Feature

เดฟ เบาติสต้า : The Animal ในโลกมวยปล้ำ ที่ขอเป็นนักแสดงแบบไม่เดินตามรอยใคร | Main Stand

เดฟ เบาติสต้า คืออดีตนักมวยปล้ำร่างใหญ่ของสมาคม WWE อีกรายที่ขอผันตัวจากสังเวียนมวยปล้ำมาเป็นนักแสดงบนจอเงิน เขาแจ้งเกิดอย่างสวยงามกับบทบาทของ DRAX มนุษย์ต่างดาวจอมทำลายล้างแต่น่ารักในแฟรนไชส์หนังฮีโร่ Guardians of the Galaxy จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของแฟน MARVEL ทั่วโลก

 


หากมองจากรูปลักษณ์ภายนอก เบาติสต้ามีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นแอ็กชั่นสตาร์เหมือนรุ่นพี่อย่าง เดอะ ร็อก ที่เป็นนักแสดงหนังแอ็กชั่นระดับโลกไปแล้ว หรือ จอห์น ซีน่า เพื่อนร่วมรุ่นที่ไปได้สวยกับบทแอ็กชั่นผสมตลก ทว่าเบาติสต้ากลับเลือกผลักดันตัวเองไปสู่นักแสดงสายขายคุณภาพ ทำให้เขาได้รับบทบาทที่หลากหลาย และตกเป็นเป้าหมายของผู้กำกับระดับโลกที่อยากร่วมงานกับเขาเพราะชื่นชอบในฝีมือและความมุ่งมั่นจริงจังในสายการแสดง

ติดตามเรื่องราวของเบาติสต้าในฐานะนักแสดงเนื้อหอมคนใหม่ของฮอลลีวูด ผ่านบทความของ Main Stand

 

The Animal ผู้น่าเกรงขาม

ย้อนไปในช่วงปี 2003 บาติสต้าได้รับการผลักดันขึ้นมาเป็นนักมวยปล้ำตัวหลักของสมาคม WWE ในฐานะสมาชิกแก๊งตัวร้าย "Evolution" ที่มี ทริปเปิล เอช (HHH) กับ ริค แฟลร์ ตำนานผู้ยิ่งใหญ่เป็นพี่เลี้ยง และมี แรนดี้ ออร์ตัน นักมวยปล้ำเพื่อนร่วมรุ่นมาอยู่แก๊งค์เดียวกัน บาติสต้าแจ้งเกิดด้วยบุคลิกที่โดดเด่น ตัวใหญ่ มีรอยสักเต็มแผ่นหลัง และลีลาการปล้ำที่ดุดันจนมีแฟนคลับชื่นชอบถูกใจ

เส้นทางบนสังเวียนมวยปล้ำของบาติสต้าไปได้สวยยิ่งขึ้นเมื่อเขาได้รับการผลักดันให้เป็นฝ่ายธรรมะ แตกหักกับทีม Evolution (ในบท) ได้เป็นแชมป์โลกเฮฟวี่เวตและแชมป์รุ่นต่าง ๆ เขาได้ปะทะกับนักมวยปล้ำระดับตำนานอย่าง The Undertaker ในศึก WrestleMania ปี 2007 สร้างแมตช์ดี ๆ ไว้มากมาย กลายเป็นที่ชื่นชอบของแฟน ๆ มวยปล้ำทั่วโลก และได้รับการยกสถานะเป็นสตาร์ระดับแนวหน้าของสมาคมในยุคนั้น

ทว่าเมื่อถึงเดือนมกราคมปี 2010 เจ้าของสมญา "The Animal" มีอันต้องเดินออกจากสมาคม WWE หลังตกลงเรื่องสัญญาฉบับใหม่ไม่ได้ เขาเล่าว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือความผิดหวัง ก่อนหน้านี้เขาใช้เงินที่หามาได้จากสังเวียนมวยปล้ำอย่างสุรุ่ยสุร่าย เงินเก็บจึงร่อยหรอถึงขั้นต้องขายทรัพย์สมบัติทิ้ง พร้อมตั้งคำถามถึงเรื่องอนาคตว่าจะทำอย่างไรต่อ เพราะที่ผ่านมาบาติสต้าเคยยอมรับว่านอกจากเล่นมวยปล้ำแล้วเขาก็ทำอย่างอื่นไม่เป็นเลย เรียนมาน้อย ความรู้ก็ไม่มี

อย่างไรก็ตาม … แอ็กติ้งและสกิลการพูดกับแฟน ๆ ที่เขาร่ำเรียนฝึกฝนบนเวทีมวยปล้ำมานานกว่า 10 ปีก็ทำให้บาติสต้าฉุกคิดถึงเส้นทางอาชีพใหม่ของตัวเอง อันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดสนใจอยากจะเป็นมาก่อน นั่นคือ "นักแสดง"

 

ก้าวสู่โลกแผ่นฟิล์ม

หลังออกจากสมาคม WWE ในปี 2010 และค้นพบว่าน่าจะผันตัวไปสายการแสดงได้ บาติสต้าที่กลับมาใช้ชื่อจริงของตัวเองว่า "เบาติสต้า (Bautista)" เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเรื่องชื่อติดลิขสิทธิ์กับ WWE เดินทางไปที่ลอสแอนเจลิสเพื่อลงเรียนการแสดงกับแอ็กติ้งโค้ช ซึ่งสิ่งที่เขาได้รับคือศาสตร์การแสดงในบทบาทที่ต่างออกไปจากแอ็กติ้งดุดันและพูดจาแข็งกร้าวสมัยอยู่บนเวที WWE

"ผมสูญเสียทุกอย่างในตอนนั้น และต้องเริ่มต้นทุกสิ่งใหม่หมดเลย" เบาติสต้า รำลึกความหลังในวันที่เขาตั้งใจแล้วว่าจะผันตัวจากอดีตนักมวยปล้ำมาเป็นนักแสดงอีกคนหนึ่งในอเมริกา

อันที่จริงสมัยที่อยู่กับ WWE เขาเคยมีโอกาสชิมลางเป็นนักแสดงตัวประกอบในภาพยนตร์เล็ก ๆ และซีรีส์ชื่อดังอย่าง Smallville ที่ว่าด้วยการกำเนิดของ Superman ในฐานะแขกรับเชิญ แต่พอออกจาก WWE เขาก็พยายามหางานแสดงเพื่อสร้างโปรไฟล์ให้ตัวเองก่อน ซึ่งแน่นอนว่าด้วยหน่วยก้านที่กำยำแข็งแกร่ง งานแสดงของเขาในช่วงแรกจึงเป็นหนังแอ็กชั่นเกรด B ที่ถ่ายแล้วส่งขายเป็น VDO ทันทีเช่น Wrong Side of Town หรือ The Scorpion King 3

เป็นปกติของนักแสดงหน้าใหม่ที่มักจะเดินสายไปออดิชั่นตามค่ายหนังต่าง ๆ เพื่อหาโอกาสเล่นหนังให้ได้เยอะที่สุดและสร้างคอนเน็กชั่นกับคนในวงการเอาไว้ แต่เบาติสต้ากลับแตกต่าง แทนที่จะปรี่ไปออดิชั่นกับค่ายหนังเพื่อโอกาสเล่นหนังแบบเน้นปริมาณ เขาเลือกเฝ้ารอบทหนังที่สนใจอยากเล่นและหาโอกาสไปเรียนการแสดงเพิ่มทักษะให้ตัวเองเรื่อย ๆ เพื่อรอวันไปออดิชั่นบทที่ต้องการ "ผมขอเป็นคนที่จู้จี้จุกจิกในเรื่องงานของตัวเอง ดีกว่าเน้นหางานเพื่อเอาประสบการณ์น่ะ"

เมื่อดูโปรไฟล์การแสดงยุคแรกจะเห็นว่าเบาติสต้าไม่ได้เล่นหนังพร่ำเพรื่อ เขามีผลงานเพียง 1 เรื่องต่อปี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เริ่มมีพอร์ตการแสดงที่น่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาได้รับเลือกให้แสดงหนังที่มีโปรดักชั่นใหญ่ขึ้นแบบ The Man with the Iron Fists ในปี 2012 และ Riddick ในปี 2013 ที่มี วิน ดีเซล แอ็กชั่นสตาร์แห่งแฟรนไชส์รถซิ่ง Fast & Furious มารับบทนำ

แล้วมันก็นำไปสู่จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตที่ทำให้เบาติสต้าถึงกับหลั่งน้ำตา เมื่อเขาได้รับงานชิ้นใหญ่จากบริษัทหนังซูเปอร์ฮีโร่ระดับโลกอย่าง MARVEL มาอยู่ในมือ

 

ออดิชั่นพิชิตใจ MARVEL

ในปี 2012 สตูดิโอหนังฮีโร่ยักษ์ใหญ่ MARVEL กำลังเตรียมงานสร้างภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มใหม่ในชื่อแฟรนไชส์ Guardians of the Galaxy (GOTG) โดยทีมงานของ MARVEL พัฒนาบทและเฟ้นหานักแสดงไปด้วย ซึ่งในแก๊งฮีโร่ตัวเกรียนทั้ง 5 นี้มีตัวละครหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากนักแสดงน้อยใหญ่จนมายื่นโปรไฟล์ขอออดิชั่นกันพอสมควร นั่นคือ Drax the Destroyer หรือ "แดร็กซ์ จอมทำลายล้าง"

เบาติสต้าเผยว่าเขาได้รับการแนะนำจากเอเยนต์ของตัวเองให้ไปลองออดิชั่นบทนี้ดู ท่ามกลางคู่แข่งที่พร้อมมาต่อสู้แย่งชิงบทบาทตัวละครนี้อย่าง แชดวิค โบสแมน (ที่ภายหลังได้ไปเล่นเป็นราชา Black Panther) หรือ เจสัน โมโมอา (ที่สุดท้ายไปเล่นเป็น Aquaman กับค่าย DC แทน) ทว่าปัญหาสำหรับเบาติสต้าคือเขาไม่รู้จักการ์ตูนเรื่องนี้ และไม่มีอินเนอร์เกี่ยวกับตัวละครแดร็กซ์สักนิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไปศึกษาตัวละครเพื่อลองไปออดิชั่นบทนี้ดู

และปัญหาอีกอย่างก็คือ MARVEL ไม่สนใจรับนักมวยปล้ำอาชีพมาออดิชั่นในหนังของพวกเขา โดยเบาติสต้าเล่าว่า "สองสัปดาห์ก่อนออดิชั่น เอเยนต์ของผมมาบอกว่านายรู้ไหมนายต้องไปออดิชั่นต่อสู้เอาบทนี้มานะ ซึ่งขอบอกว่ามันน่าจะยากพอตัวเพราะพวกเขาไม่อยากออดิชั่นกับนาย เขาไม่อยากได้นักมวยปล้ำอาชีพมาออดิชั่น แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่อยากให้นายหมดหวังเสียก่อน"

สิ่งที่เกิดขึ้นจากนั้นคือเบาติสต้าโทรหาโค้ชการแสดงที่เป็นแฟนของ GOTG เพื่อขอคำปรึกษาและช่วยแนะนำเรื่องการออดิชั่นบทแดร็กซ์ "ผมโทรหาโค้ชแล้วบอกว่า ผมไม่เข้าใจตัวละครและถูกปฏิเสธเพราะเขาเป็นแฟนบอยตัวยง แต่เขาก็ให้ผมไปศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจนเห็นรูปของแดร็กซ์ในการ์ตูนว่านั่นมันตัวผมนี่หว่า ซึ่งในที่สุดเขาก็คอยให้คำแนะนำและไปอยู่กับผมในวันออดิชั่นทั้ง 2 ครั้งด้วย"

ถึงแม้ MARVEL จะบอกแต่เนิ่น ๆ ว่าไม่สนใจรับนักมวยปล้ำอาชีพมาเทสต์หน้ากล้อง แต่ด้วยความพยายามศึกษาคาแร็กเตอร์แดร็กซ์ของเขาอย่างหนักหน่วง และมาออดิชั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายเดือนจนเขาถึงกับเปรียบว่ามันคือฝันร้ายในการต่อสู้เพื่อชิงบทหนัง ทว่าด้วยพัฒนาการที่มากขึ้นทุกครั้งที่มาเทสต์ทำให้ทีมงานของ MARVEL รวมถึง เจมส์ กันน์ ผู้รับเลือกให้มากำกับ GOTG ประทับใจอย่างมาก จนในที่สุดเบาติสต้าก็คว้าบทมนุษย์ต่างดาวจอมทำลายล้างมาจนได้

"ผมถึงกับถอยรถกลับเข้าบ้านเพราะร้องไห้หนักมาก" เบาติสต้า เล่าความรู้สึกหลังได้รับโทรศัพท์ว่าเขาได้บทแดร็กซ์ ขณะเตรียมขับรถไปโรงยิม "ผมเดินตัวสั่นกลับเข้าบ้านแล้วบอกภรรยาว่าผมได้บทแล้ว เราทั้งสองคนได้แต่อึ้งกับสิ่งนี้"

 

แดร็กซ์ จอมทำลายล้าง

Guardians of the Galaxy หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องใหม่ของ MARVEL ออกฉายอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 สิงหาคม 2014 ตัวหนังประสบความสำเร็จแบบถล่มทลายด้วยเนื้อเรื่องที่สนุกสนาน เต็มไปด้วยแอ็กชั่น และตลกโปกฮาตลอด 2 ชั่วโมง หนังกวาดรายได้ทั่วโลกไป 773.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกันบรรดานักแสดงนำของแก๊ง GOTG ทั้ง คริส แพรตต์ (สตาร์ลอร์ด), โซอี ซัลดาน่า (กาโมร่า) กลายเป็นขวัญใจคนใหม่ของแฟนฮีโร่ MARVEL ส่วนคนที่ดังอยู่แล้วอย่าง วิน ดีเซล (กรูต) กับ แบรดลีย์ คูเปอร์ (ร็อกเก็ต) ก็โด่งดังขึ้นไปอีก

และแน่นอนว่าบท "แดร็กซ์ จอมทำลายล้าง" ของเบาติสต้า ซึ่งต้องนั่งเก้าอี้ให้ทีมเมคอัพแปลงโฉมตัวเองนานถึง 4 ชั่วโมงก่อนถ่ายทำทุกวันก็แจ้งเกิดบนแผ่นฟิล์มอย่างสวยงาม เมื่อเขาถ่ายทอดคาแร็กเตอร์ของมนุษย์ต่างดาวที่มีแผลขรุขระเต็มตัวแต่มีความตลกและน่ารักได้อย่างสมบูรณ์แบบ ชนิดที่ เจมส์ กันน์ ผู้กำกับยังยกนิ้วชื่นชมว่าไม่มีใครเหมาะสมกับบทนี้เท่าเบาติสต้าอีกแล้ว

"ในบรรดานักแสดงหลายร้อยคนที่ได้มาทดสอบบท แดร็กซ์บางคนผมก็ให้ออดิชั่นคู่กัน แต่กลายเป็นว่าเบาติสต้าคือคนเดียวที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่ถูกต้อง และเขาคือตัวเลือกเดียวของผม" เจมส์ กันน์ เล่าถึงนักแสดงที่เขาเลือกมากับมือ แถมยังบอกด้วยว่าตอนที่ GOTG ภาคสองออกฉายเมื่อปี 2017 แฟน MARVEL ก็โหวตให้แดร็กซ์เป็นตัวละครที่แฟน ๆ ชื่นชอบมากที่สุดในเรื่อง เพราะคาแร็กเตอร์จอมโหดแต่หน้ามึนและยิงมุกแป้กบ่อย ๆ ถูกใจสาวกเป็นอย่างมาก

ส่วนตัวของเบาติสต้าแม้จะไม่เคยอ่าน GOTG และไม่รู้จักแดร็กซ์มาก่อนเลย แต่พอได้ศึกษาตัวละครอย่างถ่องแท้เขาก็รู้สึกประทับใจตัวละครนี้ และคิดว่าแดร็กซ์กับเขามีหลายส่วนที่คล้ายคลึงกัน "ผมมีความรู้สึกเชื่อมโยงกับแดร็กซ์หลายเรื่องจนขำไม่ออกเลย มันคือเรื่องง่าย ๆ อย่างเช่น รอยสัก โศกนาฏกรรมในชีวิตที่เรามี ดังนั้นมันเลยง่ายที่ผมจะดึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวออกมา"

หลังจากนั้นแดร็กซ์ก็ได้ไปปรากฏตัวในหนังของ MARVEL อีกหลายครั้งเช่น GOTG ภาคสอง (2017), หนังรวมพลฮีโร่ Avengers ภาค Infinity War (2018) กับ Endgame (2019), Thor: Love and Thunder (2022) และเตรียมกลับมาอีกครั้งกับ GOTG ภาคสาม ในเดือนพฤษภาคม 2023 ซึ่งเขาก็ประกาศล่วงหน้าแล้วว่านี่จะเป็นการสวมบท แดร็กซ์ จอมทำลายล้าง ครั้งสุดท้ายของเขา

 

นักมวยปล้ำที่ผู้กำกับระดับโลกไว้วางใจ

หลังประสบความสำเร็จกับแฟรนไชส์ GOTG ชีวิตของเบาติสต้าก็ดีขึ้นแบบก้าวกระโดด นอกจากชื่อเสียงเงินทองและถูกยอมรับจากแฟนหนัง เขาก็ได้งานแสดงที่ใหญ่โตขึ้นอย่างน่าสนใจ เช่นบทตัวร้ายไล่กระทืบ เจมส์ บอนด์ ในหนัง 007: Spectre (2015), ปรากฏตัวในหนังไซไฟฟอร์มใหญ่ Blade Runner 2049 (2017), ประกบ "แรมโบ้" ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ในหนังแหกคุก Escape Plan 2: Hades (2018), หัวหน้าทีมสังหารซอมบี้ใน Army of the Dead (2021) 

สำคัญกว่านั้นก็คือหนังเหล่านี้กำกับโดยผู้กำกับที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าทั้งสิ้น เช่น แซม เมนเดส ที่ปลุกตำนานสายลับ 007 ให้กลับมาคืนชีพอย่างสง่าผ่าเผย, เดนนิส วิลเนิร์ฟ ผู้กำกับสายดราม่าชื่อดังที่ดึงเบาติสต้าไปลุยโลกไซไฟใน Blade Runner 2049 ก่อนจะได้ร่วมงานกันอีกรอบในหนังไซไฟฟอร์มยักษ์ DUNE เมื่อปี 2021 แม้กระทั่งหนังแอ็กชั่นแมสจ๋า ๆ อย่าง Army of the Dead ก็เป็นผู้กำกับขวัญใจแฟนฮีโร่ DC อย่าง แซ็ค สไนเดอร์ เป็นคนชักชวนเบาติสต้ามาเป็นนายทหารตัวเอกของเรื่องอีกด้วย

เมื่อถามว่าเบาติสต้ามีฝีมือการแสดงขนาดไหน ไรอัน จอห์นสัน ผู้กำกับชาวอเมริกัน ที่มอบบท "ดุ๊ก โคดี้" สตรีมเมอร์ร่างใหญ่ให้แก่อดีตนักมวยปล้ำ WWE ได้เล่นในหนังสืบสวนผสมคอมเมดี้สุดฮา Glass Onion: A Knives Out Mystery ที่ฉายทาง Netflix และฮิตระเบิดไปแล้ว ก็บอกว่าเบาติสต้าคืออดีตนักมวยปล้ำที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงที่ฝีมือดีที่สุดคนหนึ่งของวงการ

"ผมน่ะบอกเพื่อนฝูงในสายทำหนังอยู่เสมอว่าเดฟควรได้รับบทนำในหนังดราม่าสักเรื่อง" ไรอัน จอห์นสัน เผย "ผมเห็นด้วยแบบ 100% ว่าเขาคือนักมวยปล้ำที่ผันตัวมาเป็นนักแสดงได้ดีที่สุด และผมคิดเหมือนกับ พอล โธมัส แอนเดอร์สัน ที่จะให้คนดูได้เห็นด้านที่แท้จริงของเขาที่มีความเป็นอัจฉริยะ เบาติสต้ามีความจริงใจ เขามีลักษณะทางกายภาพที่ดีสำหรับการเป็นนักแสดงหลัก และเขาก็นำความอ่อนไหวมาสู่บทบาทในหนังของเราด้วย"

ขณะที่ฝั่งของ เดนิส วิลเนิร์ฟ ผู้กำกับสายดราม่าชื่อดัง ก็ดูจะชื่นชอบฝีไม้ลายมือของเบาติสต้าถึงขั้นที่ชักชวนมาเล่นหนังของเขาถึง 3 เรื่องไปแล้วอย่าง Blade Runner 2049, DUNE และ DUNE : Part Two ที่เตรียมเข้าฉายช่วงปลายปี 2023 ซึ่งเบาติสต้าเล่าว่าการร่วมงานกับวิลเนิร์ฟทำให้เขาได้ขัดเกลาตัวเองจนมีฝีมือการแสดงที่ยกระดับขึ้น และเขาจะไม่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดถ้าหากวิลเนิร์ฟชวนไปร่วมงานอีกในอนาคต

"ถ้าผมได้เป็นหนึ่งในรายชื่อนักแสดงของเดนิส ผมพร้อมจะเล่นให้ฟรี ๆ เลย เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมค้นพบข้อดีของตัวเอง เดนิสช่วยดึงสิ่งที่ดีที่สุดในตัวผมออกมา เขาเห็นแสงที่ต่างออกไป เห็นความเป็นนักแสดงที่ผมอยากเป็น ซึ่งมันจะเป็นสิ่งที่ไขปริศนาให้กับผมได้" เบาติสต้า ชื่นชมผู้กำกับคนเก่ง

 

มุ่งสู่เส้นทางขายฝีมือ

เมื่อเบาติสต้าได้โอกาสร่วมงานกับผู้กำกับระดับแนวหน้ามากขึ้น และค้นพบว่าตัวเองมีโอกาสที่จะพัฒนาฝีมือไปได้ไกลกว่าเดิม ทำให้เจ้าของท่าไม้ตาย "บาติสต้าบอมบส์" ตัดสินใจประกาศว่าเขาจะรับบทสุดแมสขวัญใจแฟน MARVEL อย่าง แดร็กซ์ จอมทำลายล้าง เป็นครั้งสุดท้ายในหนัง GOTG ภาค 3 ที่จะเข้าฉายเดือนพฤษภาคม ก่อนโบกมือลาแล้วมุ่งสู่การเป็นนักแสดงขายคุณภาพอย่างจริงจัง

"ผมรู้สึกขอบคุณตัวละครแดร็กซ์มาก ๆ ผมรักเขาแต่ก็รู้สึกโล่งใจเมื่อถึงเวลาต้องยุติ การรับบทนี้มันยากและมีเรื่องไม่น่าพอใจอยู่บ้าง รวมถึงช่วงการเมคอัพที่ทำให้ผมหมดสนุก ผมเองก็ไม่รู้ว่าอยากให้แดร็กซ์เป็นมรดกในการแสดงของผมหรือเปล่า เพราะมันเป็นงานที่ออกไปทางตลกเสียมากกว่า ซึ่งผมอยากจะรับบทบาทที่ซีเรียสกว่านี้" เบาติสต้า พูดถึงการอำลาบทแดร็กซ์ที่สร้างชื่อในวงการบันเทิงให้กับเขามาเกือบ 10 ปี

ถือเป็นการบ่งบอกชัดเจนว่าเบาติสต้าขอเลือกหนทางในงานแสดงที่ต่างจาก เดอะ ร็อก หรือ จอห์น ซีน่า สองนักมวยปล้ำของ WWE ที่เขาเคยร่วมงานในอดีต รายของ เดอะ ร็อก ปัจจุบันยกสถานะตัวเองเป็นแอ็กชั่นสตาร์หมื่นล้านไปแล้วจากผลงานหนังแอ็กชั่นหลายเรื่องที่โกยเงินสะพัดไปทั่วโลก ขณะที่ซีน่าก็เพิ่งค้นพบเวย์ของตัวเองในฐานะนักแสดงแอ็กชั่นผสมคอเมดี้กับบท Peacemaker ฮีโร่สุดเกรียนจากเรื่อง The Suicide Squad และตัวละครของเขาก็ฮิตโดนใจผู้ชมถึงขั้นได้มีซีรีส์แยกออกมาเป็นของตัวเองในชื่อ Peacemaker กับช่อง HBO (และกำกับโดย เจมส์ กันน์ ถึง 4 ตอน)

แม้ตัวของ เดอะ ร็อก หรือ ดเวย์น จอห์นสัน จะได้ชื่อว่าเป็นผู้กรุยถนนให้นักมวยปล้ำยุคหลังได้มีที่ทางออกมาหากินในฮอลลีวูด แต่ถึงอย่างนั้นเบาติสต้าก็ไม่อยากเห็นตัวเองกลายเป็นแอ็กชั่นสตาร์ตามรอยรุ่นพี่ที่เอาแต่เล่นหนังแอ็กชั่น จนส่งผลให้หนังของ เดอะ ร็อก ยุคหลังมีแต่หนังแอ็กชั่นซ้ำซากที่เหมือนเล่นแต่บทเดิม ๆ ที่ออกไปกู้โลกและต่อสู้กับผู้ร้าย ที่ขัดต่อการเป็นนักแสดงที่ดีในอุดมคติของเบาติสต้า ทั้งที่ในอดีต เดอะ ร็อก เคยได้รับเสียงชื่นชมว่าเล่นหนังหลากหลายมากกว่านี้

"ผมไม่อยากเป็น เดอะ ร็อก คนต่อไป ผมแค่อยากเป็นนักแสดงที่ดี เป็นนักแสดงที่น่านับถือในวงการ" เบาติสต้า ประกาศชัดถึงเป้าหมาย

 

ปีทองของ เบาติสต้า

สำหรับปี 2023 สื่อหลายสำนักคาดการณ์ว่าจะเป็นปีทองของ เดฟ เบาติสต้า โดยแท้จริง เพราะหลังโด่งดังกับบทสตรีมเมอร์สุดฮาใน Glass Onion: A Knives Out Mystery ทาง Netflix เมื่อปลายปี 2022 เขาก็มีคิวเข็นผลงานใหม่ออกมาให้ผู้ชมดูถึง 4 เรื่อง 4 แนว เรื่องแรกก็ Knock at the Cabin หนังสยองขวัญผสมจิตวิทยาของ เอ็ม.ไนท์ ชยามาลัน ผู้กำกับจอมทำหนังหักมุม ที่ให้เบาติสต้ารับบทเป็นสมาชิกจากลัทธิเถื่อนที่มาข่มขู่คู่รักที่มาพักผ่อนในบ้านกลางป่าให้ฆ่ากันเองเพื่อช่วยโลกใบนี้ หนังมีคิวฉายในเดือนกุมภาพันธ์ และถือเป็นการพลิกบทบาทครั้งสำคัญของเบาติสต้าเลยทีเดียว

ต่อมาคือ GOTG ภาค 3 ฮีโร่แอ็กชั่นคอเมดี้ที่แฟน MARVEL เฝ้ารออยู่ กับการเล่นบท แดร็กซ์ จอมทำลายล้าง ครั้งสุดท้ายของเขา กำหนดฉาย 5 พฤษภาคม ขณะที่เรื่องถัดไปคือ Parachute ที่ เดฟ เบาติสต้า จะรับบทในหนังดราม่าเป็นครั้งแรกก็ถ่ายทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว และมีกำหนดฉายในปีนี้ ส่วนอีกเรื่องคือ DUNE : Part Two ที่เขากลับไปผจญโลกไซไฟกับผู้กำกับที่เขานับถือ เดนิส วิลเนิร์ฟ อีกรอบ มีคิวฉายช่วงปลายปี 2023

ในอดีตที่ผ่านมา นักมวยปล้ำที่ออกมารับจ๊อบเป็นนักแสดงส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นได้เล่นแต่หนังแอ็กชั่น เนื่องจากบุคลิกและรูปร่างกำยำที่เห็นจากภายนอก แต่สิ่งที่ เดฟ เบาติสต้า เลือกทำคือการหาโอกาสพัฒนาฝีมือการแสดงตัวเองและร่วมงานกับผู้กำกับหลากหลายแนวเพื่อเปิดประตูไปสู่บทบาทใหม่ ๆ ที่ท้าทาย นี่ถือเป็นการพิสูจน์ว่านักมวยปล้ำที่มีภาพลักษณ์ดุเดือดบนเวทีก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นนักแสดงขายฝีมือได้ ถ้าพวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับตัวเองไปสู่เส้นทางใหม่ที่ไม่ซ้ำรอยใคร

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.gq.com/story/gq-hype-dave-bautista
https://www.cinemablend.com/news/2474282/dave-bautista-calls-his-guardians-of-the-galaxy-audition-a-nightmare
https://gamerant.com/guardians-of-the-galaxy-james-gunn-dave-bautista-drax-comedic/
https://www.bbc.com/news/newsbeat-64147413
https://www.yahoo.com/entertainment/rian-johnson-praises-dave-bautista-205348625.html

Author

วัลลภ สวัสดี

ฟังไปเรื่อย ดูไปเรื่อย เขียนไปเรื่อย

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

ภราดร ภราดร

อยากจะทำให้ดี ไม่ใช่แค่อยากจะทำให้เป็น