Feature

วิถีชายหนุ่ม : มวย เฮมมิงเวย์ และปรัชญาของผู้ไม่พ่ายแพ้ | Main Stand

เจ้าชู้ ดื่มหนัก คลั่งไคล้การต่อสู้ นี่คงเป็นนิยามที่สั้นที่สุดเมื่อจะพูดถึง เออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์ นักเขียนรางวัลโนเบลคนสำคัญชาวอเมริกัน ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่องานวรรณกรรม

 


ชีวิตของเฮมมิงเวย์โลดโผน พิสดาร และเจ็บปวดอย่างขื่นขม เขาเคยผ่านสงครามมาแล้วอย่างโชกโชน เป็นนักตกปลาเลือดเย็นที่ชอบดูการสู้วัวกระทิงเป็นชีวิตจิตใจ อีกทั้งยังเป็นนักกีฬาตัวยงผู้หลงใหลศิลปะการต่อสู้รวมถึงความตื่นเต้นบนสนามฟุตบอล และยังเป็นนักมวยโดยจิตวิญญาณที่พร้อมจะตะบันหมัดเข้าใส่คู่ต่อสู้โดยไม่ลังเล ซึ่งเขาได้นำบทเรียนจากการผจญชีวิตมาเขียนลงในหนังสือทุกเล่มของตัวเอง

แต่กระนั้นเฮมมิงเวย์ไม่ใช่นักชกฝีมือฉกาจ เขาเป็นนักเขียนมากกว่าจะเป็นนักมวย จนมีคนถากถางว่า "แกสมควรชกในบาร์มากกว่าชกบนเวที" 

แต่ความลุ่มหลงในการชกมวยทำให้เฮมมิงเวย์ได้ค้นพบบางสิ่ง มันคือปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ที่แฝงเสน่ห์อันนุ่มนวลบนความเจ็บปวดที่ยาวนาน หากท่านอยากรู้วิถีปรัชญาแห่งชีวิตของนักเขียนผู้นี้ไม่ต่างกัน ติดตามได้ที่ Main Stand

 

สงครามชีวิต

เออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์ (Ernest Hemingway) เกิดเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 1899 ในครอบครัวชนชั้นกลางย่านโอ๊กปาร์ก (Oak Park) ใกล้เมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

ครอบครัวของเฮมมิงเวย์มีบ้านพักฤดูร้อนอยู่ริมทะเลสาบแห่งหนึ่งในรัฐมิชิแกน มันเป็นสถานที่ซึ่งเขาได้ฝึกฝนวิชาตกปลาจาก คลาเรนซ์ เฮมมิงเวย์ บิดาผู้รักธรรมชาติเป็นชีวิตจิตใจ และมักสอนสั่งให้บุตรชายฝึกฝนการล่าสัตว์อยู่เป็นประจำ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากอายุ 10 ขวบ เด็กชายจะได้รับปืนลูกซองเบอร์ 20 เป็นของขวัญวันเกิด

เกรซ มารดาของเขา เป็นนักดนตรีผู้มีพรสวรรค์ จึงพยายามเคี่ยวเข็ญให้บุตรชายหัดเล่นดนตรี แต่เฮมมิงเวย์รู้ดีว่า เขาชอบชกตอยมากกว่าดีดสายเชลโล่ ดังนั้นทุกครั้งที่แม่เผลอเขาจะเปลี่ยนห้องซ้อมดนตรีให้เป็นเวทีมวยทันที ซึ่งเขามักจะชวนเพื่อนที่มีปัญหาทะเลาะวิวาทมาชกตอยที่นี่เป็นประจำ

อีกทั้งในช่วงวัยเด็ก เขามักจะโพสท่าถ่ายรูปเลียนแบบ จอห์น แอล. ซัลลิแวน (John L. Sullivan) นักชกแชมป์เฮฟวี่เวตผู้ไม่สวมนวมคนสุดท้ายของสหรัฐอเมริกา เขาจริงจังถึงขนาดเคยเข้าไปศึกษาวิชามวยอย่างมุ่งมั่นกับครูมวยในท้องถิ่น และยังเคยฝันอยากเป็นนักมวยอีกด้วย

ด้วยพื้นฐานในวัยเด็กที่ค่อนข้างโลดโผน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เฮมมิงเวย์จะหลงใหลความตื่นเต้นจากการได้ต่อสู้ สิ่งนั้นนำพาให้เขาเข้าร่วมสงครามถึงสามครั้งคือ สงครามโลกครั้งที่ 1 ในเดือนธันวาคม ปี 1917, สงครามกลางเมืองที่สเปน ปี 1937 และ สงครามโลกครั้งที่ 2 ปี 1944 ซึ่งเขาไม่มีความจำเป็นต้องเข้าร่วมรบเลยแม้แต่น้อย

ผลจากการเข้าร่วมสงครามทำให้เขาเกือบเสียขาจากแรงระเบิด เมื่อครั้งเป็นอาสาสมัครขับรถพยาบาลให้สภากาชาดอเมริกันในอิตาลีเขาก็เคยถูกยิงจนบาดเจ็บสาหัส พิษของบาดแผลทำให้เขาหมดสติไปหลายวัน เขายังร่วมสังเกตการณ์สงครามอย่างบ้าบิ่นโดยไม่กลัวตาย ซึ่งความกล้าหาญดังกล่าวทำให้เขาได้รับเหรียญกล้าหาญในเวลาต่อมา

เฮมมิงเวย์จะไม่ยอมพลาดช่วงเวลาอันมีค่าสำหรับการสรรหาวัตถุดิบสำคัญในการเขียนหนังสือของตัวเองอย่างแน่นอน แม้ว่าสงครามจะทำให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตและบาดเจ็บเจียนตายหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยหลาบจำ

ความเป็นนักสู้จึงแฝงอยู่ในทุกอณูของร่างกาย มันคือวิถีแห่งชายชาตรีสำหรับเขา และมันกลายมาเป็นแกนหลักในการสร้างงานเขียนที่เต็มไปด้วยท่วงทำนองไม่เหมือนใคร

 

ผูกถุงมือแล้วขึ้นเวที

ด้วยความที่มีบิดากับมารดาเป็นปัญญาชนที่ได้รับการนับหน้าถือตาในท้องถิ่นทำให้เฮมมิงเวย์มีนิสัยรักการอ่านโดยธรรมชาติ เขาเริ่มเขียนงานลง The Tabula หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ผลงานชิ้นแรก ๆ ของเขา มีเนื้อหาเกี่ยวกับการชกตอยแทบทั้งสิ้น แม้ว่าทักษะการชกมวยของเฮมมิงเวย์จะไม่โดดเด่นเหมือนกับทักษะงานเขียน แต่เฮมมิงเวย์ก็กล่าวถึงมันว่า

"งานเขียนของผมมันธรรมดา แต่การชกมวยคือจิตวิญาณของผม"

เขาเคยเสนอเงินจำนวน 250 ดอลลาร์สหรัฐ ให้ชาวพื้นเมือง 4 คน เป็นรางวัลสำหรับใครก็ตามที่สามารถน็อกเขาได้ภายในสามยก แต่ชาวพื้นเมืองเหล่านั้นกลับถูกน็อกไปอย่างง่ายดาย

เฮมมิงเวย์มั่นใจในฝีมือของตัวเองถึงขนาดกล้าท้าชกกับ แจ็ค เดมป์ซีย์ (Jack Dempsey) นักชกอเมริกันชนผู้ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น แต่ถูกเดมป์ซีย์ปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า

"เฮมมิงเวย์กำลังเสียสติ เขาคิดว่าสามารถชกมวยได้ เพื่อล้มเขาผมต้องชกจนเขาน็อกหรือไม่ก็ทำร้ายเขาอย่างหนัก ผมไม่อยากทำแบบนั้น มันคือสาเหตุที่ผมไม่อยากชกกับเขา"

ในปี 1936 ขณะที่เฮมมิงเวย์อาศัยในคีย์เวสต์ รัฐฟลอริดา เขามีงานอดิเรกเป็นกรรมการตัดสินมวยของย่าน บาฮามา วิลเลจ และช่วงเวลาแห่งความทรงจำก็เกิดขึ้น ในไฟต์ที่ อัลเฟรด "แบล็คพาย" โคลบรูกส์ (Alfred "Black Pie" Colebrooks) สู้กับ คิวแบน โจ มิลส์ (Cuban Joe Mills) ซึ่งโคลบรูกส์ถูกคู่ชกไล่ต้อนบนผืนผ้าใบซ้ำแล้วซ้ำเล่า จน มิต "ไชน์" ฟอร์บส์ (Kermit "Shine" Forbes) คู่ซ้อมของโคลบรู็กส์เห็นท่าไม่ดีจึงโยนผ้าขาวไปที่กลางเวทีเพื่อเป็นการยอมแพ้ถึง 4 ครั้ง แต่กลับถูกกรรมการผู้ตัดสินที่เป็นชายรูปร่างสูงใหญ่โยนออกมาคืนทุกครั้ง

ฟอร์บส์โกรธมากแล้วกระโจนลงไปชกผู้ตัดสินกลางเวที ผู้ตัดสินก็ชกกลับคืนอย่างไม่ลังเล ทั้งสองชกกันได้ครู่หนึ่ง ตำรวจก็เข้ามาแยกออกจากกัน

"ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร" ฟอร์บส์กล่าว "เขาตัวใหญ่ แต่กวนประสาทเป็นบ้า"

หลังจากกลับมาถึงบ้าน แม่ของฟอร์บส์ก็เล่าให้ฟังว่าผู้ตัดสินที่เขาเพิ่งมีปัญหาชกตอยด้วยนั้นคือนักเขียนอุโฆษนามว่า เออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์ พอทราบความฟอร์บส์จึงรีบตะบันเท้าไปที่บ้านของเฮมมิงเวย์เพื่อขอโทษเขาทันที

"เออร์เนสต์ยิ้ม เขาจับมือผม บอกเพียงว่าวันหลังให้มาซ้อมมวยด้วยกัน จากนั้นเราก็กลายเป็นทั้งคู่ซ้อมมวย และเป็นเพื่อนสนิทที่รู้ใจกันมากที่สุด" ฟอร์บส์ กล่าวในเวลาต่อมา

 

ศิลปินเหมือนกับนักกีฬา

วีรกรรมเกี่ยวกับการชกตอยของเฮมมิงเวย์ยังมีอีกมาก ซึ่งถ้าหากมองอย่างผิวเผินแล้ว เราอาจเข้าใจได้ว่าเขาเป็นคนที่ชอบมีเรื่องทะเลาะวิวาทอยู่เป็นประจำ แต่มีบางสิ่งที่ละเอียดอ่อนกว่านั้นมาก เพราะนี่คือหนึ่งในกระบวนการดื่มดำทางปัญญาที่ทำให้เขาได้เข้าใจก้นบึ้งของตัวละครอย่างถ่องแท้

สำหรับเฮมมิงเวย์ กีฬาคือความโรแมนติกอย่างหนึ่ง มันคือความพากเพียรเพื่อแลกกับสิ่งที่เรียกว่า "ความสำเร็จ"

เฮมมิงเวย์คิดอยู่เสมอว่า ศิลปินก็เหมือนกับนักกีฬา ที่ต้องหมั่นฝึกฝนด้วยความมุ่งมั่นเพื่อพัฒนาฝีมือของตัวเองอยู่เป็นประจำ

ศิลปินจะต้องเข้มงวดกับตัวเองอย่างมีระเบียบวินัย ซึ่งในช่วงเวลาฝึกฝนพวกเขาจำเป็นต้องทุ่มเทให้กับงานศิลปะของเขาอย่างกล้าหาญและอดทนเพื่อตระหนักในสิ่งที่พวกเขารู้สึกอย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นความคิดแบบอุปาทานว่าเขาควรรู้สึกอะไร ศิลปินต้องทดลองลงสังเวียนจริงอย่างกล้าหาญดูสักครั้ง เหมือนกับที่เฮมมิงเวย์กล่าวไว้ว่า

"ผมชอบให้ใครสักคนเหวี่ยงหมัดมาที่ผม มันจะช่วยให้ผมเขียนเกี่ยวกับความรู้สึกเจ็บปวดได้ดีที่สุด"

ชีวิตส่วนตัวของเฮมมิงเวย์จึงเป็นการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ มันเต็มไปด้วยการตกปลา ล่าสัตว์ สู้วัวกระทิง ไปรบในสงคราม และการได้รับบาดเจ็บสาหัสจากทั้งทางบกและทางอากาศหลายครั้ง

อาจกล่าวได้ว่าร่างกายของเขาต้องกรำศึกมาอย่างโชกโชน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในงานเขียนของเขาจะเต็มไปด้วยเนื้อหาที่ดูคล้ายจะเป็นประสบการณ์ชีวิตของตัวเขาเอง เช่นในเรื่อง A Farewell to Arms (รักระหว่างรบ) ที่เป็นนวนิยายกึ่งอัตชีวประวัติของเขาเองในขณะเป็นอาสาสมัครขับรถพยาบาลในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1

หรือความรู้เรื่องการสู้วัวกระทิงที่สามารถเห็นจาก The Sun Also Rises (หัวใจโลกีย์) เช่นเดียวกับความรู้เรื่องการตกปลาใน The Old Man and the Sea (ชายเฒ่ากลางทะเลลึก) รวมถึงผลงานชิ้นอื่น ๆ ที่ทำให้เหล่านักอ่านและนักวิจารณ์หลายคนมองว่า เฮมมิงเวย์ เป็นตัวละครที่เขาสร้างขึ้นสำหรับนิยายของเขาเองโดยเฉพาะ

 

ชีวิตถูกทำลายได้ แต่ต้องไม่แพ้

กระนั้นความหมกมุ่นเกี่ยวกับความรุนแรง สงคราม และปัญหาด้านสุขภาพ รวมไปถึงความบอบช้ำจากการกรำศึกแห่งชีวิตเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เฮมมิงเวย์ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เขาต้องพักฟื้นเป็นเวลานานและต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

2 กรกฎาคม 1961 เฮมมิงเวย์ตัดสินใจปลิดชีพตัวเองกลางบ้านพักด้วยปืนลูกซองที่ใช้ล่าสัตว์ ศพของเขาถูกฝังอยู่ในเมืองเคตชูม รัฐไอดาโฮ ทางตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา

เออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์ เป็นนักเขียนที่ขึ้นชื่อเรื่องเทคนิคการเขียนที่สั้น กระซับ แต่เต็มไปด้วยชั้นเชิงระดับสูง เขาได้รับรางวัลพูลิตเซอร์จากนวนิยายเรื่อง The Old Man and the Sea (ชายเฒ่ากลางทะเลลึก) ในปี 1953 และได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรมในปี 1954 จากเรื่องเดียวกัน

วรรณกรรมของเฮมมิงเวย์มีเรื่องยาว 6 เรื่อง และ เรื่องสั้น 50 กว่าเรื่อง ส่วนใหญ่ได้รับความนิยมทั้งในอเมริกาและยุโรป สร้างความมั่งคั่งให้เขาตลอดการมีชีวิตอยู่ โดยมีผลงานที่โดดเด่น เช่น A Farewell to Arms (รักระหว่างรบ), The Sun Also Rises (หัวใจโลกีย์), For Whom the Bell Tolls (ศึกสเปน), Death in the Afternoon (ความตายในช่วงบ่าย) และ The Old Man and the Sea (ชายเฒ่ากลางทะเลลึก) 

โดยเฉพาะผลงานเรื่อง The Old Man and the Sea ที่ได้สอดแทรกปรัชญาแนวคิดของเขาไว้อย่างล้ำลึก แม้เฮมมิงเวย์จะกล่าวว่า "ผมเขียนเรื่องนี้โดยไม่ได้คิดเรื่องปรัชญาอะไรเลย"

The Old Man and the Sea เป็นเรื่องราวของ ซานติอาโก ชายแก่ชาวคิวบา ผู้จับปลาไม่ได้มานานกว่าแปดสิบสี่วัน แต่เขาก็ไม่เคยสูญสิ้นความเชื่อมั่นเกี่ยวกับฝีมือการจับปลาของตัวเอง ในวันที่แปดสิบห้า เขาออกจับปลาอีกครั้ง ก่อนจะได้ปลาตัวใหญ่ที่สุดในชีวิต เขาถูกปลาลากออกไปกลางทะเลลึกและต้องต่อสู้กับมันอยู่นานถึงสามวัน เป็นการต่อสู้ที่โดดเดี่ยวและอ้างว้าง แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ เมื่อเขาสู้จนชนะ แทนที่จะได้ของขวัญตอบแทนความมุ่งมั่นของตัวเองกลับถูกฝูงฉลามรุมกินเนื้อปลาจนหมด สุดท้ายจึงทำได้แค่พายเรือกลับเข้าฝั่ง ทิ้งไว้เพียงวีรกรรมความกล้าหาญที่โลกมองไม่เห็นเท่านั้น

ฟังดูอาจเป็นแค่เรื่องราวของชาวประมงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่เฮมมิงเวย์นำเสนอนั้นสอดแทรกมุมมองทางปรัชญาชีวิตที่แหลมคม ซึ่งอัดแน่นอยู่ในทุกบรรทัดของงานเขียนได้อย่างแนบเนียน

เฮมมิงเวย์เขียนไว้ว่า

"ชายคนหนึ่ง อาจตายแบบง่าย ๆ ในโลกที่ปราศจากคุณค่าทั้งหมด"

เป็นถ้อยคำที่จริงใจและสัตย์ซื่อที่สุด มันสื่อได้ว่าโลกโหดร้ายเกินกว่าจะสนใจความทุกข์ยากของแต่ละคน วีรกรรมที่มนุษย์สร้างขึ้นล้วนผ่านไปโดยที่ไม่มีใครมองเห็น

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ความกล้าหาญและเกียรติยศต่าง ๆ จึงเป็นเพียงเรื่องขบขันอันน่าเศร้าที่เราต้องเผชิญหน้ากับมันอย่างกล้าหาญ มันช่วยให้เขาตกผลึกและเข้าใจความหมายของประโยคที่เขาเขียนขึ้นมาว่า

"มนุษย์ ถูกทำลายได้ แต่ต้องไม่แพ้"

แม้เฮมมิงเวย์จะเป็นนักกีฬาโดยจิตวิญญาณและต้องนำร่างกายเข้าไปเผชิญความเสี่ยงหลายครั้งเพื่อให้เข้าใจความรู้สึกของตัวละครให้ได้มากที่สุด

กระนั้นสิ่งที่ค้นพบกลับเป็นอภิปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือการต่อสู้บนสังเวียนแห่งชีวิตที่เจ็บปวด ยาวนาน และโดดเดี่ยวโดยไม่มีใครเข้าใจ มีเพียงความอดทนอดกลั้นอย่างใจเย็นเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จของชีวิต แม้ว่าความสำเร็จนั้นจะอยู่ในโลกที่ไม่มีใครมองเห็นก็ตาม

แต่อย่างน้อยการต่อสู้ก็ทำให้ได้ชื่อว่า เป็นผู้ไม่แพ้พ่ายแก่หัวใจตัวเอง


 
แหล่งอ้างอิง

https://lithub.com/my-boxing-is-everything-on-trying-to-punch-like-ernest-hemingway/
https://www.philstar.com/sports/2019/02/19/1894907/ernest-hemingways-love-affair-boxing
https://www.englishliterature.info/2022/02/ernest-hemingways-philosophy-theme.html
https://thesmolt.com/hemingways-philosophy-of-life-in-the-old-man-and-sea/
https://en.wikipedia.org/wiki/Ernest_Hemingway
https://fla-keys.com/keysvoices/the-unforgettable-shine/

Author

ณัฐพงศ์ อินต๊ะริด

Main Stand's author

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

ปริญญา คงปันนา

กราฟฟิคหน้าโหด ทำงานด้วย Passion ว่างๆ ชอบไปคาเฟ่ หลงไหลในศิลปะ, การเดินทางและกีฬา