ทีม "ตราไก่" ฝรั่งเศส ร่วมเข้าสู้ศึกฟุตบอลโลก 2022 ในฐานะแชมป์เก่าในปี 2018 แน่นอนว่าความคาดหวังของแฟนบอลทัพ เลอ เบลอส์ ย่อมสูงเป็นเงาตามตัว และมันยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับ ดิดิเยร์ เดส์ชองป์ส เทรนเนอร์ของทีมอย่างเลี่ยงไม่ได้
ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มต้นขึ้น ทัพตราไก่ ได้รับข่าวร้ายต่อเนื่องเรื่องอาการบาดเจ็บของผู้เล่นตัวหลักชุดแชมป์จากครั้งก่อน ไม่ว่าจะเป็นในรายของ ปอล ป็อกบา กองกลางตัวสร้างเกมจากสโมสรยูเวนตุส ที่ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บหมอนรองกระดูกไม่ทัน
รวมไปถึงคีย์แมนคู่หูในแดนกลางอย่าง เอ็นโกโล ก็องเต้ มิดฟิลด์ตัวรับจากสโมสรเชลซี ซึ่งหลังจากใช้งานร่างกายอย่างหนักหน่วง พาทีมเป็นแชมป์ทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ ตัวของเขาเองก็มีปัญหาเจ็บเรื้อรังที่แฮมสตริงทำให้ชวดการไปเล่นในทัวร์นาเมนต์นี้เช่นกัน
ถ้ามองกันในแง่ดี สถานการณ์ในตอนนี้อาจเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้วสำหรับฝรั่งเศสที่กำลังเข้าสู่ช่วงถ่ายเลือด สร้างขุมกำลังหน้าใหม่ขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ที่เริ่มโรยราไปตามกาลเวลา แต่ถ้ามองกันในแง่ร้ายแล้วละก็ มีตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจนมาก่อนจากการเปลี่ยนแปลงทีมในช่วงปี 2006 - 2010 ที่ทีมทำผลงานย่ำแย่เกินบรรยาย
แฟน ๆ คงจำภาพของ ซีเนดีน ซีดาน เพลย์เมกเกอร์สายคลาสสิก ที่โหม่ง 2 ประตูในรอบชิง พาทีมเป็นแชมป์โลกครั้งแรกในศึก ฟรองซ์ '98 กันได้ดี รวมถึงผลงานจากการร่ายมนต์ในสนามอันน่าตื่นตะลึงและสร้างโมเมนต์อันน่าประทับใจไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ฟุตบอลโลก 2006 ที่เจ้าตัวตัดสินใจกลับมาช่วยชาติเป็นครั้งสุดท้าย
ซิซู แบกทีมไปถึงรอบชิงชนะเลิศที่พบกับ ทีมชาติอิตาลี แต่บทสรุปเกมนั้นจบลงไม่สวยเท่าไหร่ หลังเจ้าตัวฟิวส์ขาดจากการปะทะคารมณ์กับ มาร์โก มาเตรัซซี่ เซนเตอร์แบ็กคู่แข่ง จนเรื่องราวบานปลาย
เกิดเป็นเหตุการณ์ เฮดบัตต์บันลือโลก ที่ทำให้เพลย์เมกเกอร์รายนี้โดนใบแดงไล่ออกจากสนามไป ผลจบลงที่อิตาลีชนะในการดวลจุดโทษ ครองตำแหน่งเจ้าโลกไปเป็นสมัยที่ 4
เมื่อจบทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว เรมงต์ โดเมเนค ผู้จัดการทีมในขณะนั้นก็มองถึงเรื่องของการถ่ายเลือดครั้งใหญ่ในทีมแดนน้ำหอม จากการที่แกนหลักประสบการณ์สูงตัดสินใจเลิกเล่นทีมชาติ
ผู้เล่นที่มีอิทธิพลในทีมสูงอย่างซีดานเลือกหันหลังให้กับทีมชาติแบบถาวร จึงเป็นงานหนักของเทรนเนอร์ที่จำเป็นจะต้องเร่งสร้างทีมใหม่ตามวัฏจักรฟุตบอลด้วยการหาตัวแทนเข้ามาอุดช่องโหว่ เพื่อลุยการแข่งขันสำคัญทั้งศึก ยูโร 2008 และ ฟุตบอลโลก 2010
ซึ่งแฟนบอลทัพตราไก่คงจำช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดที่มีตั้งแต่ปัญหายิบย่อยลุกลามไปถึงปัญหาใหญ่ที่เป็นประเด็นให้พูดถึงกันมาจนถึงทุกวันนี้
แล้วพอมาเทียบเคียงสถานการณ์ช่วงนั้นกับสถานการณ์ปัจจุบัน ดิดิเยร์ เดส์ชองป์ส กำลังเผชิญหน้ากับความรู้สึกกลืนไม่เข้า คายไม่ออกไม่ต่างกัน เนื่องจากฟอร์มการเล่นของลูกทีมออกอาการแกว่งชัดเจน
ไม่นับเรื่องทัศนคติของสตาร์ประจำทีมหลายรายที่กัดกร่อนบรรยากาศภายในห้องแต่งตัว จากข่าวกอสซิปของสื่อหลายเจ้าที่นำเสนอออกมาในช่วงหลัง ที่อาจนำพาให้ทีมต้องไปแจอกับบทสรุปแบบเดิม ๆ อีกครั้ง
จุดเริ่มต้น "ความล้มเหลว" ของโดเมเนค
หลังจากเหล่าสตาร์จากบอลโลก 2006 ปลดระวาง ทัวร์นาเมนต์แรกที่ทางโดเมเนคต้องพิสูจน์ฝีมือคือ ยูโร 2008 ซึ่งถูกจับมาร่วม กลุ่ม ซี ที่ว่ากันว่าเป็น กรุ๊ปออฟเดธ ที่มีคู่แข่งทั้ง อิตาลี, เนเธอร์แลนด์ และ โรมาเนีย
การเรียกตัวผู้เล่น 23 คนสุดท้ายของโดเมเนคยังไม่ขัดหูขัดตาแฟนบอลเท่าไรนัก เนื่องจากมีการผสมผสานระหว่างตัวเก๋าและเหล่าดาวรุ่ง
แต่ละรายล้วนค้าแข้งอยู่กับทีมชั้นนำในยุโรปทั้งสิ้น โดยกัปตันทีมชุดนั้นคือ ลิลิยง ตูราม กองหลังมากประสบการณ์จากสโมสรบาร์เซโลน่า บวกกับอดีตเพื่อนร่วมทีมชาติที่คุ้นเคยกันดีอย่าง ปาทริก วิเอร่า และ เธียร์รี่ อองรี คอยประคองในแดนกลางและแดนหน้า
มองจากรายชื่อผู้เล่นแล้วเหมือนกับว่าฝรั่งเศสน่าจะไปได้สวยในรายการนี้ ซึ่งตัวของเทรนเนอร์อย่างโดเมเนคก็เลือกที่จะใช้งาน ฟรองก์ ริเบรี่ แนวรุกฟอร์มร้อนของบาเยิร์น มิวนิค เป็นตัวทีเด็ดในแนวรุก ยึดตามบทสัมภาษณ์ในหนังสือ ตูต์ เซิล ที่ตีพิมพ์ออกมาภายหลัง
อย่างไรก็ตามผลงานของทัพตราไก่กลับไม่ประสบความสำเร็จเหมือนกับที่แฟนบอลของพวกเขาคาดหวังไว้ โดยเปิดหัวเกมแรกด้วยการเสมอกับทีมรองบ่อน โรมาเนีย แบบไร้สกอร์
นัดที่สองพ่ายให้กับ อัศวินสีส้ม แบบหมดรูป 1-4 แล้วปิดท้ายด้วยการโดน อิตาลี คู่ปรับเก่าจากนัดชิงบอลโลกย้ำแค้นอีกครั้ง แพ้ไปด้วยกสอร์ 0-2 เก็บไปเพียงแต้มเดียว ตกรอบไปในฐานะบ๊วยของกลุ่มแบบหมดสภาพ
แต่แทนที่โดเมเนคจะแสดงอาการผิดหวังกับผลงานของทีม เขากลับเลือกที่จะขอแฟนสาว "แต่งงาน" ผ่านการถ่ายทอดสดหลังจบเกมสุดท้าย เป็นการสั่งลาทัวร์นาเมนต์จนกลายเป็นเรื่องที่นำมาพูดถึงกันแบบปากต่อปากว่า "ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง"
หลังจากจบภารกิจบอลยูโร งานต่อไปของฝรั่งเศสก็ยังคงไว้วางใจให้โดเมเนคทำทีมต่อไปคือ ฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนยุโรป ในสภาพที่ฟอร์มของทีมกำลังลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่น่าเกรงขามเท่าเดิม
กลายเป็นว่าตราไก่ต้องมาเหนื่อยหนักกับโควตาไปลุยบอลโลกที่แอฟริกาใต้ ด้วยการต้องมาเล่นรอบเพลย์ออฟกับ ไอร์แลนด์ ซึ่งเทียบกันปอนด์ต่อปอนด์แล้วดูเหมือนว่ายักษ์เขียวจะเป็นรองอยู่พอสมควร
เกมนัดแรกที่สนาม โครค ปาร์ก ประเทศไอร์แลนด์ ฝรั่งเศส บุกไปเอาชนะเจ้าถิ่นมาได้ก่อนแบบฉิวเฉียด 1-0 ก่อนจะกลับมาเล่นในรังเก่งของตัวเองในเกมที่สองที่สนาม ปาร์ก เดส์ แปร็งส์ แต่แล้วสถานการณ์กลับไม่เป็นใจพ่ายไปในช่วงเวลาปกติ 0-1 ส่งผลให้ต้องตัดสินกันในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ในยุคนั้นเทคโนโลยีในการช่วยตัดสินยังไม่ทันสมัยเท่ากับปัจจุบัน แล้วผู้ที่ฉกฉวยโอกาสจากช่องโหว่นั้นได้คือ เธียร์รี่ อองรี ที่ใช้มือแต่งบอลยิงผ่าน เชย์ กิฟเวน นายประตูยักษ์เขียว เป็นประตูชัยให้ทีมคว้าตั๋วไปฟุตบอลโลกได้แบบไม่คู่ควรเอาเสียเลย
ซึ่งหลังจบเกมดังกล่าว ดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของอาร์เซนอลก็โดนกระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ในประเด็นที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ ไม่มีสปิริตความเป็นนักกีฬามืออาชีพ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีการแก้ผลการแข่งขันหรือแข่งใหม่ใด ๆ เกิดขึ้น อันเป็นข้อสังเกตได้บ้างแล้วว่า ทัพตราไก่ ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเดิม ถ้าวัดจากผลงานในสนามช่วงหลัง
พอเข้าสู่ช่วงประกาศผู้เล่น 23 คนสุดท้ายที่จะได้ไปลุยบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ โดเมเนคก็ทำเซอร์ไพรส์อีกครั้ง จากการตัดชื่อของ ปาทริก วิเอร่า, ซามีร์ นาสรี และ คาริม เบนเซม่า ออกไป แต่กลับมีชื่อของนักเตะที่โปรไฟล์เป็นรองอย่าง ยานน์ เอ็มวีล่า และ มาติเยอ วัลบูเอน่า ติดเข้ามาแบบเซอร์ไพรส์
ก่อนฟุตบอลโลก 2010 จะเริ่มขึ้น ทีมงานเลือกพาทีมชาติฝรั่งเศสไปเก็บตัวที่สกีรีสอร์ตที่ตั้งอยู่ในชุมชนทินเยส์ แถบเทือกเขาแอลป์ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ยังไม่นับรวมกิจกรรมผ่อนคลายอันแสนหรูหรา หวังให้เหล่าผู้เล่นคุ้นชินกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ บนพื้นที่สูง ๆ เหนือพื้นทะเล ที่จำลองการลงแข่งในหลายสนามที่ประเทศเจ้าภาพ
อย่างไรก็ตามการเก็บตัวในพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร เพราะทีมต้องเสีย ลาสซานา ดิยาร์ร่า กองกลางจอมขยัน ที่ถอนตัวออกไปจากทีมเพราะมีปัญหาเรื่องลำไส้จนเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง อันเกี่ยวเนื่องมาจากสภาพแรงกดอากาศ
ยิ่งไปกว่านั้น ปาทริซ เอฟร่า และ นิโกลาส์ อเนลก้า สองนักเตะจอมซ่าประจำแคมป์ ก็ไปก่อวีรกรรมเกิดอุบัติเหตุระหว่างออกไปขับรถเอทีวีชมวิวทัวทัศน์ในช่วงพัก โชคดีที่ทั้งคู่ไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ เหมือนกับว่าการเตรียมตัวของทีมจะชิลล์เกินไป และแทบไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นเอาเสียเลย
แล้วก่อนลงแข่งขันเกมแรกกับ ทีมชาติอุรุกวัย เทรนเนอร์อย่างโดเมเนคก็ทำการประกาศเรื่องเซอร์ไพรส์อีกหนึ่งเรื่องให้กับลูกทีม นั่นคือการมอบปลอกแขนกัปตันให้กับ เอฟร่า แทนที่จะเป็น อองรี ฮีโร่จากเกมนัดเพลย์ออฟ ทำเอาลูกทีมต่างงงไปตาม ๆ กัน แถมยังบอกกับกองหน้ารายนี้กลาย ๆ ว่าเขาจะไม่ได้เป็นตัวหลักในทัวร์นาเมนต์นี้
เวลาดำเนินมาเรื่อย ๆ จนถึงช่วงทีมทอล์กก่อนการแข่งขันเกมแรก โดเมเนคที่เหมือนเชื่อมั่นในแนวคิดการถ่ายเลือดก็ออกอาการโอ๋ โยอัน กูร์กคุฟฟ์ เพลย์เมกเกอร์ดาวรุ่งพรสวรรค์สูง ซึ่งเขาวางตัวเอาไว้ให้เป็นตัวแทนของซีดาน จนเหล่านักเตะซีเนียร์ในทีมเริ่มเกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงในใจเล็ก ๆ
ผลงานของ ฝรั่งเศส นัดประเดิมสนามบอลโลก 2010 จบลงด้วยการเสมอกับ อุรุกวัย ไปแบบไร้สกอร์ ด้วยรูปเกมที่เป็นรอง เกือบจะเพลี่ยงพล้ำถึงแพ้เลยด้วยซ้ำ ส่งผลให้บรรยากาศภายในทีมกดดันขึ้นเรื่อย ๆ เพราะตัวโค้ชเลือกที่จะไม่ใช้งาน อองรี หนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของทีม รวมไปถึงการดร็อป ฟลอร็องต์ มาลูดา เป็นตัวสำรอง หลังมีปากเสียงกันระหว่างซ้อม
ความตึงเครียดในเกมที่สองปะทุหนักขึ้นจนถึงจุดเดือด โดเมเนคเลือกที่จะปรับทีมจากนัดก่อนถึง 6 ตำแหน่งในเกมนัดสองรอบแบ่งกลุ่มที่ต้องดวลกับ เม็กซิโก ซึ่งผลสกอร์ครึ่งแรกจบลงด้วยการเสมอกันไป 0-0 ทุกคนต่างกลับเข้าห้องแต่งตัวด้วยความตึงเครียด ทั้งทีมสตาฟและเหล่านักเตะ
โดยเหตุการณ์ที่เป็นไฮไลท์แตกหักระหว่างโดเมเนคกับเหล่าผู้เล่นเกิดขึ้นจากการตำหนิการเล่นของ นิโกลาส์ อเนลก้า ที่โค้ชอย่างเขามองว่าทุ่มเทให้กับทีมไม่มากพอ แถมยังเคลื่อนที่ออกไปจากปากประตูมากเกินไปจนไม่สามารถสร้างความอันตรายกับคู่แข่งได้เลย ส่วนตัวนักเตะเองก็มีการเถียงตอบโต้อย่างรุนแรงจนสถานการณ์บานปลาย ก่อนต้องกลับไปลงสนามต่อในครึ่งหลัง
รูปเกมในครึ่งหลังของตราไก่ย่ำแย่ลงกว่าเดิมชัดเจน แล้วก็ต้องตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 0-2 ซึ่งทาง อเนลก้า ถูกเปลี่ยนตัวออก แล้วส่ง อังเดร ปิแอร์-ชีญัก ลงมาแทน ทิ้งคำถามค้างคาใจให้กับเหล่าผู้เล่นเหมือนเดิมว่า ทำไมถึงไม่เลือกใช้งาน อองรี สักที ?
ยิ่งไปกว่านั้นสมาคมฟุตบอลทีมชาติฝรั่งเศส หรือ แอฟ แอฟ แอฟ ก็เข้ามาจัดการเรื่องราวการทะเลาะกันระหว่างอเนลก้ากับโดเมเนคด้วยการสั่งให้กองหน้าเจ้าปัญหาออกมาขอโทษอย่างเป็นทางการผ่านสื่อ หลังจากเรื่องนี้หลุดออกไปภายนอก ถ้าไม่ทำเช่นนั้นก็แพ็คกระเป๋ากลับบ้านได้เลย
สุดท้ายแล้วอเนลก้าเลือกที่จะไม่ขอโทษกับการกระทำดังกล่าวแล้วถูกส่งตัวกลับบ้านกลางคัน ทั้งที่เหลือเกมนัดตัดสินชะตากับ แอฟริกาใต้ ซึ่งยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์เข้ารอบต่อไปได้อยู่ หากชนะด้วยสกอร์ที่ถล่มทลายเพียงพอ
เหตุการณ์เบื้องต้นสร้างความไม่พอใจให้กับนักเตะในทีมเป็นอย่างมาก เพราะมองว่าเพื่อนร่วมทีมของพวกเขาถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม แล้วพยายามยื่นจดหมายเรียกร้องไปให้กับโดเมเนคพิจารณาเรื่องนี้ใหม่อีกครั้ง แต่กลับถูกเทรนเนอร์ของทีมเมินเฉย
แล้วพอถึงกำหนดการณ์การซ้อมก่อนเกมนัดสุดท้ายที่เป็นการซ้อมทีมแบบเปิดที่ให้สื่อมวลชนและแฟนบอลเข้ามาร่วมชมได้ เหล่าผู้เล่นเลือกที่จะลงมาแจกลายเซ็นต์ทั้งที่ปัญหายังไม่คลี่คลาย แล้วเพียงไม่นาน เอฟร่า กัปตันทีม ก็ทะเลาะกับ โรเบิร์ต ดูเวิร์น โค้ชฟิตเนส
เหตุการณ์นั้นจบลงที่โดเมเนคต้องมาแยกทั้งคู่ออกจากกันต่อหน้าแฟนบอลและนักข่าว ผู้เล่นทุกคนเลือกที่จะปฏิเสธการลงซ้อมแล้วกลับไปขึ้นรถทัวร์ ปิดม่านไม่ให้มีการถ่ายรูปเพิ่มเติม ซึ่งสื่อมวลชนบางเจ้ารายงานตรงกันว่าเทรนเนอร์และนักเตะมีปากเสียงกันต่อบนรถ รวมไปถึงหน้าล็อบบี้ของโรงแรมอีกด้วย
เข้าสู่เกมนัดชี้ชะตากับ แอฟริกาใต้ สภาพทีมของฝรั่งเศสนั้นแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี เป็นผลให้พ่ายไปด้วยสกอร์ 1-2 ตกรอบแรกไปแบบไม่มีอะไรให้จดจำนอกจากเรื่องราวแย่ ๆ ที่หลุดออกมาเป็นประเด็นให้สื่อโจมตี แม้ว่าโดเมเนคจะส่งอองรีลงสนามเป็นตัวสำรองในเกมนี้ แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรทีมได้เพราะทุกอย่างมันสายเกินไป
แน่นอนว่าผลงานอันตกต่ำของทีมชาติฝรั่งเศสย่อมทำให้มีคนต้องออกมารับผิดชอบ ซึ่งไม่ใช่แค่ทางโดเมเนคที่ต้องอำลาตำแหน่งผู้จัดการทีมไป แต่ลามไปถึงประธานสมาคมอย่าง ฌ็องส์-ปิแอร์ เอสกาเลตเตส์ ที่เลือกจะลาออกไปด้วยเช่นกัน แถมยังต้องหลบนักข่าวเลี่ยงการตอบคำถามด้วยการหนีออกทางประตูหลังอีกด้วย
อย่างไรก็ตามประเด็นนี้สามารถมองได้หลายมุมจากการให้สัมภาษณ์และข้อความในหนังสือของโดเมเนค ซึ่งมีการตีพิมพ์ออกมาภายหลัง รวมไปถึงการเอ่ยปากของเหล่านักเตะที่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ดังกล่าวเช่นกัน โดยผู้เสพสื่อต้องใช้วิจารณญาณส่วนตัวตัดสินเอาเองว่า "จะเลือกเชื่อฝั่งไหน ?"
รวมข้อความการอธิบายของ เรมงต์ โดเมเนค อดีตผู้จัดการทีมชาติฝรั่งเศส
"ผมทนไม่ได้ที่ต้องมารับฟังความคิดเห็นของทุก ๆ คนในทุก ๆ เรื่อง มันทำให้ผมป่วย อยากร้องไห้ และอยากออกไปจากตรงนั้น"
"เขา (อเนลก้า) พูดแดกดันผมระหว่างพักครึ่งในเกมที่พบกับเม็กซิโก เมื่อผมไม่สามารถหยุดการโต้เถียงนั้นได้ เขาก็กลายเป็นคนที่ทำลายทีม"
"หลังจากจบเกมกับเม็กซิโก อเนลก้า และ กัลลาส หัวเราะกันยกใหญ่ การแสดงออกแบบนั้นคืออะไร ? พวกเขามีความสุขที่ทีมแพ้หรือ ?"
"อเนลก้าเป็นคนที่เข้าใจได้ยาก และเป็นผู้ซึ่งไม่เคยทำอะไรให้กับคนอื่น ๆ เลย"
"การตัดสินใจที่ตัดเขาออกจากทีมเป็นเรื่องถูกแล้ว ผมต้องขอโทษเด็ก ๆ แทนนักเตะที่ทำตัวไม่เหมาะสมบางอย่างออกไป อเนลก้าไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดออกมาแบบนั้นเลย"
"ทีมชาติฝรั่งเศสเพิ่งจะตรึงกางเขนตัวเองในที่สาธารณะแบบสด ๆ ผ่านหน้าจอโทรทัศน์"
"บางทีพวกผู้เล่นอาจจะเข้าใจมันหรือไม่เลยก็เป็นได้ … ไม่ว่ายังไงมันก็สายเกินไปแล้ว เครื่องจักรแห่งความชั่วร้ายได้เดินเครื่องไปเรียบร้อยแล้ว และมันก็จะลากขุนพลเลอ เบลอส์ ลงนรกไปด้วยกันทุกคน"
"ผมเข้านอนหลังจากดื่มเบียร์ไปนิดหน่อย แค่ไม่กี่ลิตรเท่านั้นเอง"
"ผมลาออกจากตำแหน่งแล้ว ผมไม่สนใจพวกคนปัญญาอ่อนเหล่านั้น ผมไม่มีพลังงานใด ๆ เหลืออีก ผมไม่ชอบขี้หน้าพวกเขาอีกต่อไป ผมรับความโกรธเกรี้ยวจากพวกเขามามากเกินพอแล้ว"
"ทีมชาติฝรั่งเศสทีมนี้อยู่นอกเหนือความเข้าใจโดยสมบูรณ์ และผมควรถูกตำหนิในบางเรื่อง ผมเข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ ผิดไปหมด และผมรู้สึกอับอายเหลือเกิน"
ไม่ใช่แค่เฮดโค้ชเท่านั้นที่ออกมาแฉเรื่องนี้ เพราะนักเตะทีมชาติฝรั่งเศสชุดนั้นแทบทุกคนปรากฏตัวต่อหน้าสื่อและพูดถึงมุมมองของตัวเองอย่างไม่เกรงใจใคร ข้อนี้แสดงให้เห็นถึงความเละเทะในแคมป์เก็บตัวทีมชาติฝรั่งเศสชุดฟุตบอลโลก 2010 ได้เป็นอย่างดี
นิโกลาส์ อเนลก้า ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ฟรองส์ ซัวร์
"มีการถกเถียงอย่างร้อนแรงกับผู้จัดการทีมจริง ๆ แต่มันอยู่ในขอบเขตของการให้ความเคารพซึ่งกันและกันในห้องแต่งตัวระหว่างผมกับเขา ต่อหน้าเพื่อนร่วมทีมและสตาฟคนอื่น ๆ"
"เรื่องเหล่านี้ไม่ควรหลุดออกไปจากห้องแต่งตัว"
"ผมขอยืนยันว่าคำพูดที่หลุดออกมาตามหน้าสื่อ (เลอ กิปส์ ใช้คำว่า - go screw yourself, dirty son of a whore) ไม่ใช่คำที่ผมพูดออกมา แต่ผมไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าพูดคำไหนออกไป"
ปาทริซ เอฟร่า (กัปตันทีม)
"ปัญหาของทีมไม่ใช่อเนลก้า แต่มีคนทรยศอยู่ในหมู่ของพวกเรา เลยต้องมีการกำจัดคนทรยศรายนั้นออกไปจากทีม"
"เรื่องราวของเหตุการณ์นี้หลุดออกไปถึงสื่อจากการเปิดเผยของใครสักคนในทีม ผู้ซึ่งต้องการทำร้ายทีมชาติฝรั่งเศส"
"ผมมีลูก ๆ แล้ว และผมไม่ต้องการเปื้อนมลทินจากข่าวลือว่าผมคือคนทรยศ"
วิลเลี่ยม กัลลาส (กองหลังอาวุโส)
"พวกเราทุกคนต้องการประท้วงการตัดสินใจของผู้จัดการทีม แล้วทุกคนก็เห็นด้วยกับการไม่ลงซ้อม"
"โดเมเนคไม่ใช่คนที่เปิดกว้าง ผู้เล่นหลายคนไม่สามารถพูดคุยกับเขาได้ ต่อให้เขาจะบอกว่ารับฟังพวกเราอยู่ แต่ตอนตัดสินใจเขาจะทำมันเพียงคนเดียว"
"สิ่งที่พวกเราพูดออกไปมันไม่ได้กระตุ้นอะไรเขาเลย ดังนั้นผมเลยไม่พูดเสนอแนะอะไรอีก ผมฟังเขาและทำตามคำสั่งเท่านั้น"
ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมหรือไม่ ?
หลังจากการประกาศชื่อขุนพล 26 คนสุดท้ายของ ดิดิเยร์ เดส์ชองป์ส ไม่มีทางที่จะหนีพ้นเรื่องเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปได้ ซึ่งการตอบโต้ที่ดีที่สุดคือการพยายามทำผลงานเพื่อป้องกันแชมป์อีกสมัยด้วยการใช้นักเตะที่มีอยู่ตามอัตภาพ
ใช่ว่าขุนพลทั้งหมดในชุดนี้จะรักใคร่กลมเกลียวกันเสียเมื่อไหร่ ? เพราะหลายรายเคยมีประเด็นสงครามน้ำลายผ่านทางหน้าสื่อกันมาแล้ว ยกตัวอย่างเช่นผู้เล่นแดนหน้าอย่าง คาริม เบนเซม่า และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่ต้องมาร่วมงานกันอย่างไม่มีทางเลือก
ตัวของเบนเซม่าในสมัยที่ถูกแบนจากทีมชาติจากกรณีเซ็กซ์เทปของ มาติเยอ วัลบูเอน่า ดันไปเปรียบตัวเองเป็นรถฟอร์มูล่าวัน แล้วไปเทียบฝีเท้าของชิรูด์ว่าเป็นแค่รถโกคาร์ท ซึ่งก็โดนตอกกลับด้วยเรื่องการคว้าแชมป์โลกปี 2018 จนเถียงไม่ออก
ยังไม่นับรวมเรื่องของอีโก้ในการเล่นของ คีลิยัน เอ็มบัปเป้ ดาวยิงจากสโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง อีกหนึ่งราย ที่ใส่ใจผลงานของตัวเองมาก่อนทีมอยู่บ่อยครั้ง จนสร้างปัญหาอันน่าปวดหัวให้กับต้นสังกัดมาแล้วนักต่อนักจากจังหวะการเล่นที่เห็นแก่ตัวมากเกินไป
งานของเดส์ชองป์สที่ต้องควบคุมและปรุงแต่งวัตถุดิบในมือให้ออกมากลมกล่อมที่สุดคงมีความกดดันเป็นอย่างมาก เนื่องจากผลงานที่ผ่านมาไม่เป็นดั่งใจหวังสักเท่าไร แต่อย่างน้อยต้องก็พยายามไว้ลายในฐานะ "แชมป์เก่า" ให้ดีที่สุด พร้อมภาวนาเอาไว้ในใจว่า "อย่าเจอปัญหาเหมือนครั้งฟุตบอลโลก 2010 เลย" เพื่อจะได้ส่งท้ายตัวเองลงจากตำแหน่งแบบสวย ๆ และเป็นตำนานให้แฟนบอลได้จดจำ
แหล่งอ้างอิง
https://www.fourfourtwo.com/features/high-farce-and-high-treason-highveld-france-2010-world-cup
https://bleacherreport.com/articles/409642-why-the-french-failed-a-story-about-a-coach
https://www.france24.com/en/20100630-world-cup-2010-disgraced-french-coach-domenech-faces-lawmakers-escalettes-fff-france-football
https://www.france24.com/en/20100619-france-anelka-kicked-out-world-cup-insult-coach-domenech
https://www.theguardian.com/football/2012/nov/19/raymond-domenech-france-2010-world-cup
https://www.theguardian.com/football/2010/jun/20/france-raymond-domenech-nicolas-anelka
http://edition.cnn.com/2010/SPORT/football/07/07/football.gallas.france.domenech.vieira/index.html
https://thesefootballtimes.co/2017/08/30/the-mutiny-of-les-bleus-how-france-capitulated-at-the-2010-world-cup/