมากที่สุดในวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดเวลานี้คือ บทมือสังหารแห่งโลกมืดอย่าง จอห์น วิค จากภาพยนตร์แอ็กชั่นแฟรนไชส์ John Wick ที่โด่งดังไปทั่วโลกและทำเงินรายได้ไปแบบถล่มทลาย
ทว่าก่อนสวมบทเป็นนักฆ่าแห่งองค์กรคอนติเนนทัล คีอานู รีฟส์ ช่วงเวลานั้นมีสถานะเป็นเพียงนักแสดงระดับกลางๆ ไม่ใช่ตัวเลือกของบรรดาผู้ผลิตภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ เขาเล่นแต่หนังเกรดบีที่ล้มเหลวทางรายได้นับไม่ถ้วน กระนั้นด้วยวิชาการต่อสู้ที่ร่ำเรียนมาจากการเล่นภาพยนตร์แอ็กชั่นในอดีต และการฝึกวิชายูโดกับยิวยิตสู กลับส่งผลให้ คีอานู รีฟส์ ยกสถานะตัวเองมาเป็นนักแสดงเนื้อหอมอีกครั้งกับบทมือสังหารที่โด่งดังที่สุดในโลกแห่งยุค
วิชาศิลปะการต่อสู้อย่าง ยูโด และ ยิวยิตสู เปลี่ยนชีวิตของ คีอานู รีฟส์ มากแค่ไหน มาติดตามกันได้ผ่านเรื่องราวที่ Main Stand นำมาฝากเพื่อให้คุณผู้อ่านชมภาพยนตร์ซีรีส์ John Wick ทั้ง 4 ภาคแบบมีอรรถรสมากขึ้น
ซูเปอร์สตาร์ผู้ร่วงหล่นจากหนังเจ๊ง
ชื่อของ คีอานู รีฟส์ โลดแล่นอยู่ในวงการภาพยนตร์มาตั้งแต่ปลายยุค 80s ซึ่งคุณผู้อ่านที่เป็นแฟนภาพยนตร์คงมีความทรงจำที่เกี่ยวกับตัวเขาแตกต่างกันไป แต่หากถามคนที่เกิดยุค 90s เชื่อว่าคงจดจำนักแสดงชาวแคนาเดียนคนนี้ได้เป็นอย่างดี จากงานภาพยนตร์หลายเรื่องที่เขาฝากฝีมือเอาไว้ในช่วงเริ่มต้นเป็นนักแสดงเช่น นักสืบสายเอ็กซ์ตรีมในเรื่อง Point Break (1991), ทนายความหนุ่มหน้าใสจาก Bram Stoker's Dracula (1992), เจ้าชายสิทธัตถะ จาก Little Buddha (1993) หรือนายตำรวจขาลุยผมทรงสกินเฮด ที่ส่งให้เขาเป็นขวัญใจสาว ๆ ทั่วโลกใน Speed เร็วกว่านรก (1994)
แต่บทบาทที่ทำให้ คีอานู รีฟส์ ยกสถานะเป็นซูเปอร์สตาร์คือ The Matrix หนังแอ็กชั่นไซไฟผสมปรัชญาล้ำลึก ในปี 1999 ที่ไม่เพียงใช้เทคนิคพิเศษล้ำหน้ากว่าหนังแอ็กชั่นเรื่องอื่น ตัวละคร “นีโอ” พระเอกผู้กอบกู้โลกที่สวมบทบาทโดย คีอานู รีฟส์ ก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะฉากเอี้ยวตัวหลบกระสุนในตำนาน ส่งเสริมให้ตัวเขาและภาพยนตร์ประสบความสำเร็จไปพร้อมกัน หนังทำเงินทั่วโลกไป 467 ล้านเหรียญสหรัฐ และเมื่อรวมกับภาคต่อที่ตามมาอย่าง The Matrix Reloaded และ The Matrix Revolutions ที่ฉายพร้อมกันในปี 2003 ก็ทำให้แฟรนไชส์ The Matrix ทำเงินรวมไปทั้งสิ้น 1,635 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทั่วโลก
แต่ชีวิตเมื่อขึ้นสุดก็ต้องมีวันร่วงเป็นสัจธรรม เพราะหลังจบ The Matrix ไตรภาค แม้ คีอานู รีฟส์ จะมีงานเล่นหนังอีกหลายเรื่อง แต่ส่วนใหญ่หน้าหนังค่อนไปทางเกรด B และล้วนไม่ประสบความสำเร็จทางรายได้ เช่น Constantine (2005), A Scanner Darkly (2006), The Day the Earth Stood Still (2008) โดยเฉพาะปี 2013 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ของ คีอานู รีฟส์ พอสมควร เพราะทั้ง Man of Tai Chi ที่เขาลงแรงกำกับเองเรื่องแรก และ 47 Ronin อันเป็นหนังแอ็กชั่นย้อนยุคทั้งคู่ จับมือกันเจ๊งระเนระนาด พลางทำให้ชื่อ คีอานู รีฟส์ หม่นหมองจนแทบไม่อยู่ในสายตาของผู้ผลิตหนังค่ายใหญ่
อันที่จริงแม้ คีอานู รีฟส์ จะใช้ชีวิตแบบไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ ตามประสานักแสดงที่มีไลฟ์สไตล์แบบสมถะไม่ติดหรู จนมีภาพที่เขานั่งกินอาหารที่สวนสาธารณะแบบชิล ๆ หรือนั่งรถไฟฟ้าเดินทางร่วมกับคนทั่วไปโดยไม่ต้องใช้รถส่วนตัวออกมาให้เห็นกันบนโลกออนไลน์ แต่ความล้มเหลวในหน้าที่การงานติด ๆ กันก็ทำให้สถานะดาราผู้เป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลลีวูดของเขาลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ ถึงขั้นแซวกันว่าชีวิตการแสดงของ คีอานู รีฟส์ น่าจะถึงจุดจบในไม่ช้า
ทว่าในขณะที่ชีวิตการงานกำลังดำดิ่ง คีอานู รีฟส์ มีบทหนังเรื่องหนึ่งอยู่ในมือ โดยที่ตัวเขาก็ไม่รู้ว่ามันจะกลายเป็นบทหนังที่ช่วยพลิกฟื้นตัวเองกลับคืนมาอีกครั้ง
ยูโด-ยิวยิตสู นำพาสู่โลกนักฆ่า
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 มีความเคลื่อนไหวน่าสนใจเมื่อมีคนพบว่า คีอานู รีฟส์ ลงเรียนวิชาศิลปะป้องกันตัวที่โรงยิมแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเพื่อปรับตัวเองให้เข้ากับงานการแสดงภาพยนตร์แอ็กชั่นเรื่องใหม่ที่มีชื่อเรียกโปรเจ็กต์อย่างไม่เป็นทางการว่า “John Wick” ซึ่งโจทย์ที่ผู้กำกับ แชด สตาเฮลสกี มอบให้กับเขาก็คือการร่ำเรียนวิชาการต่อสู้แบบประชิดตัวทั้ง ยูโด และ ยิวยิตสู เพื่อให้เขาสามารถสวมบทเป็นนักฆ่าที่ชำนาญการปลิดชีวิตคนด้วยวิธีอันหลากหลาย
“เราอยากให้มีการเปลี่ยนแปลงซีนแอ็กชั่นได้ตลอดเวลา ดังนั้นเลยจำเป็นมากที่คีอานูจะต้องมีความเชี่ยวชาญเรื่องศาสตร์การต่อสู้ที่หลากหลาย” แชด สตาเฮลสกี พูดถึงนักแสดงนำของเขา ซึ่งเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ เพราะในอดีตสตาเฮลสกีเคยเป็นสตั๊นท์แมนให้กับเขาในเรื่อง Point Break เมื่อปี 1991 มาก่อน แต่คราวนี้เขาได้กลับมากำกับนักแสดงที่เขาเคยเป็นสตั๊นท์ในฉากบู๊ให้
คีอานู รีฟส์ ใช้เวลาอยู่ 4 เดือนในการเตรียมความพร้อมให้ตัวเอง ทั้งฟิตหุ่น ออกกำลังกายลดน้ำหนัก และเปลี่ยนบุคลิกตัวเองโดยไว้ผมยาวมีหนวดเครา แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการเรียนศิลปะป้องกันตัว ซึ่งในโลกปัจจุบันทั้ง ยูโด และ ยิวยิตสู มีเอกลักษณ์อยู่ที่การใช้สู้ระยะประชิดตัวต่อตัว โดยเฉพาะท่าทุ่มที่สามารถจับอีกฝ่ายเหวี่ยงลงพื้นก่อนเผด็จศึกปิดบัญชี รวมถึงการเรียนใช้อาวุธปืนกับตัวแทนทีมหน่วย SWAT ของอเมริกา อันเป็นอุปกรณ์หลักที่ คีอานู รีฟส์ ต้องใช้เวลาเรียกความคุ้นเคยเพราะห่างหายการจับปืนไปนานตั้งแต่สมัยเล่น The Matrix ไตรภาค
ที่จริงแล้วการเรียนวิชาต่อสู้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ คีอานู รีฟส์ เพราะในอดีตเขาเคยมีทักษะวิชากังฟูมาแล้วสมัยที่เล่น The Matrix ภาคแรกในปี 1999 คราวนั้นตัวเขาและ ลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น (ผู้รับบท มอร์เฟียส) ต้องร่ำเรียนวิชากังฟูกับ หยวน วู ปิง ปรมาจารย์กังฟูในตำนานจากฮ่องกง และเป็นผู้ออกแบบคิวบู๊ให้กับหนังแอ็กชั่นหลายเรื่อง ประกอบกับการเรียนวิชามวยไท่จี๋ที่ฝึกฝนตอนเล่นหนัง Man of Tai Chi ในปี 2013 ทำให้คีอานูพอจะมีพื้นฐานเรื่องศิลปะการป้องกันตัวติดตัวอยู่บ้าง และมันก็กลายเป็นแต้มต่อที่ช่วยให้เขาได้บท จอห์น วิค ไปครอง
แต่เหนืออื่นใด ต้องขอบคุณทีมผู้สร้างภาพยนตร์ John Wick ที่นึกถึง คีอานู รีฟส์ เนื่องจากทีแรกพวกเขาวางแผนทาบทามนักแสดงอาวุโสอย่าง คลินต์ อีสต์วูด หรือ แฮร์ริสัน ฟอร์ด มารับบท จอห์น วิค นักฆ่ารุ่นเก๋าวัยเกษียนอายุ แต่พอพวกเขาคิดว่าควรใช้บริการนักแสดงที่ไม่แก่มาก เคยเล่นหนังแอ็กชั่น และมีสกิลวิชาการต่อสู้ระดับหนึ่ง ทีมงานเลยตัดสินใจส่งบท จอห์น วิค ไปให้ คีอานู รีฟส์ อ่าน แล้วเขาก็ตอบตกลงเล่นหนังเรื่องนี้ด้วยความยินดี แม้จะเป็นหนังแอ็กชั่นทุนต่ำและมีความเกรด B สูงลิ่วไม่ต่างจากหนังเรื่องอื่นที่เขาเล่นแล้วเจ๊งมาก็ตาม
“ผมชอบตัวละคร จอห์น วิค และความเป็นแอ็กชั่นของมัน มันเป็นแอ็กชั่นที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึก และการสร้างโลกใหม่ที่น่าสนใจ” คีอานู รีฟ์ส พูดถึงการรับบทตัวละครที่จะเปลี่ยนชีวิตเขาในอนาคต พร้อมรับเงินค่าตัวเพียง 1-2 ล้านเหรียญสหรัฐ ในตอนนั้น
คืนชีพกับฉายา “บาบาเยก้า”
วันที่ 24 ตุลาคม 2014 เป็นวันดีเดย์ที่ John Wick ภาพยนตร์แอ็กชั่นเรื่องใหม่ของ คีอานู รีฟส์ เข้าฉายในอเมริกา และทยอยออกไปฉายในประเทศต่างๆ หลังจากนั้น หนังมาพร้อมกับพล็อตเรื่องง่าย ๆ เมื่อ จอห์น วิค นักฆ่าฝีมือฉกาจที่รับบทโดย คีอานู รีฟส์ ผู้รีไทร์จากการเป็นมือสังหารแห่งโลกมืด อยู่ในความเศร้าจากการสูญเสียภรรยา โดยภรรยาของเขาได้ทิ้งลูกสุนัขตัวหนึ่งไว้ให้เลี้ยงเป็นของดูต่างหน้า แต่หลังจากมีแก๊งผู้ร้ายซึ่งมีสมาชิกเป็นลูกชายของมาเฟียมาชิงรถของเขาและฆ่าลูกหมาตัวนั้น ทำให้ จอห์น วิค ตัดสินใจกลับมาจับปืนและออกไล่ล่าพวกมันเป็นการล้างแค้น (จนกลายเป็นมีมแซวกันว่า ถ้าไม่อยากตาย อย่าฆ่าหมา จอห์น วิค)
ด้วยพล็อตสไตล์หนังเกรดบี แต่ด้วยเนื้อเรื่องที่เต็มเปี่ยมอารมณ์บวกกับฉากแอ็กชั่นสุดดุเดือด การสวมบทบาทนักฆ่า “บาบาเยก้า” ในชุดสูทอันยอดเยี่ยมของ คีอานู รีฟส์ ทำให้ John Wick ที่ใช้ทุนสร้างเพียง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ กอบโกยรายได้จากทั่วโลกไป 88 ล้านเหรียญสหรัฐ อาจไม่ถึงกับถล่มทลาย แต่มันก็ทำให้ชื่อของ จอห์น วิค กลายเป็นตัวละครที่เข้าไปอยู่ในใจคอหนังแอ็กชั่นทั่วโลก พร้อมกับทำให้ คีอานู รีฟส์ กลับมามีชื่อเสียงในฮอลลีวูดอีกครั้ง
ความสำเร็จแบบไม่คาดฝันของ John Wick ภาคแรกทำให้ แชด สตาเฮลสกี ผู้กำกับ ดีเร็ก โคลสตัด คนเขียนบท และ คีอานู รีฟส์ แท็กทีมกลับมาลุยกันอีกในภาคต่อ John Wick: Chapter 2 ในปี 2017 ที่คราวนี้ยกระดับซีนแอ็กชั่นไปอีกขั้น โดยให้ จอห์น วิค ใช้ปืนผสมกับวิทยายุทธแบบยิวยิตสูและยูโดจับศัตรูเหวี่ยงพื้นแล้วลั่นไกปลิดชีพ ซึ่งมันได้ถูกเรียกว่าเป็นการต่อสู้สไตล์ “Gun-Fu” (พ้องกับ Kung-Fu) จนทำให้ John Wick กลายเป็นหนังแอ็กชั่นที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร และส่งต่อถึงภาคถัดไปคือ John Wick: Chapter 3 – Parabellum ในปี 2019 ที่มีการเพิ่มอาวุธของมีคม ดาบ และมีด เข้ามาในซีนแอ็คชั่น รวมถึงมีฉากขี่ม้าไล่ล่าที่สร้างสีสันความเร้าใจไปอีกระดับ
เมื่อนับรวมกันทั้ง 3 ภาค John Wick จึงกลายเป็นหนังแอ็กชั่นแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม 3 ภาครวมกันทำรายได้รวมทั่วโลก 2,220 ล้านเหรียญสหรัฐ จนต้องมีต่ออีกภาคคือ John Wick: Chapter 4 อันเป็นบทสรุปเรื่องราวการต่อสู้ของ จอห์น วิค ออกมาปิดฉากตัวละครเอกนี้ในปี 2023 และมันยังคงกวาดรายได้และคำชมจากนักวิจารณ์หนังมากมายเช่นเคย
กระนั้น John Wick จะกลายเป็นหนังแอ็กชั่นแฟรนไชส์ทรงคุณค่าแห่งยุคสมัยไม่ได้เลยหากไม่มี คีอานู รีฟส์ เป็นศูนย์กลางของเรื่อง ด้วยความทุ่มเทใส่ใจกับบทบาทของเขาแบบทุกมิติ การลงทุนไปฝึกวิชาป้องกันตัวทั้งยูโดและยิวยิตสู เรียนการใช้อาวุธปืนแบบต่าง ๆ ทั้งปืนสั้น-ปืนลูกซอง รวมถึงการฝึกขับรถและยิงปืนไปพร้อมกัน โดยเฉพาะภาค 4 ที่ คีอานู รีฟส์ ใช้เวลา 3 เดือนเต็มในการเทรนร่างกายและฝึกดริฟต์รถ 180-270 องศา พร้อมกับยิงปืนไปด้วย จนทำให้เขาเล่นฉากนี้ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งนักแสดงแทนในซีนแอ็กชั่นที่ปารีส สร้างความประทับใจให้กับทีมงานอย่างมาก
และอีกเรื่องที่ต้องให้เครดิต คีอานู รีฟส์ ก็คือการเปลี่ยนชื่อหนัง เพราะทีแรก John Wick มีชื่อหนังอย่างไม่เป็นทางการว่า Scorn แต่เพราะรีฟส์ไม่ชอบชื่อนี้ เวลาไปสัมภาษณ์สื่อช่วงถ่ายทำเขาก็เลยเอาชื่อตัวละครของตัวเองมาเรียกเป็นชื่อหนังไปเลย และเขาก็บอกนักข่าวว่ากำลังถ่ายหนังเรื่อง “จอห์น วิค” อยู่บ่อย ๆ ทีมงานจึงตัดสินใจเปลี่ยนชื่อหนัง Scorn ให้เป็น John Wick
“เหตุผลเดียวที่เราเรียกหนังว่า John Wick เพราะคีอานูเอาแต่เรียกชื่อหนังว่า John Wick” ดีเร็ก โคลสตัด มือเขียนบท John Wick เผยแบบติดตลก “มองในมุมการตลาดก็แบบ เฮ้ย นั้นมันช่วยโฆษณาหนังให้เราฟรี ๆ 4-5 ล้านเหรียญเลยนะ ชื่อหนังก็เลยเปลี่ยนเป็น John Wick และผมก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าเรายังใช้ชื่อ Scorn อยู่มันจะออกมาเป็นยังไง”
สิ่งที่ได้จาก John Wick
มองย้อนกลับไปจากจุดเริ่มต้นของการเป็นหนังแอ็กชั่นทุนต่ำที่หน้าหนังไม่ดึงดูดคนดูส่วนใหญ่ แถมนักแสดงที่มารับบทนำก็ไม่มีพลังเรียกคนดูวงกว้างแล้ว แต่กลับเป็น John Wick ที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตของ คีอานู รีฟส์ ในวัยเลข 5 อย่างแท้จริง เพราะหลังโด่งดังในบทมือสังหารแห่งองค์กรคอนติเนนทัล กลายเป็นว่านักแสดงชาวแคนาเดียนคนนี้มีงานแสดงเข้ามาแบบไม่ขาดสาย กลับมาครองใจแฟนหนังยุคใหม่ รวมถึงได้ปรากฏตัวเป็นตัวละครในวิดีโอเกมฟอร์มใหญ่ Cyberpunk 2077 ที่ทำให้แฟน ๆ กรี๊ดสนั่นเมื่อเขาปรากฏตัวแบบเซอร์ไพรส์บนเวทีในงาน E3 เมื่อปี 2019
ด้านวิชาการป้องกันตัว คีอานู รีฟส์ ก็ยังคงหาเวลาไปร่ำเรียนอยู่เสมอทั้งยูโดและยิวยิตสู โดยเฉพาะยูโดที่ปัจจุบันเขาเรียนจนได้รับสายดำ อันเป็นระดับขั้นที่ผู้ฝึกสอนให้การยอมรับว่ามีฝีมือดีและมีพื้นฐานที่แม่นยำ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถโชว์ลีลาการทุ่มแล้วยิงหัวศัตรูอันเป็นซิกเนเจอร์ของตัวละคร จอห์น วิค ได้ในแฟรนไชส์ John Wick
ทุกวันนี้หากคุณถามวัยรุ่นที่โตมากับยุคโซเชียลมีเดียครองเมือง หรือถามแฟนหนังแอ็กชั่นถึง คีอานู รีฟส์ คุณจะคิดถึงบทบาทจากหนังเรื่องอะไรมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่จะตอบตรงกันว่า จอห์น วิค ทั้งนั้น อันแสดงให้เห็นว่า คีอานู รีฟส์ ได้พาตัวละครนักฆ่าแห่งคอนติเนนทัลเข้าไปอยู่ในใจแฟน ๆ เรียบร้อย
และหากถามว่า คีอานู รีฟส์ ภูมิใจกับการรับบท จอห์น วิค มากขนาดไหน คำพูดของเขาที่บอกกับทีมงานหลังเสร็จสิ้นการถ่ายทำซีนสุดท้ายของเขาใน John Wick: Chapter 4 ก็แสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดี และหนังภาคนี้ยังเป็นการปิดฉากเรื่องราวการเดินทางล้างแค้นสุดแสนยาวนานของ “บาบาเยก้า” อีกด้วย
“ผมดีใจที่ได้พบกับผู้คนดี ๆ มากมาย และทีมงานมากฝีมือ ขอขอบคุณสำหรับแรงสนับสนุนทั้งหมดที่คุณมอบให้ครับ” คีอานู รีฟส์ กล่าวขอบคุณทีมงาน ผู้สร้าง และแฟนหนังที่เชื่อมั่นและมอบความรักให้กับเขาเสมอมาจนถึงทุกวันนี้
แหล่งอ้างอิง
https://blackbeltmag.com/keanu-reeves-learns-judo-and-jujitsu-for-his-new-movie-john-wick
https://www.gluckman.com/Matrix.htm
https://variety.com/2023/film/news/keanu-reeves-john-wick-4-training-three-months-car-stunts-1235532559/
https://comicbook.com/movies/news/john-wick-different-movie-name-keanu-reeves-messed-up/