"ผมบอกเลยนะครับ เป้าหมายที่ผมมาที่นี่คือพาทีมคว้าแชมป์เอเชียน คัพ ให้ได้"
ข้างต้นคือคำประกาศกร้าวของ เยอร์เกน คลินส์มันน์ (Jürgen Klinsmann) กุนซือป้ายแดงของทีมชาติเกาหลีใต้ ซึ่งไปสอดคล้องกับที่พลพรรค "โสมขาว" ร้างราแชมป์รายการนี้ไปนานถึง 63 ปี ทั้งยังเป็นการหวนกลับมาใช้บริการหัวเรือใหญ่สัญชาติเยอรมันอีกครั้ง หลังจากปี 2014-17 เคยใช้ อูลี สติลิเก้ (Uli Stielike) ที่พาไปได้ไกลที่ตำแหน่งรองแชมป์เอเชียน คัพ ในปี 2015
กระนั้นความน่าสนใจอยู่ตรงที่ ประวัติงานโค้ชทั้งชีวิตของคลินส์มันน์กลับมีความ "ขึ้นสุดลงมิด" เหวี่ยงเร็วและแรง เหมือนเส้นกราฟแบบฟันปลาที่ซิกแซกไปมาอย่างมาก นับตั้งแต่เริ่มจ็อบแบบประสบการณ์เป็นศูนย์กับ เยอรมนี ตกต่ำที่ บาเยิร์น มิวนิค พุ่งทะยานแบบสุดเส้นกับสหรัฐอเมริกา มาตกทุกข์กับ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน ก่อนที่จะกลับมาสู่เส้นทางอีกครั้งกับ เกาหลีใต้
ร่วมย้อนรอยฉลองการกลับมารับจ๊อบอีกครั้งของแข้งฉายา "ฉลามขาว" ไปพร้อมกับ Main Stand
เปิดซิงก็รุ่ง+ริ่งเลย
ในด้านของการเป็นนักเตะของคลินส์มันน์ ไม่มีใครในโลกนี้ตั้งแง่สงสัยในความฉกาจฉกรรจ์ เพราะเจ้าของแชมป์โลก 1990 และ ยูโร 1996 รวมถึงรางวัลส่วนตัวอีกมากมายก็เกินพอในการยกฐานะสู่ "ตำนาน" หากแต่ในด้านการกุมบังเหียนข้างสนามกลับมีคำถามมากมาย
เพราะการ "เปิดซิง" คุมทัพของเขาก็ได้คุม "ทีมชาติเยอรมนี" เลย ซึ่งน้อยคนที่จะมีวาสนาได้รับจ๊อบกับยอดทีมทั้งที่ค่าประสบการณ์ยังเป็น 0 เฉกเช่นเขา และที่พีกไปกว่านั้นคือในทัวร์นาเมนต์แรกอย่างคอนเฟดเดอเรชั่น คัพ 2005 เขาก็นำพลพรรค "อินทรีเหล็ก" เข้าป้ายอันดับที่ 3 โดยเสมอ อาร์เจนตินา ในรอบแบ่งกลุ่ม รวมถึงแพ้ บราซิล ในรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะชนะ เม็กซิโก แบบหืดจับในแมตช์ชิงที่ 3 ช่วงต่อเวลา ซึ่ง ณ ตอนนั้นมีแต่คำครหาว่าได้เหรียญคล้องคอมาแบบโชคช่วย เพราะชนะได้แต่ทีมไม้ประดับ
แต่นั่นก็แค่ "เผาหัว" เพราะของจริงเกิดขึ้นในอีกปีถัดมา ฟุตบอลโลก 2006 ในมาตุภูมิของเขา แน่นอนว่าแม้จะเป็นทีมเต็ง แต่แฟนบอลเองก็แอบเสียวเล็กน้อย เพราะมีเสียงวิจารณ์เรื่องการเลือกตัวนักเตะอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนข่าวลือข่าวหลุดว่าบรรดานักเตะ "เหม็นหน้า" เขาอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหักด้ามพร้าด้วยเข่า เปลี่ยนผู้รักษาประตูตัวจริงจาก โอลิเวอร์ คาห์น เป็น เยนส์ เลห์มันน์ ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มไม่นาน
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์กลับออกมาดีเกินคาด ทีมอินทรีเหล็กชุดนี้ไปได้ไกลถึงอันดับ 3 กลบเสียงวิจารณ์จากนานาสำนักได้สนิท ทว่าเรื่องช็อกก็มาอีก เมื่อคลินส์มันน์ประกาศลงจากตำแหน่ง เลือกส่งไม้ต่อให้ โยอาคิม เลิฟ ผู้ช่วยในทีมชุดดังกล่าวสานงานต่อแทน
"หลังจากสองปีที่ทุ่มสุดพลัง ผมไม่มีเรี่ยวแรงในการไปต่อแล้วครับ จากนี้ผมขอไปใช้ชีวิตธรรมดา ๆ กับครอบครัวละกัน"
อย่างไรก็ตาม ในปี 2008 บาเยิร์น มิวนิค ตัดสินใจทาบทามเขาให้เข้ามาเป็นเฮดโค้ช เพื่อสานต่อความสำเร็จในฤดูกาลที่ผ่านมาที่ ออตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ สามารถนำทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ อีกทั้งเขายังเป็น "เด็กเก่า" ที่เคยรังสรรค์ความสำเร็จให้พลพรรค "เสือใต้" มาสารพัด ในช่วงปี 1995-97 ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความสัมพันธ์อันดีกับบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ เขาจึงรับจ๊อบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
กระนั้นจากที่กำลังพุ่งทะยานฟ้า บาเยิร์นกลับร่วงลงมาสู่ดินแบบเหลือจะเชื่อ ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากการคุมทัพเยอรมนีก่อนหน้าที่นักเตะส่วนมากไม่ชอบเขาเป็นทุน และนักเตะเหล่านั้นอยู่ในบาเยิร์นเสียเกือบค่อนทีม โดยเฉพาะ ฟิลลิป ลาห์ม กัปตันทีม ที่ไม่ถูกกับเขาเป็นพิเศษ และมีการเปิดเผยในอัตชีวประวัติของลาห์มภายหลังว่า "เขา (คลินส์มันน์) เป็นความอัปยศอย่างมาก บ้าเรื่องความฟิต ความรู้ทางแทคติกเป็นศูนย์ ปล่อยให้พวกเรานั่งล้อมวงกันประชุมเพื่อตกลงแทคติกหน้างานกันเองล้วน ๆ"
ซึ่งก็แน่นอนว่าวีรกรรมขนาดนี้ คลินส์มันน์จึงกระเด็นตกเก้าอี้อย่างไวในเดือนเมษายน 2009 หลังจากหมดลุ้นทุกถ้วย โดยให้ จุปป์ ไฮย์เกส เข้ามารับเผือกร้อนแทนที่ พร้อมกับคำอำลาของ อูลี เฮอเนส ซีอีโอของสโมสร ความว่า "พวกเรา (บาเยิร์น) มีเป้าหมายขั้นต่ำที่จะไปให้ถึงในฤดูกาลนี้ แต่เมื่อไปไม่ถึงเราก็ต้องดำเนินการขั้นต่อไปโดยการแยกทางกัน … พวกเราขอบคุณเขา (คลินส์มันน์) อย่างมาก ขอให้โชคดีในอนาคตต่อ ๆ ไป"
ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าคลินส์มันน์ได้กลับไปอยู่กับลูกกับเมียเป็นเวลาเกือบปีอีกครั้ง และก็เหมือนฉายภาพยนตร์ม้วนเดิม เพราะทีมชาติ "สหรัฐอเมริกา" ได้ติดต่อเขามาให้ไปคุมทัพ แต่ใครเลยจะรู้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวทำให้เขาสามารถแจ้งเกิดในฐานะโค้ชได้อย่างเต็มตัว
เปลี่ยนลุงแซมให้แจ่มแมว
แต่ไหนแต่ไร อเมริกาถือได้ว่าเป็นทีมใหญ่ที่ "ใหญ่ไม่จริง" ไม่เหมือนศักยภาพทางการเป็นมหาอำนาจของโลกในเรื่องอื่น ๆ เนื่องจากเก่งแต่ในทวีปของตนเอง เวลาไปปะทะประชันกับบรรยายักษ์ใหญ่จากยุโรปหรือละตินอเมริกาก็เป็นอันต้องชีช้ำกะหล่ำปลีอยู่เสมอ หรือแม้แต่การเจอกับเพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโก ก็ยังแทบจะสูสีกินกันไม่ลงเสียด้วยซ้ำ
แต่สิ่งเหล่านี้กลับเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นประมาณหนึ่ง เมื่อมีชายที่ชื่อว่าคลินส์มันน์ เพราะเมื่อเหยียบลงบนผืนแผ่นดินแห่งเสรีภาพไม่ถึงปี เขากลับพาทีมคว้าชัยในเกมอุ่นเครื่องเหนือ อิตาลี ไป 1-0 ก่อนที่จะบุกไปเก็บชัยเหนือ เม็กซิโก คาบ้าน ณ เอสตาดิโอ อัซเตกา ไป 1-0 ซึ่งถือเป็นชัยชนะแรกของพลพรรค "ลุงแซม" ในสนามแห่งนี้อีกด้วย
โดยในรายละเอียด เขาได้ใส่แทคติกแบบ "เพชฌฆาต" ลงไปในทีม เปลี่ยนจากแต่เดิมที่เน้นตั้งรับรอสวนและชนะสกอร์ต่ำให้มาเป็นทีมที่ฆ่าไม่ยั้ง โดยมีผลออกมาในลักษณะสกอร์สูง เช่น ชนะ กัวเตมาลา 3-1 ชนะ สกอตแลนด์ ไป 5-1 ในปี 2012 รวมไปถึง ชนะ เยอรมนี 4-3 ในปี 2013 และที่สำคัญ ถือได้ว่าสามารถลบคำครหาจากลาห์มไปได้อย่างสิ้นเชิง
เท่านั้นยังไม่พอ ในปี 2013 เขายังพาอเมริกาเถลิงบัลลังก์ โกลด์ คัพ ไปแบบยิ่งใหญ่ โดยชนะ ปานามา ไป 1-0 หลังจากที่รอมาถึง 6 ปี พร้อมทำสถิติไม่แพ้เม็กซิโกตลอดรอบปีปฏิทิน
ยิ่งไปกว่านั้น ในฟุตบอลโลก 2014 เขายังพาอเมริกาโบกธงชัยผ่านกลุ่มจี ซึ่งเป็นกลุ่มแห่งความตาย ที่มีทั้ง เยอรมนี โปรตุเกส และ กานา ไปได้อย่างพลิกความคาดหมาย โดยจบอันดับที่ 2 มีลูกได้เสียเหนือกว่า โปรตุเกส โดยมี 4 คะแนนเท่ากัน แต่น่าเสียดายที่ไปแพ้ เบลเยียม ในช่วงต่อเวลาไป 1-2
แม้ในทัวร์นาเมนต์จะมีข้อครหาว่าทีมชุดนี้เน้นหนักแต่พวก "เยอรมันจำแลง" เพราะได้ไปโอนสัญชาติพวกที่เป็นลูกครึ่ง ลูกเสี้ยว หรือพวกที่อาศัยอยู่เยอรมนีมาลงสนามในสีเสื้อของอเมริกาหลายคน แถมยังไม่ยอมหิ้ว แลนดอน โดโนแวน สตาร์ตัวเก๋าติดทีมมาด้วย เขาจึงโดนบ่นอุบไปว่า "เยอร์เกน อเมริกัน" เพื่อเป็นการแซะว่า "ตกลงนี่ทีมชาติอเมริกาหรือเยอรมนีสาขาสองกันแน่ ?"
ด้วยผลงานขนาดนี้ จะว่าเป็นการ "แจ้งเกิด" แบบระเบิดเถิดเทิงไม่ต่างจากสมัยเป็นนักเตะก็ว่าได้ แม้จะไม่ได้อยู่ในสปอตไลต์มากมายก็ตาม กระนั้นเมื่อแจ้งเกิดไปแล้วยังไม่ทันจะเติบโตตามระยะ กลับเป็นการ "เตรียมแจ้งฌาปนกิจ" ตัวเขาไปเสียเฉย ๆ
ตีบตันและตกยุค
โกลด์ คัพ ปี 2015 อเมริกาลงป้องกันแชมป์ แต่กลับทำผลงานได้อย่างกระท่อนกระแท่นมาตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ไปจนถึงการพ่ายแพ้ต่อ จาเมกา ทีมรองบ่อนที่แพ้มาตลอดไป 1-2 ในรอบรองชนะเลิศแบบเหวอกันทั้งประเทศ (จาเมกาชุดนั้นคุมทัพโดย วินฟรีด เชเฟอร์ อดีตกุนซือทีมชาติไทย) แถมยังจบที่ 4 โดยการแพ้จุดโทษให้กับ ปานามา ไป 2-3 อีกด้วย
มิหนำซ้ำยังไปออกแนวเมาหมัด หนักถึงขั้นที่ ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนคอนคาเคฟ เขาก็พาพลพรรค "พญาอินทรีย์" แพ้ต่อ เม็กซิโก 1-2 และที่งามไส้จริง ๆ คือการบุกไปแพ้ คอสตาริกา ถึง 0-4 ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องที่อับอายขายขี้หน้าอย่างมาก แม้ช่วงกลางปีเขาจะพาทีมคว้าอันดับที่ 3 ในศึกโคปา อเมริกา เซนเทนาริโอ ในแผ่นดินตนเองก็ตาม
และแน่นอนว่าเขาโดนไล่ออกไปตามระเบียบในปี 2016 แต่ที่น่าพิจารณาคือ ในระยะหลังเขามีวิถีการทำทีมที่แตกต่างไปจากเดิมที่เคยทำผลงานสุดสะเด่าอย่างมาก เพราะถึงแม้จะมีวันเดอร์คิดระดับเขย่าบุนเดสลีกาอย่าง คริสเตียน พูลิซิซ ลงสนามด้วยความสง่าก็ตาม แต่เหมือนว่าบทบาทในทีมกลับจืดจางทั้งที่แทบจะเทพที่สุด ณ ขณะนั้น คลินส์มันน์กลับไปให้ความสำคัญกับ เยอร์เมนส์ โยนส์ กองกลางลูกรักที่วัยโรยราแล้วมากกว่า
และที่สำคัญ เขายังได้รับคำวิจารณ์ว่า "ตกยุค" ไม่มีการพัฒนา ฟุตบอลเกมบุกเป็นสิ่งที่มาถูกทาง แต่ในรายละเอียดคือบุกลูกเดียวโดยไม่มีการวางตำแหน่งในการยืนเกมรับหรือการเพรสซิ่งใด ๆ ดังนั้น เวลาบุกแล้วจบสกอร์ไม่ได้จึงโดนสวนกลับและพ่ายแพ้บ่อยครั้งอย่างที่เป็น และเรื่องดังกล่าวยังเป็นผลพวงทำให้อเมริกาพลาดตั๋วฟุตบอลโลก 2018 ไปอย่างน่าเหลือเชื่อ
และคราวนี้เรียกได้ว่าเขากลับไปอยู่กับลูกกับเมียนานถึง 3 ปีเลยทีเดียว ก่อนจะมีดีลจาก "แฮร์ธ่า เบอร์ลิน" ในช่วงกลางฤดูกาล 2019-20 ให้เขาไปช่วยกู้วิกฤตของทีมที่กำลังจมดิ่งอยู่ในโซนตกชั้นของบุนเดสลีกา แน่นอนว่าเมื่อมีจ๊อบเข้ามาและได้กลับมาตุภูมิ ใครเลยจะไม่อยากรับไว้
แม้พิจารณาจากตารางคะแนนเพียว ๆ จะพบว่า เขาพาพลพรรค "หญิงชรา" ขึ้นมาหายใจหายคอเหนือโซนตกชั้นได้เปลาะหนึ่ง แต่ในรายละเอียดก็เหมือนเดจาวู เพราะบรรดานักเตะเริ่มประท้วงเงียบใส่คลินส์มันน์เหมือนที่เคยเกิดขึ้นอีกแล้ว
อีกทั้งเขายังถูกแฟนบอลโจมตีว่า มีเพชรเม็ดงามอยู่กับตัวอย่าง คริสตอฟ ปิยอนเท็ค (Krzysztof Piątek) อดีตศูนย์หน้าตีนระเบิดของ เจนัว ที่สโมสรไปสอยมาจาก เอซี มิลาน แต่กลับใช้งานไม่เป็น
ที่สำคัญ เขายังไปงัดกับบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ของสโมสร เนื่องจากมีแนวคิดในการทำทีมที่แตกต่างกัน คลินส์มันน์ต้องการมากกว่าที่ได้รับเพื่อสนองแผนการ ส่วนหัวจ่ายไม่ยอมพร้อมสวนกลับไปว่า "ที่นี่เยอรมนีนะเว้ย ไม่ใช่อังกฤษ!" ทั้งยังมีข่าวลือว่าเขาไปเฮดบัตต์ใส่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของแฮร์ธ่าเลยทีเดียว
10 สัปดาห์เท่านั้นที่เขากุมบังเหียนแฮร์ธ่า โดยการลาออกนั้น เขาได้ไลฟ์สดทางเฟซบุ๊กอีกด้วย นับว่าแปลกมาก ๆ ก่อนที่ ลาร์ส วินด์ฮอร์สท์ (Lars Windhorst) เจ้าของสโมสร จะด่ากราดส่งท้ายไปว่า "ไอ้ห่านี่แม่งสันดานเสียสุด ๆ เลย!"
เรียกได้ว่าคราวนี้คลินส์มันน์ถือได้ว่า "ดับสนิท" และหายไปจากวงการคุมทัพชนิดที่ว่าตามตัวกันไม่เจอเลยทีเดียว ก่อนที่เมื่อเข้าสู่ปี 2023 เขาจะได้ขึ้นหน้าหนึ่งในข่าวกีฬาอีกครั้งจากการรับจ๊อบคุมทัพโสมขาวแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ขอเกิดใหม่ในแดนโสม
จากที่กล่าวในข้างต้น จะเห็นได้ว่ากราฟชีวิตของเขานั้นมีความ "สวิง" อย่างมาก เหมือนคนเป็นไบโพลาร์คุ้มดีคุ้มร้ายตลอดเวลา บทจะพุ่งทะยานก็ไปสุด บทจะเงียบก็ป่าช้ารับประทาน จึงไม่อาจกล่าวได้อย่างเต็มปากว่าเขาเป็นหนึ่งในบุคลากรทางฟุตบอลที่ "เล่นดี คุมทัพเทพ"
กระนั้นการตอบรับสัญญาระยะยาว 3 ปี จนถึงฟุตบอลโลก 2026 กับ เกาหลีใต้ และยังได้มีการประกาศกร้าวแบบไม่มีความลังเลว่าจะนำถ้วยเอเชียน คัพ กลับมาฝากพี่น้องชาวเกาหลีให้ได้ รวมไปถึงการกล่าวอวยเกาหลีใต้ ความว่า
"พวกเขา (เกาหลีใต้) โชว์ฟอร์มอย่างเทพในฟุตบอลโลกครั้งที่ผ่านมา (2022) ผมเลยต้องการต่อยอดความสำเร็จนี้อย่างสุดความสามารถ โค้ชที่ผ่าน ๆ มาทั้ง ฮิดดิงค์ หรือ เบนโต้ สร้างทีมมาได้อย่างดีเยี่ยม ชนะได้ทั้งเยอรมนีและโปรตุเกสเลยทีเดียว … เมื่อสัญญาส่งมาหาผม ผมโคตรยินดีที่ได้เซ็นไป ผมมาเที่ยวที่นี่หลายต่อหลายครั้ง ประเทศนี้ดี ผู้คนอัธยาศัยดี และแน่นอน ฟุตบอลก็ดีด้วย"
และหากพิจารณาลงลึกไปอีกขั้นจะพบว่า เกาหลีใต้มีความคล้ายคลึงกับอเมริกา ในแง่ที่ว่าเป็นทีมระดับบิ๊กเนมในเอเชีย แต่เมื่อออกไปต่อกรกับโลกตะวันตก แม้จะสามารถเก็บชัยเหนือเยอรมนีและโปรตุเกสมาได้ แต่ก็เป็นเพียงปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงยังมีคู่ปรับตลอดกาลอย่าง ญี่ปุ่น ที่แทบจะชิงดีชิงเด่นกันอยู่ 2 ประเทศ
กระนั้นสิ่งที่แตกต่างคือดีเอ็นเอของฟุตบอลเกาหลีที่มีความเข้ากันได้กับฟุตบอลสมัยใหม่มากกว่าอเมริกา นั่นคือเป็นฟุตบอล "บ้าพลัง" ที่เน้นเพรสซิ่ง เรียกได้ว่าไม่จำเป็นต้องปูกันนาน นักเตะเกาหลีได้ประกาศศักดาเรื่องนี้มานักต่อนัก
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือฟุตบอลของคลินส์มันน์เป็นแนวเกมบุก ซึ่งหากผสานให้สอดคล้องกับบอลบ้าพลังได้จะกลายเป็นว่าพลพรรคโสมขาวจะได้อาวุธชิ้นใหม่เข้ามาติดตั้ง หากแต่ความน่ากังวลคือ หากไปกันไม่ได้จะกลายเป็นว่าโดนกลับแบบที่เคยเกิดขึ้นกับอเมริกา และคำถามที่สำคัญไม่แพ้กันคือ คลินส์มันน์มีความ "สมัยใหม่" มากพอที่จะปรับใช้แทคติกในกระแสตอนนี้หรือไม่
เมื่อลองพิจารณาเช่นนี้ หากเขาทำได้ก็จะเป็นการ "ขอเกิดใหม่ใกล้ ๆ เธอ" ได้แบบยิ่งใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียว
แหล่งอ้างอิง
https://www.espn.com/soccer/south-korea-kors/story/4895710/jurgen-klinsmann-eyes-asian-cup-after-landing-in-south-korea
https://www.si.com/soccer/2018/05/16/jurgen-klinsmann-us-soccer-world-cup-usmnt
https://www.theguardian.com/sport/blog/2009/apr/27/jurgen-klinsmann-sacked-bayern-munich-bundesliga
https://www.bavarianfootballworks.com/2020/1/17/21069230/bayern-munich-jurgen-klinsmann-champions-league-bundesliga-failed-revolution-germany-2006-world-cup
https://bleacherreport.com/articles/1486704-usmnt-jurgen-klinsmanns-enigmatic-coaching-strategies-and-player-selections
http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/world_cup_2006/teams/germany/5171242.stm
https://www.theatlantic.com/entertainment/archive/2014/06/usa-vs-germany-a-thoroughly-american-loss/373566/
https://web.archive.org/web/20200405124922/https://www.ocregister.com/2014/06/25/for-jurgen-americans-a-match-full-of-emotion/
https://www.goal.com/en/news/gone-in-76-days---where-it-all-went-wrong-for-klinsmann-at-hertha-berlin/x21iuon0dzeh1259zrp9r38gk