กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ โดยการกีฬาแห่งประเทศไทย เป็นหน่วยงานที่อยู่คู่กับวงการกีฬาไทยมานานกว่า 2 ทศวรรษ เปรียบเสมือนแหล่งเงินทุนคอยผลักดันให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
งบประมาณการกีฬาของชาติที่มีอยู่ ไม่เพียงถูกใช้ในการจัดแข่งขันและพัฒนากีฬาเท่านั้น แต่ยังเจาะลึกลงไปถึงคุณภาพชีวิตของนักกีฬาตั้งแต่ระดับเยาวชนจนถึงอดีตทีมชาติ
หน่วยงานนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และมีพันธกิจอะไรบ้าง ติดตามได้ที่ Main Stand
แหล่งเงินทุนกีฬาไทย
พลันที่ สมรักษ์ คำสิงห์ จารึกประวัติศาสตร์ผงาดคว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์เหรียญแรกให้กับประเทศไทย เมื่อปี 1996 วงการกีฬาไทยได้เกิดความตื่นตัวและได้รับการจับตามองจากทั่วสารทิศ … เพราะนี่คือการประกาศให้ได้เห็นแล้วว่า นักกีฬาไทยก็มีศักยภาพพอที่จะประสบความสำเร็จในระดับโลก
รัฐบาลและอีกหลายหน่วยงานในประเทศจึงได้เริ่มมีความคิดที่จะสนับสนุนและผลักดันวงการกีฬาอย่างจริงจัง เริ่มตั้งแต่การกำหนดมาตรการเร่งรัดพัฒนามาตรฐานการกีฬาของประเทศอย่างเป็นระบบเพื่อก้าวสู่มาตรฐานสากล
หนึ่งในปัญหาสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขคือเรื่องงบประมาณในการสนับสนุนสมาคมกีฬาที่ได้รับจากภาครัฐบาลไม่เพียงพอ จึงได้จัดตั้ง “กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ” หรือ National Sports Development Fund (NSDF) ขึ้นมาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของการกีฬาแห่งประเทศไทย เพื่อดูแลงบประมาณสำหรับการพัฒนาการกีฬาอย่างเป็นระบบ
กองทุนนี้ได้รับเงินจากภาครัฐปีละไม่น้อยกว่า 150 ล้านบาท เพื่อดูแลสนับสนุนด้านต่าง ๆ อาทิ การจัดกิจกรรมกีฬาทั้งในประเทศและนานาชาติ, สนับสนุนสมาคมกีฬาในการเตรียมนักกีฬาเข้าแข่งขันในมหกรรมต่าง ๆ, เงินเบี้ยเลี้ยง ค่าฝึกซ้อม ตลอดจนจัดหาอุปกรณ์และวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้าไปเสริม
รวมถึงสิ่งที่หลายคนเคยได้เห็นกันเป็นประจำ คือ การออกหลักเกณฑ์เรื่องเงินรางวัลที่มอบให้แก่นักกีฬาที่ประสบความสำเร็จในรายการระดับนานาชาติ ไม่ว่าจะเป็น โอลิมปิกเกมส์, เอเชียนเกมส์, ซีเกมส์, ชิงแชมป์เอเชีย, ชิงแชมป์โลก รวมถึงกีฬาคนพิการ ที่มีเงินสนับสนุนหลักแสนถึงหลักล้านบาท
ปัจจุบันนักกีฬาที่ได้เหรียญทองโอลิมปิกจะได้รับเงินรางวัลสูงถึง 12 ล้านบาท ตามด้วยเหรียญเงิน 7.2 ล้านบาท และเหรียญทองแดง 4.8 ล้านบาท ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับสมัยก่อนที่เล่นกีฬาเพียงสร้างชื่อเสียงอย่างเดียว
ทวี อัมพรมหา หรือ “ขาวผ่อง” นักกีฬาไทยคนแรกที่คว้าเหรียญเงินโอลิมปิก เมื่อปี 1984 เป็นตัวอย่างได้อย่างดี แม้เขาจะเคยนำธงไตรรงค์ไปโบกสะดับให้ทั่วโลกได้เห็นในวงการมวยสากลสมัครเล่น แต่กลับแทบไม่ได้รับสิ่งตอบแทนใด ๆ
“สมัยผมได้เหรียญเงินโอลิมปิกไม่ได้เงินสักกะบาทเดียว ยิ่งรายการเอเชียนเกมส์หรือซีเกมส์นี่ไม่มีได้เลย การมีเงินรางวัลจากภาครัฐหรือกองทุนมันเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว” ขาวผ่อง เผย
“สมัยก่อนนักกีฬาแข่งขันเพื่ออยากจะสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองและประเทศชาติอย่างเดียว แต่การมีเงินรางวัลนอกจากจะเป็นขวัญกำลังใจแล้ว ยังทำให้นักกีฬามีเป้าหมายเพิ่มขึ้นด้วย”
“วันนี้เล่นกีฬาก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นเศรษฐีได้ ไม่ว่าจะเล่นกีฬาอะไรก็ตาม เงินรางวัลเหล่านี้ช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจให้เยาวชนได้เห็นชัดเจน” กำปั้นวัย 63 ปีทิ้งท้าย
ไม่ใช่แค่เรื่องเงินรางวัลที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเดียว แต่กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติยังเจาะลึกช่วยเหลือนักกีฬาตั้งแต่ระดับเยาวชนเลยทีเดียว
เจาะลึกถึงตัวนักกีฬา
“เป็นแหล่งทุนเชิงยุทธศาสตร์ที่สนับสนุนและเสริมสร้างระบบ กลไกการพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ให้มีคุณค่าอย่างยั่งยืน และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ภายใต้วัตถุประสงค์ของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ”
ข้อความข้างต้นคือวิสัยทัศย์ของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ที่แสดงให้เห็นถึงพันธกิจหลักในการสนับสนุนด้านเม็ดเงินแก่วงการกีฬาทั้งประเทศ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็น “แหล่งเงินทุน” ที่พร้อมจะช่วยซัพพอร์ทและช่วยเหลือนักกีฬา
นอกจากภาพรวมของวงการกีฬาทั้งประเทศแล้ว กองทุนยังได้เจาะลึกไปถึงตัวนักกีฬาด้วยการมอบโอกาสและการช่วยเหลือ ด้วยสวัสดิการด้านต่าง ๆ ตั้งแต่นักกีฬาเยาวชนไปจนถึงอดีตนักกีฬาทีมชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศึกษา ที่มีการมอบทุนการศึกษาให้กับนักกีฬาจากสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาจังหวัด มาอย่างต่อเนื่อง
ภายในระยะเวลา 17 ปี กองทุนได้มีการมอบทุนการศึกษาให้กับนักกีฬาและบุคลากรวงการกีฬาไปแล้วถึง 1,896 คน ตั้งแต่ระดับปริญญาเอก นำโดย นภิศ ต่อตั้งพานิช นักกีฬายิงปืน และชนาธิป ซ้อนขำ อดีตนักกีฬาเทควันโด ไปจนถึงระดับมัธยม
ขณะที่ในปี 2021 มอบทุนรวม 374 คน เป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 41.9 ล้านบาท ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “บิว” ภูริพล บุญสอน นักวิ่งดาวรุ่งดีกรีเหรียญทองซีเกมส์และเจ้าของสถิติประเทศไทย
“ผมดีใจมาก ๆ ที่ได้มารับทุนในครั้งนี้ เป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก เพราะการเป็นนักกีฬาทีมชาติอาจไม่ได้มีรายได้เยอะมากนัก ผมอยากให้มีโครงการดี ๆ แบบนี้ต่อเนื่องไปอีกเพื่อสร้างโอกาสให้กับนักกีฬารุ่นต่อ ๆ ไป” บิว เปิดใจ
พร้อมกันนี้ยังมีทุนรักษาพยาบาล รวมถึงสวัสดิการช่วยเหลือสำหรับนักกีฬาและอดีตนักกีฬาที่ทุพพลภาพ ทั้งค่ายังชีพรายเดือน ค่ารักษา ตลอดจนอุปกรณ์ช่วยเหลือที่จำเป็น ด้วยเช่นกัน
สิ่งเหล่านี้คือภารกิจเบื้องหลังของกองทุนที่ดำเนินการสนับสนุนวงการกีฬาไทยตลอดระยะเวลา 23 ปีที่ผ่านมา … ซึ่งก้าวต่อไปในปีที่ 24 นี้ กองทุนยังได้เตรียมแผนให้การสนับสนุนที่ทันสมัยมากขึ้น
ยุคใหม่ทันสมัยกว่าเดิม
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ได้จัดประกวดออกแบบโลโก้ใหม่ เพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ พันธกิจและปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ก่อนได้ผู้ชนะเลิศในผลงานที่ชื่อ “Fuel of Fire เชื้อไฟแห่งการกีฬา”
นายวีระพงษ์ อมรสิน เจ้าของผลงาน ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า “Fuel เชื้อไฟ เปรียบได้ดั่ง กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ที่ได้ส่งเสริมและพัฒนาวงการกีฬาให้สว่างไสวรุ่งเรือง และ Fire เปลวไฟ สัญลักษณ์แห่งวงการกีฬาไทย ในการเป็นพลังขับเคลื่อน สนับสนุนวงการกีฬาไทย”
โลโก้ชิ้นนี้จะถูกนำเข้ากระบวนการในการพัฒนาหรือกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ก่อนการนำไปใช้จริง
ไม่ใช่เพียงแค่โลโก้ที่เป็นภาพลักษณ์เท่านั้น แต่กองทุนยังเดินหน้าพัฒนาศักยภาพของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพัฒนาระบบออนไลน์ให้ทันสมัยและใช้ง่ายมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาการขอทุนสนับสนุนของหน่วยงานกีฬาต่าง ๆ
ระบบคำขอ NSDF ที่ถูกนำมาใช้จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้ทราบว่าแต่ละหน่วยงานขออะไรได้บ้าง อัตราเท่าไหร่ และกองทุนพิจารณาให้อะไรได้บ้าง จึงช่วยลดขั้นตอน ทำให้โครงการไม่ล่าช้า ที่สำคัญคือมีความถูกต้องโปร่งใส และตรวจสอบได้
“ระบบออนไลน์จะช่วยทำให้การขอทุนสนับสนุนง่ายขึ้น สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการเดินหน้าสู่ยุคดิจิตอลของประเทศไทย ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนากิจกรรมทางด้านกีฬา เพราะกองทุนและผู้ขอรับการส่งเสริมสนับสนุนต้องทำงานควบคู่ไปด้วยกันเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาวงการกีฬาของชาติต่อไป ภายใต้แนวคิด TOGETHER WE WIN” ดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เผย
ขณะเดียวกันกองทุนยังเดินเครื่องสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ของการกีฬาแห่งประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกมากมายในปี 2023 พร้อมเปิดให้แฟนกีฬาทั่วประเทศได้ร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านทวิตเตอร์ NSDFThailand ว่าอยากให้กองทุนสนับสนุนเรื่องใดเพิ่มอีกบ้าง จนมีแฟนกีฬาเข้ามาร่วมแชร์ความเห็นกันอย่างคับคั่ง
สิ่งเหล่านี้ถือเป็นมิติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในวงการกีฬาเมืองไทย พร้อมสร้างความเชื่อมั่นแก่แฟนกีฬาว่างบประมาณที่มีอยู่จะถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่าแน่นอน