หลังการประกาศรายชื่อนักเตะ 26 คนสุดท้าย สำหรับลุยศึกฟุตบอลโลก 2022 ของทีมชาติญี่ปุ่น แฟนบอลต่างต้องส่ายหัวกับการตัดสินใจของ ฮาจิเมะ โมริยาสุ กุนซือของพวกเขา ในการหยิบผู้เล่นกองหน้าไปลุยฟุตบอลโลกครั้งนี้อย่าง ทาคุมะ อาซาโนะ, ไดเซน มาเอดะ และ อายาเสะ อุเอดะ ที่ทั้งสามร่วมกันผลิตสกอร์ให้กับทีมชาติไปได้แค่ 8 ประตูเท่านั้น
อย่างไรก็ตามการได้รับบาดเจ็บของ ยูตะ นากายามะ แบ็กขวาฮัดเดอร์สฟิลด์ จนต้องถอนตัวออกจากทีมชาติไป ทำให้ที่นั่งบนเครื่องบินเที่ยวไปกาตาร์ของทีมชาติญี่ปุ่นว่างอยู่หนึ่งที่ ซึ่งแฟนบอลหลายคนต่างคาดหวังว่าญี่ปุ่นจะเลือกกองหน้ารายอื่น ๆ มาเพิ่มเติมสำหรับฟุตบอลโลกครั้งที่จะถึงนี้ เช่น เคียวโงะ ฟุรุฮาชิ กองหน้าญี่ปุ่นขวัญใจชาวสกอตแลนด์ หรือ ยูยะ โอซาโกะ นักเตะที่มีสไตล์การเล่นใกล้เคียงกับคำว่า "กองหน้าเบอร์ 9" มากที่สุดของญี่ปุ่นในปัจจุบัน
แต่กองหน้าที่ญี่ปุ่นเรียกเข้ามาเสริมกลับเป็นเด็กหนุ่มวัย 23 ปีที่ชื่อ "ชูโตะ มาชิโนะ"
เขาเป็นใคร ? ติดตามความเป็นมาของกองหน้ารายนี้ ก่อนจะมาติดทีมชาติญี่ปุ่นในฟุตบอลโลก 2022 ได้ที่นี่ Main Stand
จุดเริ่มต้น ณ หมู่บ้านนินจา
ชูโตะ มาชิโนะ เกิดที่จังหวัดมิเอะ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 1999 และเติบโตอยู่ในเมืองอิงะ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองต้นกำเนิดของนักรบญี่ปุ่นโบราณ ผู้เป็นเลิศด้านการสอดแนม ลอบสังหาร และหลบหนี ที่รู้จักกันดีในชื่อ "นินจา"
นั่นจึงเป็นที่มาของท่าดีใจที่มาชิโนะชอบทำเป็นประจำเวลาที่เขาทำประตูให้กับทีมได้ ด้วยการประสานอินตามแบบฉบับของนินจา
มาชิโนะมีความฝันที่อยากจะเป็นนักฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก โดยเขาเริ่มเล่นฟุตบอลตอนอายุ 3 ขวบ และได้พ่อของเขาเป็นโค้ชคอยสอนให้ จากนั้นเขาก็เล่นฟุตบอลกับทีมโรงเรียนในบ้านเกิดตั้งแต่ช่วงประถมจนถึงมัธยมต้นด้วยตำแหน่งกองกลาง จากกระแสความเฟื่องฟูของมังงะที่ชื่อ "กัปตันสึบาสะ" ที่ทำให้นักเตะทั่วประเทศญี่ปุ่นแห่กันเล่นแต่ตำแหน่งกองกลางตามพระเอกของเรื่อง
ในช่วงที่เรียนอยู่ชั้นประถม เขาเกิดได้รับบาดเจ็บที่เท้าขวาที่เป็นเท้าข้างถนัด ทำให้เขาต้องหันมาเริ่มเตะฟุตบอลด้วยเท้าซ้ายแทนตามคำแนะนำของพ่อ จนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มาชิโนะสามารถทำประตูได้ด้วยเท้าทั้งสองข้าง ดังกับว่าเขาไม่มีเท้าข้างไหนที่ไม่ถนัด
"ตอนที่ผมเจ็บเท้าขวา พ่อมักจะบอกให้ผมลองเตะลูกฟุตบอลด้วยเท้าซ้ายเสมอ และนั่นทำให้ผมก้าวมาถึงจุดที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้" มาชิโนะ อธิบายเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถเล่นฟุตบอลได้ด้วยเท้าทั้งสองข้าง
"หรือแม้แต่ตอนที่ผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ผมก็เคยวางขวดพลาสติกแล้วฝึกเตะลูกฟุตบอลให้โดนขวดด้วยเท้าแต่ละข้าง เพื่อปรับปรุงความแม่นยําทั้งในการจ่ายบอลและทำประตูของผม"
หลังจากจบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มาชิโนะก็ได้ออกเดินทางจากเมืองอิงะเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายกับโรงเรียนริเซฉะ ในเมืองโทโยนากะ จังหวัดโอซากา ซึ่งห่างจากบ้านเกิดของเขาประมาณ 80 กิโลเมตร
เมื่อเขาขึ้นมาอยู่ชั้นมัธยมปลายก็เริ่มสนใจที่จะลงเล่นในตำแหน่งกองหน้ามากขึ้น จากการที่ตัวเองสามารถใช้เท้าได้ดีทั้งสองข้าง เขาขยับตำแหน่งขึ้นมาเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าจนผลงานของเขาในตอนนั้นโดดเด่นมาก และสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นตัวจริงของทีมโรงเรียนได้ทันทีตั้งแต่ปีแรกที่เข้าเรียนที่นี่ มาชิโนะได้ติดทีมไปแข่งรายการฟุตบอลมัธยมปลายชิงแชมป์แห่งชาติของญี่ปุ่น หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ศึกชิงแชมป์ฤดูหนาว" 2 ครั้ง
แม้ว่าทีมของเขาจะไม่สามารถคว้าแชมป์รายการนี้ได้ แต่ฟอร์มการเล่นของเขาก็ไปเข้าตาทีมยักษ์ใหญ่จากลีกสูงสุดของประเทศอย่าง โยโกฮามา เอฟ มารินอส
ทีมดังจากจังหวัดคานางาวะทีมนี้ให้ความสนใจต่อตัวเขามาตลอดตั้งแต่ตอนที่เขากำลังเรียนอยู่ในชั้นปีที่สอง (มัธยมศึกษาปีที่ 5 ของไทย) ยาวมาถึงชั้นปีที่สาม (มัธยมศึกษาปีที่ 6 ของไทย) จนสุดท้ายทางสโมสรก็ได้ยื่นคำเชิญให้มาชิโนะมาร่วมซ้อมกับทีมในที่สุด ซึ่งมาชิโนะก็ไม่ปฏิเสธคำเชิญดังกล่าว
หลังจากจบการศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เขาก็ได้เติมเต็มความฝันในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับทางโยโกฮามา เอฟ มารินอส ที่ได้ให้ความสนใจตัวเขามาตลอด 2 ปี ในช่วงต้นปี 2018 ถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของมาชิโนะในการก้าวเข้าสู่วงการนักเตะอาชีพญี่ปุ่น และจากนี้ไปเขาจะต้องเจอกับบททดสอบต่าง ๆ ที่ได้ถูกเตรียมเอาไว้แล้ว หากเขาต้องการจะเป็นนักเตะอาชีพที่มีอนาคตการค้าแข้งอันเต็มไปด้วยแสงสว่าง
ก้าวสู่เวทีนักเตะอาชีพ
เมื่อย่างเท้าเข้าสู่การเป็นนักเตะของสโมสรฟุตบอลอาชีพครั้งแรก มาชิโนะต้องปรับตัวเข้ากับหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่เคยเจอมาก่อนกับการได้มาเล่นภายใต้สีเสื้อของโยโกฮามา เอฟ มารินอส จากที่ใช้ชีวิตแบบนักฟุตบอลของทีมโรงเรียนมาตลอด เขาต้องมาใช้ชีวิตแบบนักฟุตบอลอาชีพที่ทุกลมหายใจเข้าออกมีแต่เรื่องของฟุตบอล
ธรรมเนียมปฏิบัติของสโมสร ระเบียบวินัย หลักโภชนาการต่าง ๆ แผนหรือระบบการเล่นของทีมที่มีความเข้มข้นมากขึ้น เป็นสิ่งที่มาชิโนะต้องมาเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด เขาเริ่มซึมซับความเป็นมืออาชีพของสโมสรมากขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถกลมกลืนเข้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของทีมได้ภายในเวลาไม่ถึงปี
อย่างไรก็ตามมาชิโนะก็ไม่เคยได้รับโอกาสให้ลงสนามในนามทีมชุดใหญ่ของมารินอสเลยสักนัดเดียว เพราะกุนซือที่หวังจะปลุกปั้นเขาให้กลายเป็นยอดกองหน้าของเจลีกอย่าง เอริก มงบาร์ตส์ ก็ได้อำลาทีมไปก่อนที่เขาจะเข้ามาร่วมทีม และกุนซือที่เข้ามาใหม่ อังเก ปอสเตโคกลู ก็ไม่ได้สนใจอยากจะใช้งานเขาเลยแม้แต่น้อย
"ในโลกของฟุตบอล เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงโค้ชนั่นหมายถึงจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเล่นของทีมด้วยเช่นกัน และไม่ว่าโค้ชจะเป็นใครหากนักเตะคนไหนไม่สามารถเล่นได้อย่างที่พวกเขาต้องการ แม้นักเตะคนนั้นจะมีฝีเท้าดีแค่ไหนก็จะไม่สามารถสอดแทรกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมได้ ผมคิดว่าผมเป็นนักเตะประเภทนั้นในสายตาของเขา (อังเก ปอสเตโคกลู)" มาชิโนะ กล่าวในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสโมสรโชนัน เบลล์มาเร
แม้ในความเป็นจริงเขาอาจจะยังมีเวลาอีกมากในการพิสูจน์ให้ผู้จัดการทีมเห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงที่มีอยู่ในตัว เพราะสำหรับเจลีกนักเตะส่วนใหญ่ที่ได้เทิร์นโปรตั้งแต่ช่วงที่ยังเป็นวัยรุ่น พวกเขามักจะใช้เวลาสองถึงสามปีในการฝึกซ้อมเพื่อขัดเกลาฝีเท้าตัวเองหรือลงเล่นให้กับทีมชุดเยาวชน ถึงจะได้ประเดิมลงสนามกับทีมชุดใหญ่
มาชิโนะที่เพิ่งเข้ามาอยู่ในสโมสรได้ไม่ถึงปี มันจึงอาจทำให้ช่วงเวลาสำหรับเขาในการลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของมารินอสนั้นยังไม่มาถึงเร็ว ๆ นี้
แต่มาชิโนะก็ไม่ได้คิดไปในแบบเดียวกับนักเตะดาวรุ่งของทีม เขาไม่ต้องการที่จะเสียเวลาไปกับการวนเวียนอยู่ในทีมเยาวชนหรือทีมสำรอง เพราะเขาเองก็ตระหนักดีว่าการได้โอกาสลงเล่นในเกมการแข่งขันของทีมชุดใหญ่เป็นสิ่งที่จะทำให้เขาสามารถพัฒนาฝีเท้าได้เร็วกว่า และเขาต้องการที่จะย้ายไปอยู่กับทีมที่ต้องการให้เขาลงเล่นในทีมชุดใหญ่
ความต้องการของเขาก็ไปสอดคล้องกับข้อเสนอจากทีมฟุตบอลในระดับเจลีก 3 อย่าง กิราวานซ์ คิตะคิวชู ทีมจากทางตอนเหนือของจังหวัดฟุกุโอกะ ในภูมิภาคคิวชู ซึ่งอยากจะขอยืมตัวนักเตะดาวรุ่งที่มีแววแจ้งเกิดของทีมในลีกสูงสุดมาใช้งาน แล้วหวยก็ไปออกที่มาชิโนะสำหรับนักเตะที่คิตะคิวชูต้องการยืมตัวไปร่วมทีม
"ตอนนั้นคิตะคิวชูอยู่ท้ายตารางของเจลีก 3 และผมก็เกิดความคิดแปลก ๆ ขึ้นมาว่า ถ้าผมคิดว่าผมสามารถลงเล่นเกมเจลีก 1 ในฐานะนักเตะอาชีพได้ ผมก็ต้องเล่นให้กับทีมที่ทำผลงานได้แย่ที่สุดในเจลีก 3 ได้แบบสบาย ๆ เลยสิ และหลังจากที่ผมได้ไปอยู่ที่นั่น (กิราวานซ์ คิตะคิวชู) ด้วยสัญญายืมตัว มันทำให้ผมคิดว่าผมต้องทําผลงานออกมาให้ดีที่สุด ผมจะไม่ยอมให้การยืมตัวครั้งนี้ของผมลงเอยด้วยความสิ้นหวัง" มาชิโนะ กล่าวด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มร้อยที่จะพาคิตะคิวชูประสบความสำเร็จ
เขาเห็นว่านี่เป็นโอกาสในการที่เขาจะได้สัมผัสบรรยากาศเกมลีกอาชีพของทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในชีวิต จึงตัดสินใจที่จะตอบรับข้อเสนอนี้ และมันก็ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งสำคัญที่สุดของเขา
ออกสตาร์ทจากจุดต่ำสุด
หลังจากที่มาชิโนะอยู่กับโยโกฮามา เอฟ มารินอส มาเป็นเวลาหนึ่งปีโดยไม่ได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่เลย เขาก็ได้มองหาโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ด้วยการถูกยืมตัวหนึ่งฤดูกาลไปเล่นให้กับ กิราวานซ์ คิตะคิวชู ในเจลีก 3 ฤดูกาล 2019
การตัดสินใจพาตัวเองมาเล่นกับทีมในเจลีก 3 ครั้งนี้ของมาชิโนะถือเป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงอย่างมาก เพราะหากเขาไม่สามารถโชว์ฟอร์มที่ดีกับคิตะคิวชู ทีมที่จบอันดับบ๊วยของเจลีก 3 ฤดูกาลก่อนได้ (ปัจจุบันเจลีก 3 ยังไม่มีการให้ทีมตกชั้น) นั่นจะเป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่าเขาไม่ได้เป็นนักเตะที่ดีพอสำหรับลีกสูงสุดของประเทศญี่ปุ่น หรือแม้แต่จะเป็นนักเตะที่ลงเล่นในลีกอาชีพได้ด้วยซ้ำ
มาชิโนะได้พบกับกุนซือของกิราวานซ์ คิตะคิวชู ในขณะนั้นอย่าง ชินจิ โคบายาชิ ทั้งสองได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกัน และทำให้มาชิโนะรู้สึกว่าการถูกยืมตัวมาเล่นให้กับทีมแห่งนี้จะต้องเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขาอย่างแน่นอน
"ตอนที่ผมไปทักทายเขา (ชินจิ โคบายาชิ) ครั้งแรกเมื่อผมมาถึงคิตะคิวชู เขาเป็นคนร่าเริงมากและพูดกับผมด้วยประโยคที่เป็นกันเอง เช่น 'มาทําให้ดีที่สุดไปด้วยกัน' รวมถึงตัวเขาเองก็เปี่ยมไปด้วยพลังงานด้านบวก" มาชิโนะ กล่าวถึงความประทับใจแรกของเขาเมื่อได้พบกับกุนซือของกิราวานซ์ คิตะคิวชู
"โค้ชโคบายาชิเอ็นดูผมมาก ผมบอกได้เลยว่าเขาต้องการผม ผมไม่รู้จักโค้ชคนนี้เป็นการส่วนตัว แต่ผมเคยได้ยินมาว่าเขาเป็นโค้ชที่ปลุกปั้นนักเตะกองหน้าได้ดี ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะพัฒนาฝีเท้าของผมกับการลงเล่นให้คิตะคิวชู"
การที่เขาได้ทำงานร่วมกับโคบายาชิยิ่งทำให้เขารู้สึกหลงรักฟุตบอลมากขึ้นไปอีก
"ผมรู้สึกว่าโค้ชโคบายาชิเป็นโค้ชที่คุยและสื่อสารด้วยง่ายมาก ผมอยากขอบคุณเขามากที่ทำให้ผมได้สนุกไปกับการเล่นฟุตบอลในทุก ๆ วัน"
เมื่อทุกอย่างกำลังเข้าที่เข้าทางก็ได้เวลาที่เขาและทีมจะออกไปทำผลงานในสนาม และไม่น่าเชื่อว่าจากทีมที่จบอันดับบ๊วยเมื่อฤดูกาลก่อน กิราวานซ์ คิตะคิวชู จะกลายมาเป็นแชมป์ลีกในฤดูกาลต่อมาได้
มาชิโนะมีส่วนร่วมในการพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในเจลีก 2 ได้สำเร็จในฤดูกาล 2019 โดยยิงไป 8 ประตู กับ 3 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 30 เกม แม้ตัวเลขการทำประตูอาจจะไม่ได้สูงเวอร์ แต่ความมุ่งมั่นที่เขาได้มอบให้กับคิตะคิวชูได้รับการพิสูจน์จากแฟนบอลแล้วว่าเป็นของจริง
"ในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล พวกเราชนะ 9 เกมติดต่อกัน เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพวกเราในฤดูกาลนี้ แม้ช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลจะมีแผ่วไปบ้าง แต่สุดท้ายพวกเราก็จบฤดูกาลด้วยการเป็นแชมป์ลีก มันเป็นอะไรที่วิเศษมาก ๆ" มาชิโนะ เผยความรู้สึกหลังพาคิตะคิวชูเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นลีกรองของญี่ปุ่นได้ในรอบ 3 ปี
หลังจากหมดสัญญายืมตัว มาชิโนะต้องกลับมานั่งตัดสินใจครั้งใหญ่อีกครั้งว่าจะเอาอย่างไรต่อกับชีวิตการค้าแข้งของเขาต่อจากนี้ จะอยู่เพื่อพิสูจน์ตัวเองต่อกับโยโกฮามา เอฟ มารินอส หรือจะไปต่อกับ กิราวานซ์ คิตะคิวชู ซึ่งถ้าจะไปต่อในคราวนี้เขาจะต้องหันหลังให้กับมารินอสด้วยการย้ายไปร่วมทีมคิตะคิวชูแบบถาวร
สุดท้ายเขาก็ได้เลือกที่จะไปต่อกับ กิราวานซ์ คิตะคิวชู ทีมที่มอบโอกาสให้เขาได้สัมผัสเกมการแข่งขันระดับสูงกับทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก
"ผมได้ยินมาว่า เจลีก 2 เป็นลีกที่แข็งมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็มีความตั้งใจที่จะขึ้นไปเล่น เจลีก 1 กับทีม ๆ นี้" เป้าหมายต่อไปของมาชิโนะในการลงเล่นให้กับ กิราวานซ์ คิตะคิวชู ได้ถูกเปิดเผยจากปากของเขาเอง หลังได้ย้ายมาร่วมทีมอย่างถาวร
ฤดูกาลที่สองของมาชิโนะกับคิตะคิวชู เขายังคงรักษามาตรฐานเดิมจากฤดูกาลก่อนไว้ได้ โดยยิงไป 7 ประตู จากการลงเล่น 32 เกม แต่ที่เพิ่มมาคือการแอสซิสต์ที่มากขึ้นกว่าฤดูกาลก่อน โดยเขาจ่ายให้เพื่อนทำประตูไป 8 ครั้ง ในฤดูกาล 2020
แม้จะไม่สามารถเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นเจลีก 1 ได้ แต่การจบฤดูกาลด้วยอันดับ 5 ของตารางก็ถือว่าเป็นอะไรที่สุดยอดมากสำหรับกิราวานซ์ คิตะคิวชู ทีมน้องใหม่ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาเมื่อฤดูกาลก่อน
มาชิโนะได้กลายเป็นนักเตะตัวหลักของคิตะคิวชูเป็นที่เรียบร้อยหลังลงเล่นให้กับทีมมาตลอดสองฤดูกาล และเขาเองก็ดูจะมีความสุขมากกับการได้รับความไว้วางใจจากสโมสรแห่งนี้ให้ลงเล่นเกมการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามการเดินทางสู่การเป็นยอดนักเตะของเขายังไม่ได้หยุดลงแต่เพียงเท่านี้ เพราะก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูกาล 2021 ได้มีสโมสรแห่งหนึ่งจากเจลีก 1 ติดต่อมายังกิราวานซ์ คิตะคิวชู เพื่อขอดึงตัวมาชิโนะไปร่วมทีม
เส้นทางที่ควรเป็น
โชนัน เบลล์มาเร คือทีมจากเจลีก 1 ที่สนใจในตัวมาชิโนะและอยากจะให้เขาย้ายมาเล่นกับทีม เขาไม่ลังเลเลยที่จะตอบรับข้อเสนอจากโชนัน เพราะมันจะทำให้เขากลับเข้าสู่เส้นทางการค้าแข้งเดิมที่เขาควรจะเดินตั้งแต่สมัยที่เขายังเล่นให้กับโยโกฮามา เอฟ มารินอส นั่นคือการเป็นนักเตะที่ได้ลงเล่นในเจลีก 1
แต่การตัดสินใจเลือกที่จะย้ายมาเล่นให้กับโชนัน เบลล์มาเร ของมาชิโนะนั้นไม่ใช่เพียงเพราะเขาอยากจะลงเล่นในเจลีก 1 เท่านั้น แต่ด้วยสไตล์การเล่นของโชนันที่มีความคล้ายกับคิตะคิวชู รวมถึงฐานที่ตั้งของโชนันที่อยู่ในจังหวัดเดียวกับมารินอส ทั้งสองอย่างนี้ก็มีส่วนที่ทำให้มาชิโนะรู้สึกตื่นเต้นมากถ้าเขาจะได้ลงเล่นให้กับโชนัน
"ที่นี่ (โชนัน เบลล์มาเร) มีแนวทางการเล่นฟุตบอลที่คล้ายกับคิตะคิวชู ผมคิดว่าทีม ๆ นี้น่าจะเหมาะกับผม ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะเติบโตไปพร้อมกับพวกเขา"
"แม้ผมจะไม่เคยมีส่วนร่วมกับเกมในสนามมาก่อน แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันร้อนระอุในเกมศึกคานางาวะดาร์บี้แมตช์ ผมตื่นเต้นมากที่จะได้สวมเสื้อของโชนันลงแข่งกับทีมเก่าของผมในศึกดาร์บี้ครั้งนี้"
สำหรับฤดูกาลแรกของมาชิโนะในเจลีก 1 มันทำให้เขารู้ว่าตัวเองยังไม่ได้เป็นนักเตะที่ดีเท่าไรบนเวทีลีกสูงสุดของประเทศ หลังทำไปได้เพียง 4 ประตู จากการลงเล่น 31 เกม
"เซ็นเตอร์แบ็กของทีมในลีกระดับนี้ตัวใหญ่มากแถมยังมีความสามารถที่ล้นเหลือ ผมคิดว่าผมทําได้ค่อนข้างดีในเกมที่ผมลงเล่นในเจลีก 2 แต่พอขึ้นมาเล่นในเจลีก 1 ผมเสียบอลบ่อยขึ้น มันทำให้ผมรู้สึกถึงความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างลีกรองกับลีกสูงสุด"
"ผมจะต้องทํางานให้หนักขึ้นหากผมต้องการจะเป็นยอดนักเตะในเจลีก 1 และสนุกไปกับการเล่นฟุตบอลในลีกระดับนี้"
หลังจากจบฤดูกาล 2021 มาชิโนะได้ใช้เวลาไปกับการพัฒนาฝึเท้าของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ทั้งการศึกษาวิธีการเล่นของกองหลังคู่แข่งแต่ละคน ดูเทปการเล่นของตัวเองย้อนหลังเพื่อหาว่ามีจุดไหนที่ควรแก้ไข หรือฝึกทำประตูในรูปแบบต่าง ๆ และสิ่งเหล่านี้ที่เขาทำไปมันก็ได้ไปเห็นผลในฤดูกาลต่อมา
มาชิโนะยกระดับการเล่นของตัวเองขึ้นมาอีกขั้นด้วยการโชว์ฟอร์มอันร้อนแรงในฤดูกาล 2022 โดยซัดไป 13 ประตู จากการลงเล่น 30 นัด กลายเป็นนักเตะญี่ปุ่นที่ทำประตูได้มากที่สุดในเจลีก ฤดูกาล 2022 พ่วงกับการครองตำแหน่งรองดาวซัลโวเจลีกฤดูกาลล่าสุด
ผลงานดังกล่าวก็ทำให้ผู้คนเริ่มรู้จักตัวเขามากขึ้นผ่านท่าดีใจหลังทำประตูอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขา นั่นคือ การประสานอินแบบนินจา ซึ่งเป็นการสื่อถึงบ้านเกิดของเขาที่เป็นต้นกำเนิดของนินจา
ด้วยความร้อนแรงของมาชิโนะในฤดูกาลที่เพิ่งจบไปนี้ทำให้เขาได้รับอีกประสบการณ์หนึ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับมันมาก่อน นั่นคือ "การติดทีมชาติ"
ตัวเลือกใหม่ของกองหน้าญี่ปุ่น
ระหว่างที่เขากำลังลงเล่นฟุตบอลในลีกสูงสุดด้วยความมั่นใจ ฮาจิเมะ โมริยาสุ กุนซือทีมชาติญี่ปุ่น ก็ได้เรียกตัวมาชิโนะติดทีมชาติเป็นครั้งแรก เพื่อลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียตะวันออก หรือ EAFF E-1 Football Championship เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ซึ่งมาชิโนะไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าตัวเองจะได้มีชื่อติดทีมชาติ เพราะที่ผ่านมาเขาก็เป็นเพียงกองหน้าของทีมในลีกระดับล่างมาตลอดและเพิ่งจะมาเล่นในลีกสูงสุดเมื่อปีที่แล้วนี่เอง แถมเขายังไม่ได้เล่นให้กับทีมยักษ์ใหญ่ในลีกด้วย แต่ในเมื่อโอกาสมาถึงแล้วเขาก็พร้อมที่จะคว้ามัน
และเขาก็ไม่ทำให้กุนซือทีมชาติญี่ปุ่นผิดหวัง ด้วยการซัด 3 ประตูจากการลงเล่น 3 เกมในทัวร์นาเมนต์ พร้อมกับพาญี่ปุ่นคว้าแชมป์รายการนี้ได้สำเร็จ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีมากในการลงเล่นให้กับทีมชาติของมาชิโนะ
หลังพาญี่ปุ่นคว้าแชมป์เอเชียตะวันออก มาชิโนะก็กลับมาเดินหน้าถล่มประตูคู่แข่งในเจลีกต่อ จนจบฤดูกาลด้วยผลงานการทำประตูแตะเลขสองหลักครั้งแรกในชีวิตนักฟุตบอลอาชีพ และเขาก็กำลังเตรียมตัวพักผ่อนเต็มที่หลังจากเล่นให้กับสโมสรมาตลอดทั้งปี แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พักแน่นอนแล้วจากการที่เขาถูกเรียกติดทีมชาติไปฟุตบอลโลก 2022 แบบคาดไม่ถึง แทนที่ ยูตะ นากายามะ ที่ได้รับบาดเจ็บจนต้องถอนตัวออกไป
เหตุผลที่มาชิโนะซึ่งเล่นในตำแหน่งกองหน้าถูกเลือกมาแทนที่แบ็กซ้ายอย่างนากายามะเป็นเพราะผู้เล่นในตำแหน่งแบ็กซ้ายของทีมชาติญี่ปุ่นนั้นยังคงแข็งแกร่งอยู่ แม้จะมีแบ็กซ้ายอาชีพเพียงแค่ ยูโตะ นางาโตโมะ แต่เซ็นเตอร์แบ็กอย่าง อิโตะ ฮิโรกิ กับ ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ ก็สามารถลงไปเล่นเป็นแบ็กซ้ายได้อย่างไม่เคอะเขิน
และอีกเหตุผลหนึ่งคือการเป็นกองหน้าในสไตล์ที่แตกต่างจากกองหน้าคนอื่น ๆ ของมาชิโนะ โดยคนอื่น ๆ จะเป็นกองหน้าที่เน้นวิ่งไล่บอลแดนบน มีสรีระที่ไม่ได้สูงใหญ่ และไม่ค่อยเฉียบคมในการจบสกอร์
แต่สำหรับมาชิโนะจุดเด่นของเขาคือร่างกายที่สูงใหญ่ถึง 185 ซม. สามารถทำประตูได้จากทุกรูปแบบ ด้วยการโหม่งจากศีรษะหรือใช้เท้าที่ถนัดทั้งสองข้าง รวมถึงความกระหายที่อยากจะทำประตูอยู่ตลอดเมื่อมีโอกาส
การติดทีมชาติญี่ปุ่นไปฟุตบอลโลกครั้งนี้ของมาชิโนะได้สร้างปรากฏการณ์อย่างหนึ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะเขาได้กลายแข้งญี่ปุ่นคนแรกที่มีประสบการณ์เคยผ่านการลงเล่นในเจลีก 3 มาก่อนที่จะติดทีมชาติไปลุยฟุตบอลโลก ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีนักเตะญี่ปุ่นคนไหนเลยที่ลงเล่นในเจลีก 3 มาก่อนแล้วค่อยมาติดทีมชาติไปฟุตบอลโลก
อีกทั้งเขายังกลายนักเตะจากโชนัน เบลล์มาเร คนแรกในรอบ 24 ปีที่ติดทีมชาติญี่ปุ่นไปฟุตบอลโลก ต่อจากนักเตะในฟุตบอลโลก 1998 3 คน ได้แก่ โนบุยูกิ โคจิมะ, วากเนอร์ โลเปซ และสุดยอดกองกลางที่เหล่าสาวกซามูไรบลูไม่มีทางไม่รู้จักอย่าง ฮิเดโตชิ นากาตะ
"ผมตกใจมากเมื่อรู้ว่าตัวเองจะได้ไปฟุตบอลโลก" มาชิโนะ กล่าวในงานแถลงข่าวที่เมืองฮิราสึกะ จังหวัดคานางาวะ พร้อมกับพูดถึงเป้าหมายของเขาในฟุตบอลโลก 2022
"ผมอยากจะทำท่านินจาที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวผมให้คนทั่วโลกได้เห็นในฟุตบอลโลกครั้งนี้"
หากมาชิโนะสามารถดึงฟอร์มการเล่นแบบที่เล่นกับสโมสรในฤดูกาลนี้ของเขามาใช้งานในเกมการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 กับทีมชาติญี่ปุ่นได้
ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็นแข้งความหวังจากหมู่บ้านนินจาทำท่าประสานอินในฟุตบอลโลกครั้งนี้ พร้อมกับพาญี่ปุ่นผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขาก็เป็นได้
แหล่งอ้างอิง
https://hochi.news/articles/20221109-OHT1T51074.html?page=1
https://hochi.news/articles/20220727-OHT1T51223.html?page=1
https://soccer-youth.com/machinosyuuto/
https://www.bellmare.co.jp/269150
https://hochi.news/articles/20221108-OHT1T51222.html?page=1
https://number.bunshun.jp/articles/-/855308
https://www3.nhk.or.jp/sports/news/k10013885731000/