Feature

โช กยู ซอง : ผู้ไม่ได้มีดีแค่หล่อ แต่คือศูนย์หน้าอนาคตใหม่แห่งเกาหลีใต้ | Main Stand

ความหล่อนั้นเป็นเรื่องสัมพัทธ์ (Relative) ที่ขึ้นอยู่กับบุคคล หากแต่ความหล่อที่กระชากใจบรรดาแม่ยกพ่อยกทั่วโลกจนเป็นฉันทามติ นั่นคือความหล่อแบบ "ไอดอลชายเกาหลี" ที่สะกดทุกสายตาอย่างอยู่หมัด และหากความหล่อดังกล่าวไปปรากฏอยู่กับบุคคลในวงการอื่น ๆ โดยเฉพาะวงการฟุตบอล ย่อมเป็นที่สนใจอย่างมาก ประหนึ่ง "ช้างเผือก" ที่นาน ๆ จะได้พบเห็นสักครั้ง

 


โดยในฟุตบอลโลก 2022 แมตช์แรก กลุ่มเอช ในนาทีที่ 74 บรรดาแฟนบอลทีมชาติเกาหลีใต้ต่างชุ่มชื่นหัวใจไปตาม ๆ กัน เพราะศูนย์หน้าตัวสำรองนามว่า "โช กยู ซอง" (조규성) นั้นช่างหล่อบาดอกบาดใจ หล่อไม่มีใครเกิน หล่อวัวตายควายล้ม ชนิดที่แทบจะลืมความดุเดือดเลือดพล่านของการแข่งขันกับอุรุกวัยไปชั่วขณะหนึ่ง

แต่จริง ๆ นั้นตัวเขาไม่ได้มีดีแค่เพียงหน้าตา หากแต่ฝีเท้าการเล่นในตำแหน่งกองหน้าของเขานั้นสะเด่ามาก ๆ ถึงขนาดได้รับการคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมาเป็น "อนาคตใหม่" แห่ง ชอนบุค ฮุนได มอเตอร์ส ยักษ์ใหญ่แห่งเคลีก และทีมชาติเกาหลีใต้เลยทีเดียว

ร่วมย้อนรอยเส้นทางลูกหนังของ "อปป้าโช" ไปพร้อมกับ Main Stand 

 

เด็กช่างสร้างตัว คั่วแต่ฟุตบอล

โช กยู ซอง เกิดและเติบโตที่เมืองอันซัน (안산) จังหวัดคยองกี ในครอบครัวที่พ่อเป็นมนุษย์เงินเดือนและคุณแม่เป็นอดีตนักกีฬาวอลเลย์บอล ชีวิตในวัยเด็กของเขาแสนจะเรียบง่ายเหมือนเด็กเกาหลีทั่ว ๆ ไป และแน่นอนว่าความชอบของเขาก็เหมือนกับเด็กชายทั่วทุกมุมโลก นั่นคือการชื่นชอบฟุตบอล และพ่อของเขาก็ "บ้าบอล" แบบสุด ๆ ว่างเมื่อใด ต้องจูงมือลูกชายไปชมการแข่งขันในสนามทุกครั้ง

โดยตำแหน่งที่เขาลงเล่นบ่อย ๆ คือ "กองกลางตัวรับ" ซึ่งผลงานของเขาถือว่าเทพมาก ๆ ทั้งการสะกัดบอลระดับมันสมอง เข้าทีไม่มีฟาล์ว และยังมีดีทั้งการจ่ายบอล โฮลด์บอล หรือแม้กระทั่งการสอดขึ้นมาทำประตูก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม จนเรียกได้ว่าครบเครื่องอย่างน่าอิจฉา

ที่จริงนั้นเขาถือได้ว่าเป็นคนที่หัวดีพอสมควร แม้ไม่ได้เก่งเลิศแต่ก็ไม่ได้หัวขี้เลื่อย หากแต่ตัวเขานั้นรู้สึกเบื่อกับการที่ต้องนั่งทนทุกข์ทรมานในห้องแคบ ๆ แต่ดันชอบเตะฟุตบอลกับมิตรสหายเวลาพักหรือเลิกเรียน เขาจึงตอบตนเองได้ว่า ชีวิตนี้ขอไปให้สุดทางมาเอาดีด้านฟุตบอลเสียเลย เรียกได้ว่าได้เลือดพ่อมาอย่างแรง

กระนั้นด้วยความที่เมืองอันซันนั้นอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปมากพอสมควร และ ณ ตอนนั้นยังไม่ได้มีสโมสรฟุตบอลอาชีพเข้ามาตั้งมั่น ดังนั้นเขาจึงหอบความฝันของตนเองออกจากอ้อมอกพ่อแม่เดินทางใกล้เมืองหลวงมากขึ้นสู่เมืองอันยัง (안양) เขตปริมณฑลของกรุงโซล ทันทีที่จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 

นั่นเพราะที่เมืองนี้มีสโมสรฟุตบอล อันยัง (FC Anyang) ที่ลงเล่นในระดับเคลีก 2 โดยเขาเลือกเข้าศึกษาใน โรงเรียนเทคนิคแห่งอันยัง (안양공업 고등학교) เนื่องจากสถานศึกษาแห่งนี้เป็นอคาเดมีของสโมสร เพื่อเป็นใบเบิกทางให้เขาเข้าใกล้การเล่นในเคลีกมากขึ้น 

แต่การเรียนในสายอาชีวะนั้นไม่เหมือนกับสายสามัญศึกษา ในขณะที่มัธยมศึกษาตอนปลายจะเน้นสายวิชาการ รวมถึงมีกฎระเบียบที่เคร่งครัดเพื่อควบคุมวินัยคนเรียนให้เชื่องเชื่อและทำตามที่รัฐกำหนด ตรงกันข้ามโรงเรียนเทคนิคกลับมีการปล่อยให้คนเรียนมีอิสระมากโขที่เน้นการปฏิบัติเสียส่วนมาก เขาจึงมีเวลาว่างเยอะพอที่อยากทำอะไรก็ได้ทำ โดยเฉพาะคนมีความสามารถทางด้านกีฬาถือว่าเข้าทางเป็นอย่างมาก

แม้จะทำให้โชได้เปรียบในเรื่องการพัฒนาทักษะฟุตบอลของตนเอง หากแต่การปล่อยปละละเลยมากจนเกินไปสิ่งที่ตามมาคือความเคยชินของการทำตามอำเภอใจจนติดเป็นนิสัย แน่นอนว่าเขาก็ประสบกับสิ่งนี้ในชีวิตด้วยเช่นกัน

และการติดเล่นจนเกินเหตุทำให้สมาธิทางฟุตบอลของเขาเสียไปและส่งผลถึงผลงานในสนาม ดังที่เขาเคยให้สัมภาษณ์กับ Sport Genius สื่อท้องถิ่นว่า "ตอนชั้นปีที่ 2 (เทียบเท่ามัธยมศึกษาปีที่ 5) ผมตกต่ำมาก โดนเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่พักครึ่ง โดยมีโค้ชเดินมากระซิบข้างหูผมว่า หากยังเล่นได้แค่นี้จนถึงชั้นปีที่ 3 อย่าหวังจะได้ขึ้นชุดใหญ่เลย"

แม้เขาจะคิดได้และรู้สึกตัวว่ากำลังหลงผิด หากแต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปผลงานของเขาก็กลับกระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อย จนแทบจะเหมือนคนหยุดพัฒนาไปแบบดื้อ ๆ อะไรที่เคยทำได้สมัยมัธยมต้นหรือสมัยเข้าศึกษาโรงเรียนเทคนิคแรก ๆ ก็กลับกลายเป็นว่าทำไม่ได้หรือทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานกว่าเดิม ขนาดที่ว่าบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นหรือรุ่นน้องกลับแซงขึ้นไปอย่างน่าตาเฉย

จนท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้รับเลือกให้เข้าสู่ทีมเอฟซี อันยัง หลังจบการศึกษา นั่นทำให้เขาเกิดอาการเคว้งเป็นอย่างมาก จเหมือนกับว่าสิ่งที่ทำมาทั้งชีวิตแทบจะหมดความหมายและพังทลายลงตรงหน้า 

แต่แล้วหลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตทางฟุตบอลของโชไปตลอดกาล

 

กลางรับไม่รุ่ง มุ่งตุงตาข่าย

หลังจากจบการศึกษาและเคว้งอยู่พอสมควร โชจึงตัดสินใจแน่วแน่ในการกลับไปเดินทางสายวิชาการที่ตัวเขาทำได้ดีในวัยเด็กอีกครั้ง โดยตั้งเป้าหมายว่าจะทำการสมัครหรือสอบเข้าวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย เพื่อนำใบปริญญากลับไปให้พ่อแม่ภูมิใจให้ได้

แต่ความฝันกับความจริงต่างกันลิบลับ นั่นเพราะการมุ่งมานะเตะแต่ฟุตบอลลูกเดียวและความติดสนุกของเขาทำให้ผลการเรียนเฉลี่ยย่ำแย่มากและตกต่ำกว่าฟอร์มการเล่นฟุตบอลเสียอีก นั่นทำให้ไม่มีสถาบันอุดมศึกษาที่ไหนตอบรับเขาเข้าไปศึกษาเลย

เพียงแต่โชคก็ยังเข้าข้างเขาอยู่บ้าง เนื่องจาก โค้ช อี ซึง วอน (이승원) ของ มหาวิทยาลัยกวังจู (광주대) เคยได้ชมเกมการแข่งขันของโรงเรียนเทคนิคที่วันนั้นโชทำผลงานสุดสะเด่า ยิงคู่แข่งไป 1 ลูก ทำให้โค้ชประทับใจในฝีเท้าของเขาอย่างมาก เหมือนเห็นอะไรบางอย่างในตัวของกองกลางคนนี้ และตั้งมั่นในการคว้าตัวเข้ามาร่วมทัพของมหาวิทยาลัยให้ได้ และแน่นอนว่าราชรถมาเกยเช่นนี้ โช กยู ซอง ไม่พลาดโอกาสที่จะคว้าไว้ให้อยู่มือแน่ 

ในช่วงแรกเขายังคงลงเล่นในตำแหน่งกองกลางตัวรับเช่นเดิม และแน่นอนว่าผลงานก็ยังคงทรง ๆ ทรุด ๆ แม้จะได้รับเลือกให้ลงเล่นอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งโค้ชอีทนไม่ไหว เดินเข้าไปเปิดอกคุยกับโชว่า

"กูว่าไม่ใช่ว่ะไอ้หนุ่ม มึงเคยเล่นตำแหน่งศูนย์หน้าไหม"

โชตอบทันทีว่า "หากเป็นกลางรุกก็เคยครับ"

"ดี งั้นจากนี้มึงเล่นกลางรุกไป"

หลังจากนั้นโชก็โดนบังคับให้เล่นกลางรุกมาโดยตลอด จนเวลาผ่านไป 6 เดือน เขาเริ่มทนไม่ไหวจึงไปโวยโค้ชอีว่า

"โค้ช ผมว่าไม่ใช่ ผมชอบเล่นกลางรับ ให้ผมไปยืนตัวรุกทำให้ผมเก้ ๆ กัง ๆ ไปหมดเลย"

โค้ชอีตอบแบบนิ่ม ๆ ไปว่า "มึงไม่เล่นใช่ไหม งั้นมึงไปลาออกจากมหาวิทยาลัยเดี๋ยวนี้เลย"

โชเหวอไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปว่า "ผมจะทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุดครับ!"

เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นการมัดมือชก และจริง ๆ ตัวเขาก็ไม่ได้อภิรมย์มากเท่าไร หากแต่ครั้งนี้โค้ชอีถือว่าสายตาเฉียบแหลม เพราะโชทำผลงานได้แจ่มแมวขึ้นเรื่อย ๆ เขายิงประตูได้แทบจะทุกแมตช์ และในภายหลังเขาก็ได้รับความไว้วางใจให้ลงสนามในตำแหน่ง "ศูนย์หน้า" อย่างเต็มตัว

"ผมดันชอบเล่นศูนย์หน้าเฉยเลย เพราะวิธีการก็คือไปข้างหน้าล้วน ๆ มากกว่าจะมองไปทั่วสนามแบบกองกลางที่ทำให้ผมมักจะจ่ายกลับหลังและเสียบอลบ่อยครั้ง ผมเลือกจะวิ่งฝ่าไปดีกว่า ผมแฮปปี้และจะทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป" โช กล่าวเสริม

และแน่นอนว่าเมื่อทำผลงานเปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือเช่นนี้ ระหว่างการศึกษาปีสุดท้าย สโมสรอันยัง ทีมที่เคยทอดทิ้งเขาไปได้หวนกลับมาให้ความสนใจเขาอีกครั้ง โดยครั้งนี้ถึงกับตามงอนง้อถวายพานสัญญาอาชีพให้กับตัวเขาแบบชนิดเอาอกเอาใจเต็มที่

และแน่นอนด้วยความผูกพันกับอันยัง เขาจึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพลพรรค "ม่วงมหากาฬ" ลงเล่นเคลีก 2 อย่างไม่ลังเล

 

ของโคตรดี ในช่วงเวลาเพียงปีเดียว

แม้เจ้าตัวจะถือได้ว่าทำตามความใฝ่ฝันไปได้อีกขั้น และยอมทิ้งการได้ใบปริญญาเพื่อการได้เซ็นสัญญานักเตะอาชีพ หากแต่ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายกว่านั้น เพราะในตอนนั้นเขามีอายุถึง 21 ปี ซึ่งถือว่าเกือบจะพ้นคำว่าเยาวชนอยู่แล้ว หากแต่โอกาสในการลงสนามก็ยังคงไม่มาถึงเสียที

และแม้ทีมจะทำการซื้อใจด้วยการมอบเสื้อหมายเลข 9 ให้เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความสำคัญ แต่โชก็ต้องนั่งก้นด้านอยู่ที่ม้านั่งสำรองเป็นระยะเวลาร่วมเดือนหลังจากเคลีก 2 เปิดทำการแข่งขัน แม้แต่ฟุตบอลถ้วยก็ยังไม่ได้รับโอกาส

หากแต่ คิม ฮยอง ยอล (김형열) โค้ชของอันยังและเป็นรุ่นพี่ของโชในโรงเรียน รู้ว่านักเตะคนนี้มีของ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา จึงมีเป้าประสงค์เพื่อทำการบ่มเพาะเขาไว้ก่อน รอเวลาที่จะเบ่งบานเต็มที่แล้วค่อยส่งลงสนาม 

และแล้ววันนั้นก็มาถึง เมื่อ โช กยู ซอง ถูกส่งลงสนามเป็นตัวจริงในแมตช์ปะทะ พูซัน ไอพาร์ค ทีมแกร่งในลีกรอง ซึ่งเจ้าตัวก็ทำผลงานได้อย่างที่คาด แม้จะไม่มีชื่อบนสกอร์บอร์ดแต่ก็ปั่นป่วนแนวรับของพูซันได้ตลอดทั้งเกม รวมถึงดึงตัวประกบให้ตัวรุกต่างชาติของทีมเรียงหน้าสอยประตูเป็นว่าเล่น

หลังจากนั้นไม่ถึงเดือนโชก็มาเบิกสกอร์แรกของตนเองในลีกอาชีพได้สำเร็จในแมตช์ปะทะ อาซัน มูกุงฮวา พร้อมด้วยการแอสซิสต์แบบสุดสวยไปอีกลูกหนึ่ง ให้ทีมชนะไป 2-0

และเมื่อยิงได้ก็นับว่าเป็นการเปิดโหมดเพชฌฆาตในตัวของเขาแบบไม่มีอะไรมากั้น โชไล่ถลุงคู่แข่งเป็นว่าเล่น บางแมตช์ก็ลูกเดียว บางแมตช์สองลูก หรือบางทีก็แฮตทริก และเขาไม่ได้มีดีเพียงยิงเยอะ หากแต่แต่ละประตูนั้นสำคัญต่อทีมมาก ๆ เพราะเป็นการทำให้ทีมพลิกกลับมาเสมอหรือแซงชนะได้บ่อยครั้ง

ขนาดที่ว่าเมื่อจบฤดูกาล แม้ตัวเขาจะสตาร์ทได้ช้ากว่ากองหน้าคนอื่น ๆ ในเคลีก 2 แต่เขาก็จบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 3 ในตารางดาวซัลโว ด้วยจำนวน 14 ประตู ทำสถิติติดทีมยอดเยี่ยมใน "เดบิวต์ซีซัน" เป็นคนแรกของประเทศเลยทีเดียว แม้ทีมของเขาจะตกรอบเพลย์ออฟ อดขึ้นไปเล่นในลีกสูงสุดอย่างน่าเสียดาย

แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้สปอตไลท์ฉายแสงเข้ามาบนตัวเขาและก้าวหน้าในอาชีพค้าแข้งไปอีกขั้น ด้วยการเป็นหนึ่งในนักเตะทีมชาติเกาหลีใต้ ชุดยู-23 ในการแข่งขัน เอเอฟซี ยู-23 แชมเปี้ยนชิพ ในปี 2020 ที่จัดแข่งขันโดยมีไทยเป็นเจ้าภาพช่วงต้นปี

ซึ่งตรงนี้ถือเป็นเรื่องที่แปลกแหวงขนบอย่างมาก เพราะโชไม่เคยติดทีมชาติเกาหลีใต้ชุดเยาวชนใด ๆ มาก่อน แต่กลับเบียดขึ้นมาอยู่ในทีมชุดนี้ได้ นับว่าไม่ธรรมดาแบบสุด ๆ เลยทีเดียว

ในทัวร์นาเมนต์นั้น แม้พลพรรคโสมขาวจะหาโอกาสยิงได้ไม่มาก หากแต่วิธีการเล่นของกองหน้านามว่า โช กยู ซอง ก็ถือว่าแตกต่างจากเทรนด์โลก เพราะเขายืนค้ำแบบหน้าเป้าจริง ๆ โดยจะใช้จังหวะเพียงน้อยนิดสปรินต์เข้าไปดึงตัวประกบหรือเข้าไปสังหารประตู โดยจะไม่ค่อยวิ่งไล่บอลแบบดูดยาม้าเหมือนที่แข้งโสมขาวถนัด

แม้จะแหวกแนวแต่การเล่นแบบนี้กลับให้ผลลัพธ์ที่เกินคาด เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จทั้งการชนะรวดตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบชิง คว้าแชมป์รายการนี้ไปครอง พร้อมทำสถิติได้แชมป์มากที่สุดร่วมกับ ญี่ปุ่น ที่ 10 สมัย

ภายในระยะเวลาหนึ่งปีโชผลักดันตนเองจากนักเตะเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยสุดโนเนมสู่เพชฌฆาต 18 หลาได้อย่างน่าทึ่ง และแน่นอนว่าโชว์ฟอร์มขนาดนี้มีหรือที่ทีมยักษ์ใหญ่จะไม่แสดงแสนยานุภาพ "พลังดูด" ให้เห็น

 

ย้ายมาชอนบุค เพื่อเป็น อี ดง กุก คนต่อไป

ชอนบุค ฮุนได มอเตอร์ส (Jeonbuk Hyundai Motors) ไม่เคยขาดศูนย์หน้าฝีเท้าดี แต่ที่ดีที่สุดขนาดเป็นตำนานของทีมมีแค่ อี ดง กุก (이동국) ศูนย์หน้าที่ลงเล่นมากที่สุดและดาวซัลโวตลอดกาลที่จำนวน 356 แมตช์ 162 ประตู โดย 12 ฤดูกาลที่เขาอยู่กับชอนบุคทีมคว้าแชมป์เคลีกได้ถึง 9 สมัย พร้อมเป็น เคลีก เอ็มวีพี ไปถึง 5 ฤดูกาล

เมื่ออีตัดสินใจแขวนสตั๊ดตามสังขารที่ร่วงโรย ชอนบุคจึงต้องสรรหา "ตัวตายตัวแทน" มาให้ได้ 

และเมื่อ One Year Miracle ของ โช กยู ซอง เกิดขึ้นเช่นนี้ ทีมใหญ่จอมผูกขาดแชมป์เคลีกที่ดำเนินวิถีแห่งการดูด ถอดแบบมาจากบาเยิร์น มิวนิค แบบเป๊ะ ๆ ย่อมไม่พลาดที่จะคว้าตัว โช กยู ซอง ไปร่วมทีม ในฐานะ "อี ดง กุก คนต่อไป"

แต่การได้มาอยู่ใต้ร่มชายคาของทีม "ขุนพลแดนใต้" นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะการก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วของโช ที่เจ้าตัวยังยอมรับเลยว่าตัวเขาขึ้นมาทีมใหญ่ในเคลีกเร็วจนเกิดไป

นั่นส่งผลให้เจ้าตัวประสบปัญหา "ปรับตัวไม่ทัน" ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะหันหน้าไปในทิศทางไหนหรือควรแก้ไขอย่างไร แน่นอนว่าสิ่งนี้ได้ส่งผลมายังการฝึกซ้อมของเขาที่ยังคงต่ำกว่ามาตรฐานที่เคยทำได้ในลีกรองและมักจะได้รับการหมางเมินจากโค้ชอยู่บ่อยครั้ง เขาทำได้เพียงแค่ร่วมซ้อม นั่งก้นด้าน แล้วก็ซ้อม มูฟออนเป็นวงกลมไปเรื่อย ๆ ดังที่เขาเปิดเผยว่า

"ผมซ้อมตอนเช้า ทานอาหาร และงีบเล็กน้อย ช่วงบ่ายก็ซ้อมอีก ทานอาหาร แล้วก็นั่งพัก ช่วงนี้ผมก็ดูพวกยูทูป อ่านหนังสือ ไม่ก็แอบหลับ ผมทำเช่นนี้ในทุก ๆ วัน … วันนี้ผมก็ซ้อมอีก ว่างก็ไปทานอาหาร ไม่ก็ไปชิลล์ที่คาเฟ่ ไม่ได้ทำอะไรที่พิเศษไปกว่านี้เลย"

ในขวบปีแรกที่ชอนบุคผ่านไปด้วยการไม่ได้ซีนในลีกเท่าไรนัก แตกต่างจากบรรดาแฟนบอลสุภาพสตรีที่ให้การสนับสนุนเขาเป็นพิเศษ เนื่องจากหลงใหลในใบหน้าที่หล่อเหลาเย้ายวนของเขา ถึงขนาดที่มีการก่อตั้ง "สมาคมคนรัก โช กยู ซอง" โดยเฉพาะ และมีคนมาเชียร์เขาเป็นจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของคนที่มาเชียร์ทีมด้วยซ้ำ 

เขาเสียเวลาไปกับการหยุดถ่ายภาพกับแฟน ๆ มากพอ ๆ กับที่ให้เวลากับการฝึกซ้อมตามบัญชาของโค้ช ยามใดว่างเว้นมีเวลาพักก็มักจะอัปไอจีสตอรี่หรือไม่ก็ลงรูปเท่ ๆ ให้สาว ๆ ได้กรี๊ดสมใจ

"เอาตรง ๆ เลยนะ ผมคิดว่าก็เป็นเรื่องธรรมดา ผมแค่อยากถ่ายรูปให้ได้มูดตามที่ต้องการ ผมให้เพื่อนถ่ายตลอด ไม่พอใจก็ขอถ่ายใหม่ แต่ส่วนมากช็อตเดียวก็หล่อแล้วครับ" โช เน้นย้ำถึงชีวิต ณ ตอนนั้น ซึ่งแทบไม่มีสง่าราศรีการเป็น อี ดง กุก คนต่อไปเลย

แม้จะมีรูปเป็นทรัพย์ แต่สำหรับเกาหลีใต้นั้นชีวิตนอกสนามป็อปปูลาร์เสียยิ่งกว่าผลงานในสนามไม่ช่วยอะไร เพราะหากไม่ได้ทำผลงานสุดเทพจนติดทีมชาติและช่วยให้ทีมคว้าเหรียญทองเอเชียนเกมส์หรือเหรียญโอลิมปิกได้ ย่อมเป็นการยากที่จะขอผ่อนผันหรือลดหย่อนการเกณฑ์ทหารได้ 

นั่นทำให้โชต้องเข้ากรมไปตามระเบียบในปี 2021 และโดนบังคับให้ต้องลงเล่นภายใต้สโมสร คิมชอน ซังมู (Gimcheon Sangmu FC) ทีมกองทัพเกาหลีใต้ ตามกฎหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ที่นี่เองเหมือนทำให้โชได้เกิดใหม่ นั่นเพราะการจะเข้ากรมนั้นชายชาตรีจะต้องทำการ "ละทางโลก" คือตัดขาดจากโลกภายนอกทุกทาง ห้ามพกโทรศัพท์ ห้ามติดต่อกับคนอื่นนอกกรมโดยพลการ หรือห้ามเล่นโซเชียล นั่นทำให้โชได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นและมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการทำผลงานในสนามเพียว ๆ โดยไม่วอกแวกหรือหลุดโฟกัสไปกับชื่อเสียงบนโลกออนไลน์

ด้วยการได้รับการติดตั้งวินัยอย่างเคร่งครัดจากคิมชอน ผลงาน 21 ประตูจาก 48 แมตช์ ภายใต้อาภรณ์ลายพราง จากจำนวนฤดูกาลครึ่ง (2021 และ 2022) ทั้งยังนำดาวซัลโวเคลีก 2022 แบบเดี่ยว ๆ ที่จำนวน 13 ประตู ติดทีมชาติชุดใหญ่ และเป็นกำลังสำคัญให้พลพรรคโสมขาวผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายได้สำเร็จ

ยิ่งไปกว่านั้นการเจริญเติบโตของมวลกล้ามเนื้อและพลังกายยังพัฒนาขึ้นผิดหูผิดตาจากฤดูกาลก่อน ๆ โดยเขาเปิดเผยถึงจุดนี้ว่า

"ตอนอยู่ชอนบุคผมเล่นเวตหนักโคตร ๆ แต่มาอยู่ที่นี่เราเน้นออกกำลังจากพลังกายล้วน ๆ ผมดันพื้น ดันพื้น แล้วก็ดันพื้น หุ่นผมเลยเป็นแบบนี้ ผมคิดว่าดีกว่าไปเล่นเครื่องเสียอีก ผมดึงข้อประจำ 15 ที 5 เซต และดันพื้นอีก 30 ที 5 เซตอีกด้วย"

เมื่อเป็นเช่นนี้ชอนบุคจึงเรียกตัวกลับไปช่วยทีมอย่างไม่ลังเล โดยขอทางราชการมาเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้มาช่วยขับเคี่ยวไล่ล่าแชมป์กับ อุลซัน ฮุนได โดยเจ้าตัวกลับมาตอบแทนชอนบุคได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยไปแบบสบายเท้า รวมถึงเล่นได้อย่างสะเด่า เป็นแกนนำในแดนหน้า และทำทุกอย่างเสียยิ่งกว่าการเป็นกัปตันทีม 

ตอนนี้มันทำให้เขาเหมาะสมที่จะได้รับสมญา อี ดง กุก คนต่อไป อีกครั้ง

แม้ท้ายที่สุดชอนบุคจะป้องกันแชมป์ไว้ไม่ได้ หากแต่ผลงานส่วนตัวของโชได้รับรางวัลดาวซัลโว ที่จำนวน 17 ประตู (ยิงกับชอนบุคเพิ่มอีก 4 ประตู) และส่งให้ เปาโล เบนโต้ เฮดโค้ชทีมชาติชุดใหญ่ หิ้วเขาไปลุยฟุตบอลโลก 2022 อย่างไม่ลังเล

และแม้จะเป็นตัวสำรองในแมตช์แรก แต่การโลดแล่นบนผืนหญ้าประมาณ 15 นาทีก็ถือว่าโชมีส่วนกับเกมอย่างมาก ไม่ได้ยืนค้ำ หรือยืนหล่อ ๆ ไปวัน ๆ อย่างเดียว เพราะเขามีการไล่เพรสซิ่งแบบที่ไม่เคยเห็นในระดับสโมสรมาก่อน รวมถึงลงไปช่วยสกัดลูกเตะมุมเสียด้วย 

แน่นอนว่าหนทางนี้ยังอีกยาวไกล โช กยู ซอง เพิ่งจะมีอายุ 24 ปี เขายังคงต้องพิสูจน์ตนเองในฐานะศูนย์หน้าของสโมสรชอนบุค ฮุนได มอเตอร์ส หรือกระทั่งในนามทีมชาติต่อไปอีก เพื่อที่ในภายภาคหน้าประตูแห่งการไปค้าแข้งต่างแดนจะเปิดกว้าง หรือท้ายที่สุดจะกลายเป็นตำนานอย่าง อี ดง กุก ก็ตามที เวลาจะเป็นคำตอบสำหรับทุกสิ่งอย่างแน่นอน 

 

แหล่งอ้างอิง

https://m.post.naver.com/viewer/postView.nhn?volumeNo=21548895&memberNo=36977025 
https://www.chosun.com/sports/sports_photo/2020/12/15/CG42DY7EKWSWI37ZPIFIDZ2FXY/ 
http://weekly.hankooki.com/news/articleView.html?idxno=6693434 
https://www.interfootball.co.kr/news/articleView.html?idxno=370749 
https://namu.wiki/w/%EC%A1%B0%EA%B7%9C%EC%84%B1 
https://www.goal.com/kr/%EB%89%B4%EC%8A%A4/%E1%84%89%E1%85%B3%E1%84%90%E1%85%B3%E1%84%85%E1%85%A1%E1%84%8B%E1%85%B5%E1%84%8F%E1%85%A5-%E1%84%80%E1%85%A8%E1%84%87%E1%85%A9-%E1%84%8B%E1%85%B5%E1%86%BA%E1%84%82%E1%85%B3%E1%86%AB-%E1%84%8C%E1%85%A9%E1%84%80%E1%85%B2%E1%84%89%E1%85%A5%E1%86%BC%E1%84%8B%E1%85%B4-%E1%84%89%E1%85%A5%E1%86%BC%E1%84%8C%E1%85%A1%E1%86%BC%E1%84%8B%E1%85%B5-%E1%84%86%E1%85%AE%E1%84%89%E1%85%A5%E1%86%B8%E1%84%83%E1%85%A1/blt8eeba9a86105cb0b 

 

Author

วิศรุต หล่าสกุล

หน้าตา 4KINGS ฟังเพลง 4EVE

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

ภราดร ภราดร

อยากจะทำให้ดี ไม่ใช่แค่อยากจะทำให้เป็น