ช่วงก่อนหน้าที่ศึกฟุตบอลโลก 2022 จะระเบิดความมันขึ้น ข่าวคราวความเคลื่อนไหวที่มาแรงแซงโค้งมากที่สุดแล้วสร้างความตื่นเต้นให้กับทั้งแฟนบอลและเหล่านักเตะย่อมหนีไม่พ้นการประกาศรายชื่อผู้เล่น 26 คนสุดท้าย จาก 32 ชาติ ซึ่งผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายครั้งนี้
หนึ่งในชาติชั้นนำเจ้าของดีกรีแชมป์เก่า 1 สมัย ในปี 2010 อย่าง "กระทิงดุ" สเปน ภายใต้การทำทีมของ หลุยส์ เอ็นริเก้ กุนซือวัย 52 ปี เจ้าของฉายา "อินดี้เก้" ที่แฟนบอลตั้งให้จากการเรียกตัวนักเตะแบบสวนกระแส ก็สร้างความเซอร์ไพรส์ ด้วยการเลือกนักเตะ "ตามใจฉัน" อีกครั้ง
สื่อทั้งในประเทศสเปนหรือนอกประเทศต่างเคยจับจุดประเด็นการเรียกตัวผู้เล่นของเอ็นริเก้มาก่อนหน้านี้แล้ว โดยพุ่งเป้าโจมตีไปที่การเปรียบเทียบการเลือกผู้เล่นจากสองสโมสรชั้นนำของ ลา ลีกา สเปน อย่าง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด ที่สัดส่วนค่อนข้างขัดใจแฟนบอล
หากวัดกันเรื่องของผลงานความสำเร็จในสนาม ราชันชุดขาวดีกว่าเจ้าบุญทุ่มแบบเทียบกันไม่ได้ การันตีถ้วยแชมป์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก จากฝีมือของ คาร์โล อันเชล็อตติ แต่กลับมีผู้เล่นขาประจำที่ติดทีมชาติสเปนเพียงแค่ไม่กี่ราย ยกตัวอย่างเช่น นาโช่ และ ดานี่ การ์บาฆัล
ประเด็นเหล่านั้นมันจะไม่ร้อนแรงขึ้นเลยหากเอ็นริเก้ไม่เรียกผู้เล่นที่แม้แต่จะเบียดเป็นตัวจริงในทีมบาร์เซโลน่ายังยากอย่าง เอริก การ์เซีย ที่มักจะก่อความผิดพลาดยามได้ลงเล่นกับต้นสังกัดอยู่เป็นนิจไปติดทีม แล้วเลือกที่จะเมินเฉยนักเตะของ เรอัล มาดริด จนมีกระแสค่อนขอดว่านี่คือ ทีมชาติสเปน หรือ ทีมชาติกาตาลุนญ่า ของชาวแคว้นกาตาลัน กันแน่
ข้อถกเถียงดังกล่าวลามยาวมาถึงการเรียกขุนพลทัพกระทิงดุ 26 คนสุดท้าย เพื่อไปสู้ศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ซึ่งมีนักเตะจากบาร์เซโลน่าติดทีมมาถึง 8 คน อันทำให้สื่อต่างหันกลับไปเล่นประเด็นเลือกที่รักมักที่ชังของเอ็นริเก้อีกครั้ง เพราะเขาเคยเป็นนักเตะและเทรนเนอร์ของเจ้าบุญทุ่มมาก่อน แม้อันที่จริงเอ็นริเก้เองก็เคยเล่นให้มาดริดก่อนข้ามห้วยสู่ฝั่งบาร์ซ่าก็ตาม
ยิ่งไปกว่านั้นพอมองแบบเจาะลึกไปที่ตำแหน่งผู้รักษาประตู 3 คนจากการเลือกของเขา กลับไม่มีชื่อของนายทวารมือดีอย่าง ดาบิด เด เกอา จากสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ เกป้า อาร์ริซาบาลาก้า จากสโมสรเชลซี ที่ทั้งสองคนก็ทำผลงานได้น่าประทับใจให้กับต้นสังกัดในฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ตามหวยกลับไปออกที่ อูไน ซิมอน นายด่านจากสโมสรแอธเลติก บิลเบา, ดาบิด ราย่า จากสโมสรเบรนท์ฟอร์ด และ โรเบิร์ต ซานเชซ จากสโมสรไบรท์ตัน โดยถ้ามองจากชื่อชั้นแล้วเทียบดีกรีกับ เด เกอา หรือ เกป้า ไม่ได้เลยในสายตาของแฟนบอลทั่วไป
แล้วในกรณีของซิมอนที่เคยก่อความผิดพลาดให้เห็นในศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครั้งล่าสุด ที่จับบอลพลาดเข้าประตูตัวเอง ในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่พบกับ โครเอเชีย แบบน่าเขกกะโหลก แต่เขาก็ยังได้รับความไว้วางใจให้ยืนเป็นมือหนึ่งอย่างต่อเนื่อง ยิ่งกลายเป็นข้อกังขาในใจของแฟนบอลเข้าไปใหญ่
จากแนวคิดที่แหวกแนวไม่เหมือนใครของเขาทำให้แฟนบอลและสื่อต่าง ๆ ทำความเข้าใจได้ลำบาก แต่ก็ไม่อาจเถียงได้ว่าฝีมือของเขานั้นเป็นของจริง นับตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะที่เคยค้าแข้งให้กับทั้ง เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า ซึ่งมีผู้เล่นเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในวงการลูกหนังที่จะผ่านความท้าทายต่าง ๆ มาในแบบเดียวกัน
พื้นฐานการทำทีมของ หลุยส์ เอ็นริเก้
เอ็นริเก้เริ่มต้นเส้นทางสายโค้ชกับ บาร์เซโลน่า เบ คล้ายคลึงกับทาง เป๊ป กวาร์ดิโอลา กุนซือระดับตำนานของเจ้าบุญทุ่มที่สร้างผลงานจนครั่นคร้ามไปทั้งโลกฟุตบอล ด้วยการพาทีมไล่เก็บชัยชนะเหนือคู่แข่งด้วยสกอร์แบบขาดลอย จนได้รับฉายาว่า "ทีมต่างดาว" และกวาดแชมป์เข้าตู้ของสโมสรอย่างต่อเนื่อง จนไม่มีทีมไหนบนโลกใบนี้อยากเผชิญหน้า
เอ็นริเก้ ให้สัมภาษณ์เอาไว้แบบตราตรึงใจตอนได้รับงานชิ้นนี้ว่า "ผมได้กลับมายังบ้านแล้ว ผมจบอาชีพนักเตะที่นี่ และตอนนี้ผมก็ได้เริ่มต้นงานคุมทีมที่สโมสรแห่งนี้"
ผลงานการคุมทีมของเอ็นริเก้กับทีมชุดสำรองถือว่าไปได้สวยเลยทีเดียว เพราะสามารถพาทีมเลื่อนชั้นกลับมาสู่ศึกเซกุนด้า ดิวิชั่น ได้สำเร็จ หลังห่างหายไปนานถึง 11 ปีเลยทีเดียว แถมปีต่อมาก็พาทีมคว้าทำอันดับติดโควตาเพลย์ออฟ แต่ไม่มีสิทธิ์แข่งขันเนื่องจากมีทีมชุดใหญ่อยู่บนลีกสูงสุดอยู่แล้ว
ด้วยฝีมือการทำทีมจึงไปเข้าตา โรม่า สโมสรยักษ์ใหญ่จากศึกกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ที่ตัดสินใจดดึงตัวเขาไปรับงานคุมทีมแบบเต็มตัวในปี 2011 แต่เปิดตัวได้ไม่สวยเท่าไหร่ จากการพาทีมพ่ายแพ้ในเกมนัดเปิดสนามในรอบ 18 ปี
แถมยังตกรอบ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก ด้วยน้ำมือของทีมรองบ่อนอย่าง สโลวาน บราติสลาว่า จึงทำให้เขาถูกไล่ออกแม้จะเหลือสัญญาอีกสองปีก็ตาม
หากวิเคราะห์กันถึงจุดด่างพร้อยของเอ็นริเก้ก็อาจเป็นเพราะเขาคุ้นชินกับระบบการเล่นและสไตล์ฟุตบอลของบาร์เซโลน่าที่ฝังรากลึกลงไปในดีเอ็นเอ ซึ่งขุนพลที่เขามีอยู่ในมือไม่เหมาะกับแทคติกส์ของเขาที่ต้องการผู้เล่นที่มีเบสิกฟุตบอลแน่น ตามแบบฉบับของนักเตะสเปน จึงทำให้ไม่ประสบความสำเร็จแบบที่ถูกคาดหวังไว้
ต่อมาในปี 2013 เอ็นริเก้ได้รับงานที่ท้าทายอีกครั้งในบ้านเกิดในการคุมทีม เซลต้า บีโก้ ทีมเกรดกลาง ๆ ค่อนไปทางล่างที่ใช้เวลาส่วนใหญ่วนเวียนอยู่ครึ่งล่างของตารางคะแนนศึกลา ลีกา ซึ่งเขาพาทีมจบได้สูงถึงอันดับที่ 9 ในฤดูกาลนั้น
ก่อนจะประกาศในเดือนพฤษภาคมปี 2014 ว่าเขาตัดสินใจจะอำลาสโมสรเพื่อไปรับงานคุมทีมเจ้าบุญทุ่ม เนื่องจากได้รับการติดต่อจาก อันโดนี่ ซูบีซาร์เรต้า ผู้อำนวยการที่มีความสนิทชิดเชื้อกันอยู่แล้ว
หลังจากรับการแต่งตั้งจากสโมสรใหม่อย่างเป็นทางการ เอ็นริเก้ก็เริ่มทำทีมด้วยการเสริมทัพผู้เล่นยกใหญ่ ด้วยการนำเข้านักเตะอย่าง เคลาดิโอ บราโว่ ผู้รักษาประตูชาวชิลี ที่มีจุดเด่นเรื่องการใช้เท้าได้ดี, เฌเรมี่ มาติเยอ กองหลังสาระพัดประโยชน์ที่เล่นได้ทั้งเซ็นเตอร์แบ็กและแบ็กซ้าย รวมไปถึง อีวาน ราคิติช กองกลางเชิงสูงทีมชาติโครเอเชีย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีดีลใหญ่ ๆ อย่าง หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้าชาวอุรุกวัย ที่ติดโทษแบนลงสนามไม่ได้ในช่วงแรกจากคดี "กัด" จอร์โจ้ คิเอลลินี่ ในฟุตบอลโลก 2014 อีกด้วย
แต่พอทุกองค์ประกอบกลับมาอยู่ในมืออย่างครบครัน เขาก็ให้กำเนิดสามประสานในแดนหน้าที่มีชื่อย่อว่า MSN ประกอบไปด้วย ลิโอเนล เมสซี่, หลุยส์ ซัวเรซ และ เนย์มาร์ ที่ทำให้คู่แข่งต่างหวาดกลัว
บาร์ซ่าในยุคของเขามีผลงานที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ายุคของเป๊ป กวาร์ดิโอลา คว้าทริปเปิลแชมป์ได้ไม่ต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นหากเจาะลึกลงไปในเรื่องของสถิติช่วงสองปีแรกยังทำได้ดีกว่ากวาร์ดิโอลาเสียอีก ทั้งในเรื่องของการทำประตูได้มากกว่า และเสียประตูน้อยกว่า รวมไปถึงเปอร์เซ็นต์การเก็บชัยชนะ
สไตล์การเล่นที่มีแนวทางชัดเจน เปลี่ยนจังหวะเกมจากรับเป็นรุกได้รวดเร็ว มีการต่อบอลที่แม่นยำสวยงาม การเคลื่อนที่ของตัวรุกมีความอิสระไหลลื่น บทบาทของผู้เล่นแต่ละคนถูกกำหนดตามแนวทางที่เขาวางไว้ เหล่านี้นี้ก็การันตีฝีมือการคุมทีมของเขาได้แบบไร้ข้อกังขาว่าเป็นของจริง
สถานีต่อไปของเอ็นริเก้คือการก้าวขึ้นมาทำ ทีมชาติสเปน ต่อจาก เฟร์นานโด เอียร์โร่ ที่คุมขัดตาทัพในศึกฟุตบอลโลกปี 2018 ซึ่งทัพกระทิงดุทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังเหลือเกิน เพราะมีการเปลี่ยนแปลงแบบเร่งด่วนเรื่องของตัวกุนซือ จากการที่ ฆูเลน โลเปเตกี ถูกไล่ออกก่อนการแข่งขันจะเริ่มไม่กี่วันหลังมีข่าวว่าโลเปเตกีได้รับงานคุมเรอัล มาดริด ทันทีหลังฟุตบอลโลกจบ
อย่างไรก็ตามยังไม่ทันที่เอ็นริเก้จะได้ปลูกฝังแนวทางการทำทีมของเขาให้กับลูกทีมเต็มร้อย เขาก็ต้องลางานไปด้วยเหตุผลส่วนตัวเป็นเวลากว่า 4 เดือน เนื่องจาก ซาน่า ลูกสาวของเขาป่วยเป็นมะเร็ง ก่อนจะฝากให้ โรเบิร์ต โมเรโน่ ผู้ช่วยของเขารักษาการณ์ตำแหน่งเป็นการชั่วคราว
หลังจากปัญหานอกสนามจบลงเมื่อซาน่าเสียชีวิตในเดือนตุลาคม 2019 และทำใจได้แล้ว เอ็นริเก้ก็กลับมาทวงตำแหน่งของตัวเองคืนจากโมเรโน่ จนเกิดเป็นข้อพิพาทระหว่างทั้งคู่ ซึ่งสุดท้ายแล้ว สมาคมฟุตบอลทีมชาติสเปน ก็อยู่ข้างเอ็นริเก้ แล้วภารกิจของเขาก็คือการพาทีมไปลุยศึกยูโร 2020
เพียงไม่นานหลังจากกลับเข้ามารับตำแหน่ง เอ็นริเก้ก็แผลงฤทธิ์เรื่องของอีโก้และความอินดี้ ด้วยการเลือกนักเตะติดทีมชุดแรกไปแค่ 24 ทั้งที่ส่งได้ 26 คน แถมยังไม่มีผู้เล่นจากสโมสรเรอัล มาดริด ติดทีมเข้ามาเลย ซึ่งภายหลังก็เติมเข้ามาจนครบโควตาแต่ก็ไร้เงาผู้เล่นจากทีมราชันชุดขาวอยู่ดี
แม้ว่าจะโดนโจมตีจากสื่อรอบทิศทาง แต่ทัพกระทิงดุของเขาก็สามารถหักฝ่าฟันทีมต่าง ๆ จนทะลุไปถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนไปพ่ายในการดวลจุดโทษกับ ทีมชาติอิตาลี ด้วยสกอร์ 2-4 ที่สุดท้ายแล้วคว้าแชมป์ไปครองได้ในบั้นปลาย
โดยทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวเป็นรายการแจ้งเกิดของดาวเตะหลายคน เช่น เปดรี กองกลางพรสวรรค์สูงจากบาร์เซโลน่า และ อูไน ซิมอน นายทวารเจ้าปัญหา ที่ได้รับเลือกให้เป็นมือหนึ่งของทีมแซงหน้า ดาบิด เด เกอา เนื่องจากทำหน้าที่ในบทบาท "สวีปเปอร์ คีปเปอร์" ได้ดีกว่า
ทำความเข้าใจตำแหน่ง "สวีปเปอร์ คีปเปอร์"
ปัจจุบันตามข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการจากหลายสื่อ ตำแหน่งการเล่นในเกมฟุตบอลแยกย่อยออกไปได้มากถึง 32 ตำแหน่งที่มีหน้าที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับการใช้งานของผู้จัดการทีม และความถนัดของตัวผู้เล่นรายนั้น ๆ
หากจะเจาะจงไปที่ตำแหน่งผู้รักษาประตูจะแยกประเภทได้ออกเป็นสองสไตล์หลัก ๆ ที่มีความแตกต่างกันชัดเจน นั่นคือ ประตูแบบ ชอต สตอปเปอร์ (Shot Stopper) อาทิ ดาบิด เด เกอา และประตูแบบ สวีปเปอร์ คีปเปอร์ (Sweeper Keeper) แบบ มานูเอล นอยเออร์ นายทวารทีมชาติเยอรมัน ที่เป็นผู้ให้กำเนิดตำแหน่งนี้ในช่วงบอลโลกปี 2014
สาเหตุที่นอยเออร์ได้รับการยกย่องให้เป็นนายทวารรูปแบบนี้รายแรกมาจากสไตล์การเล่นของเขา ที่ไม่เพียงแค่คอยป้องกันประตูอยู่ในกรอบเท่านั้นแต่ยังมีความตื่นตัวตลอดเวลา พร้อมที่จะออกมาตัดบอลนอกกรอบยามที่คู่แข่งจ้องเล่นงานแนวรับด้วยการทิ้งบอลยาวหรือจ่ายบอลตัดไลน์กองหลัง พร้อมรับหน้าที่เพิ่มเติมในการเป็น "ตัวกวาด" รายสุดท้ายก่อนถูกส่องประตู
ยิ่งไปกว่านั้นบทบาทของ สวีปเปอร์ คีปเปอร์ จะเพิ่มในเรื่องของการออกบอลจากแดนหลัง คอยขยับตัวเป็นทางเลือกในจังหวะขึ้นเกมหน้าปากประตู เหมือนเป็นการเพิ่มทางเลือกในการจ่ายบอลให้เพื่อนที่เป็นผู้เล่นเอาต์ฟิลด์มากขึ้นอีกหนึ่งคน โดยจะไม่ยืนขาตายเฝ้าบนเส้นประตูเหมือนนายทวารยุคเก่าที่รอป้องกันประตูเพียงอย่างเดียว
ดังนั้นการที่ผู้รักษาประตูจะเล่นในบทบาทนี้ได้จำเป็นต้องมีทักษะที่ดีในเรื่องของการควบคุมบอลด้วยเท้า การสั่งการที่มองเห็นเกมทั้งสนาม วิชั่นการจ่ายบอลที่มองในมุมกว้างอันมาจากไอคิวฟุตบอลที่สูงกว่านายทวารทั่ว ๆ ไป มีความตื่นตัวตลอดเวลา ทันเกม มีความนิ่งไม่ตื่นตูม พร้อมมีส่วนร่วมกับทุกจังหวะที่เกิดขึ้น
โดยนายทวารที่เล่นในรูปแบบนี้ได้มักจะได้รับความนิยมในการใช้งานสำหรับกุนซือชั้นนำหลายคน ไม่ว่าจะเป็น เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่ทำทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้วตัดสินใจซื้อ เคลาดิโอ บราโว่ มาจากบาร์เซโลน่าในช่วงแรก ก่อนจะมาจบที่ เอแดร์ซอน
หรือจะเป็นทาง เยอร์เกน คล็อปป์ ที่เคยลองทนใช้งาน ลอริส คาริอุส นายทวารชาวเยอรมัน ที่ก่อความผิดพลาดในนัดชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2018 ในเกมที่พบกับ เรอัล มาดริด ก่อนตัดใจเบิกงบก้อนโตแก้ปัญหาด้วยการซื้อตัว อลีสซง เบ็คเกอร์ มาจาก โรม่า ด้วยสถิติโลก ณ เวลานั้น
อย่างไรก็ตามนายทวารแบบเก่าประเภทชอต สตอปเปอร์ จะมีความเชี่ยวชาญในจังหวะการป้องกันประตูเป็นพิเศษ มีชอตเซฟแบบปาฏิหาริย์ให้เห็นกันบ่อยครั้ง แต่หลายรายจะขาดเรื่องของความตื่นตัว การออกมาตัดบอลกลางอากาศ และไม่พร้อมเสี่ยงในจังหวะปะทะแบบ 50/50 เหมือน สวีปเปอร์ คีปเปอร์ พูดให้เข้าใจได้ง่ายคือจะถนัดใช้มือมากกว่าใช้เท้านั่นเอง
ความเป็นจริงแล้วบทบาทนี้สามารถพัฒนากันได้ เหมือนที่แฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ติดตามดูฟอร์มการเล่นของทีมแบบใกล้ชิดในยุคของ เอริก เทน ฮาก จะเห็นได้ว่า ดาบิด เด เกอา มีการออกมาตัดบอลนอกกรอบเขตโทษมากขึ้น คอยรับหน้าที่ตัวซ้อนยามที่แผงหลังดันสูง แต่ยังดู ๆ ขัดกับธรรมชาติของเจ้าตัวที่เคยเป็นอยู่เล็กน้อย
แล้วเมื่อนำไปเทียบกับ สวีปเปอร์ คีปเปอร์ ตัวท็อปอย่าง อลีสซง, เอแดร์ซอน หรือ นอยเออร์ นายทวารประเภทชอต สตอปเปอร์ ชั้นนำยังเป็นรองในเรื่องของการเตะเปิดเกมจากแดนหลัง ที่สามารถแอสซิสต์ให้กับแนวรุกแบบชอตเดียวเปลี่ยนเกมอีกด้วย
เหตุผลด้านแทคติกที่ ซิมอน ดีกว่าตัวเลือกอื่นๆ
ในมุมมองของเอ็นริเก้ ระบบการเล่นที่เขาวางไว้ให้กับทีมชาติสเปนมีจุดเด่นในเรื่องของการครองบอลเหนือคู่แข่ง มีการต่อบอลสร้างเกมหลายจังหวะ เห็นได้จากสถิติที่ผ่านมาหลายทัวร์นาเมนต์ไม่ว่าจะเจอกับทีมเล็กหรือทีมใหญ่ก็ตาม เปอร์เซ็นต์การครองบอลแทบจะเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปแทบทุกเกม
ซึ่งการ บิวต์อัป (Build Up) หรือสร้างเกมจากแดนหลังมักจะเริ่มด้วยการจ่ายบอลสั้น ๆ หน้าปากประตูตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องการจากผู้รักษาประตูคือต้องมีทักษะในการเล่นบอลด้วยเท้าได้ดี มีความตื่นตัวในการเป็นทางเลือกในการจ่ายบอลให้กับเพื่อนร่วมทีม
ยิ่งไปกว่านั้นแนวรับกระทิงดุมักจะยืนไลน์สูงตามธรรมชาติ เพราะเป็นฝ่ายกดเกมรุกใส่คู่แข่งเป็นส่วนใหญ่ จังหวะที่โดนสวนกลับเร็วต้องมีนายทวารที่พร้อมออกมาปะทะในจังหวะ 50/50 กับคู่แข่งแบบไม่มีกลัว ซึ่งตรงจุดนี้เด เกอา ยังเป็นรองซิมอน รวมไปถึงการออกมาตัดบอลกลางอากาศที่เป็นจุดอ่อนที่แก้ไม่หาย
จากประเด็นที่แทคติกส์วางไว้ให้เป็นบอลเกมบุก ทำเกมรุกกดดันคู่แข่งให้โงหัวไม่ขึ้น การมีนายทวารที่เด่นด้านการเซฟประตูช็อตมหัศจรรย์ไปก็แทบจะเสียเปล่า เพราะโอกาสที่จะได้โชว์ความสามารถในเกมนั้นมีน้อยมาก
สู้เลือกเอานายทวารที่สามารถเป็นกึ่ง ๆ เอาต์ฟิลด์เพลเยอร์ เพิ่มเข้ามาดูจะมีส่วนร่วมกับเกมได้มากกว่า แล้วใช่ว่าฝีมือการเซฟประตูของซิมอนจะไว้ใจไม่ได้ เนื่องจากประตูที่เล่นในลีกระดับลา ลีกา กับสโมสรแอธเลติก บิลเบา ขึ้นมาเป็นตัวแทนของ เกป้า ผู้รักษาประตูค่าตัวแพงที่สุดในโลกได้แบบไร้รอยต่อคงต้องมีความพิเศษบางอย่างอยู่ในตัวแน่นอน
ยกตัวอย่างเช่นทักษะเฉพาะตัวในเรื่องของการเซฟจุดโทษ ซิมอนก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามีดีอยู่พอตัว จากทัวร์นาเมนต์ยูโร 2020 ที่เซฟในเกมที่พบกับ สวิตเซอร์แลนด์ ไปถึงสองลูก แตกต่างจาก เด เกอา ที่มีจุดบอดด้านนี้ เพราะเสียจุดโทษทีไร แทบใส่สกอร์รอให้ทีมตรงข้ามได้เลย
แล้วเมื่อเปรียบเทียบผลงานของซิมอนกับอีกสองตัวเลือกอย่าง ดาบิด ราย่า และ โรเบิร์ต ซานเชซ ปฏิเสธไม่ได้ว่าการตามดูฟอร์มของเอ็นริเก้ย่อมเห็นผลงานของนายทวารจากยอดทีมแห่งแคว้นบาสก์ได้ง่ายและใกล้ชิดมากกว่า เพราะเล่นอยู่ในสเปน
ดังนั้นการตัดสินใจของเอ็นริเก้ หากวิเคราะห์กันอย่างละเอียดทุกบริบทแล้วจะสามารถเข้าใจความคิดของเขาด้วยการมองข้ามเรื่องของอคติไปได้ ซึ่งสุดท้ายแล้วหากผลงานของสเปนไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ คนที่ต้องออกมารับผิดชอบไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเทรนเนอร์ที่วางแผนและเลือกผู้เล่นมาใช้งานที่จะถูกตัดเกรดจากแฟนบอลและสมาคมหลังจบทัวร์นาเมนต์ แต่ถ้าไปได้ดีก็แค่เสมอตัวเท่านั้น
แหล่งอ้างอิง
https://themastermindsite.com/2022/05/05/what-is-a-sweeper-keeper/
https://www.football-espana.net/2021/06/30/unai-simon-luis-enrique-spain
https://www.eurosport.com/football/world-cup/2022/exclusive-unai-simon-i-never-expected-to-be-called-up-to-spain-national-team-for-qatar-2022-world-cu_sto9229594/story.shtml
https://www.90min.com/in/posts/euro-2020-luis-enrique-hails-hero-unai-simon-after-spain-progress-to-first-semi-final-since-2012-01f9ndbqs7xw
https://topgoalkeeping.com/sweeper-keeper-defensive-goalkeeper-explained/
https://en.wikipedia.org/wiki/Luis_Enrique
https://en.wikipedia.org/wiki/2022_FIFA_World_Cup_squads