Feature

สตาร์ดัง ≠ สมดุล : การดัดแปลง DNA ฟุตบอลของโปรตุเกส ที่ต้องฝืนธรรมชาติเพื่อเป็นแชมป์โลก | Main Stand

ทุกครั้งที่ฟุตบอลโลกเริ่มขึ้นมักจะมีการพูดถึงทีมชาติโปรตุเกสในฐานะหนึ่งในทีมเต็งเสมอ โดยเฉพาะในยุคหลังจากที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แจ้งเกิดเต็มตัว ทุกคนก็จะคอยจับตาและลุ้นว่าทีมชุดนั้น ๆ ดีพอที่จะส่งโรนัลโด้พิชิตแชมป์โลกได้หรือไม่

 


ทว่าจนถึงตอนนี้ โรนัลโด้ ได้เล่นฟุตบอลโลกมาแล้วทั้งหมด 4 ครั้งโดยที่ไปถึงรอบ 4 ทีมสุดท้ายได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น และฟุตบอลโลก 2022 ครั้งนี้คือครั้งที่ 5 ของเขา ซึ่งก็ถูกคาดหวังไว้ไม่ต่างจากทีมชุดที่ผ่าน ๆ มา

ทำไมทีมชาติที่เต็มด้วยนักเตะเกรดดีล้นทีมกลับไม่เคยเข้าใกล้แม้กระทั่งรอบตัดเชือก ? ติดตามได้ที่ Main Stand 

 

ฟุตบอลโปรตุเกสสไตล์ไหน ? 

ทีมชาติบราซิล คือทีมที่คว้าแชมป์โลกมากที่สุดถึง 5 สมัย และคุณรู้หรือไม่ว่าชาวบราซิลเล่นฟุตบอลเป็นเพราะชาวโปรตุเกสนำสิ่งนี้เข้าไปเผยแพร่ในช่วง ค.ศ. 1500 มีการบันทึกไว้ว่านักสำรวจและนักเดินเรือจากโปรตุเกสได้เดินทางไปยังอเมริกาใต้และได้สร้างสายสัมพันธ์กับชาวบราซิลตั้งแต่วันนั้น ... จนถึงวันนี้ 

บันทึกจากประวัติศาสตร์นำมาซึ่งคำถาม ในขณะที่ผู้รับวัฒนธรรมประสบความสำเร็จด้วยการเป็นทีมที่ดีที่สุดในโลกถึง 5 ครั้ง แต่ผู้เผยแพร่อย่างโปรตุเกสกลับไม่เคยได้สัมผัสบรรยากาศของการชูถ้วยแชมป์โลกเลยแม้แต่หนเดียว มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ? 

ฟุตบอลมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า DNA มันคือสิ่งที่ถูกถ่ายทอดมาจากชีวิตความเป็นอยู่ แนวคิด และอุปนิสัยของคนในแต่ละประเทศ โดยสิ่งเหล่านี้จะถูกส่งผ่านไปยังวิธีการเล่นฟุตบอลของพวกเขา ... คนอิตาลี ไม่มีแบบแผนที่ชัดเจน ชอบการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ถนัดรับมือกับความกดดันที่คาดไม่ถึง นำมาซึ่งฟุตบอลคาเตนัคโช่ ที่ปล่อยให้ทีมอื่นกดดันพวกเขาจนลืมตัว จากนั้นพวกเขาก็จะเล่นงานกลับด้วยวิธีการที่คาดเดาไม่ได้ ขณะที่ คนเยอรมัน มีวินัยเข้มข้น จริงจังกับการทำงาน นำมาสู่ฟุตบอลที่แข็งแกร่งเรื่องระบบที่ใช้ความเป็นทีมเวิร์กเป็นจุดแข็ง 

คนบราซิล รักสนุก มีอิสระทางความคิด มีจินตนาการ มองปัญหาเป็นเรื่องท้าทาย และมันก็ส่งกลับมาที่ฟุตบอลของพวกเขาที่เป็นฟุตบอลที่ใช้ความสามารถเฉพาะตัว มั่นใจในตัวเอง และใช้พรสวรรค์ของตัวเองในการพิชิตฝั่งตรงข้าม ... นี่คือตัวอย่างที่ทำให้ทุกคนอาจเห็นภาพได้ชัดขึ้น แล้วโปรตุเกสล่ะ เป็นแบบไหน ?

ชาวโปรตุเกสเป็นกลุ่มชนโรมานซ์ที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตอนใต้ของยุโรป พวกเขามีความคล้ายกับคนบราซิลที่ชอบการท่องเที่ยว รักอิสระ และชอบการมีชีวิตชีวาภายใต้แสงแดดมากกว่าหิมะและอากาศอึมครึม ความรักอิสระนำมาซึ่งการมีกรอบความคิดที่กว้าง ดังนั้นวิธีการเล่นฟุตบอลแบบ "โปรตุกีสสไตล์" จึงมีความคล้ายกับบราซิลอยู่ไม่น้อย นั่นคือการเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง กล้าแสดงออก และปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ออกมาเต็มพิกัด 

คุณไม่สามารถปฏิเสธความจริงที่ว่าโปรตุเกสนั้นผลิตนักเตะที่มีฝีเท้าน่าตื่นตาตื่นใจมามากมาย แต่ส่วนใหญ่นักเตะของพวกเขาที่ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะแถวหน้าของโลกคือนักเตะตำแหน่งตัวรุกที่มีหน้าที่สร้างสรรค์เกมทั้งนั้น หลุยส์ ฟิโก้ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เริ่มต้นจากตำแหน่งตัวริมเส้น และทั้งคู่พิชิตรางวัลบัลลงดอร์ครั้งแรกจากตำแหน่งนั้น ขณะที่ทีมชุดปัจจุบันของพวกเขามีนักเตะสายครีเอตเต็มไปหมดทั้ง แบร์นาโด้ ซิลวา, บรูโน่ แฟร์นันดส์, ชูเอา เฟลิกซ์ และ คนอื่น ๆ อีกมากมายที่ส่วนใหญ่เป็นนักเตะ 3 ตัวรุกหลังกองหน้า (ซ้าย-ขวา-หน้าต่ำ) ทั้งสิ้น

แอนดี้ บราสเซลล์ (Andy Brassell) ผู้เขียนของเว็บไซต์ The Guardian สรุปโปรตุกีสสไตล์ได้อย่างตรงความจบเรื่องว่า นักเตะโปรตุเกสเป็นธรรมชาติมากเวลาพวกเขาเล่นเกมรุก พวกเขาชอบการเดินหน้า และพวกเขาเกลียดที่จะต้องเป็นฝ่ายวิ่งไล่ลูกฟุตบอลจากฝั่งตรงข้าม … แม้ตัวของบราสเซลล์จะไม่แน่ใจว่านี่เป็นการเหมารวมทางวัฒนธรรม (สเตริโอไทป์) หรือไม่ แต่ตลอด 25 ปีที่ที่ผ่านมาเราได้เห็นฟุตบอลโปรตุเกสเป็นแบบนั้น

โปรตุเกสเล่นฟุตบอลคล้าย ๆ กับบราซิล แต่ทำไมพวกเขาไม่สามารถเป็นแชมป์โลกได้ล่ะ ? ทั้ง ๆ ที่บราซิลก็เล่นแบบนี้และฟาดแชมป์โลกมาถึง 5 สมัย 

 

ฟุตบอลยุคใหม่ต้องมีมากกว่าความสวยงาม 

โปรตุเกสเล่นฟุตบอลสวยงามมาแต่ไหนแต่ไร ในยุคเก่า ๆ พวกเขาไม่ได้เป็นชาติที่เก่งระดับแถวหน้าของโลก มีเพียงนักเตะอย่าง ยูเซบิโอ เท่านั้นที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก และการพึ่งยูเซบิโอคนเดียวให้แบกทีมก็เป็นเหตุผลให้โปรตุเกสไม่สามารถไปถึงแชมป์โลกได้สักที อย่างดีที่สุดคือในฟุตบอลโลกปี 1996 ที่หนนั้นโปรตุเกสจบอันดับ 3 ของทัวร์นาเมนต์ โดยแพ้ให้กับอังกฤษที่กลายเป็นแชมป์ในบั้นปลาย ... ซึ่งหลังจากหมดยุค "เดอะ แบก" พวกเขาก็ห่างไกลจากความสำเร็จเรื่อยมา 

จนกระทั่งมาถึงช่วงยุค 90s โปรตุเกสได้สร้างทีมที่ถูกเรียกว่า โกลเดนเจเนอเรชั่น ที่คว้าแชมป์ยูโร ยู-21 ในปี 1994 นำโดยยอดแข้งอย่าง หลุยส์ ฟิโก้, รุย คอสต้า และ 2 พี่น้อง ชูเอา และ ซา ปินโต ว่ากันว่ายุคสมัยนั้นเป็นยุคที่ฟุตบอลโปรตุเกสจับจุดของตัวเองถูก นั่นคือการลงทุนกับนักเตะเยาวชนมากกว่าทุ่มเงินแข่งกับทีมอื่นในยุโรปเพื่อคว้านักเตะดังมาร่วมทีม  

แต่ถึงอย่างนั้นทีมชุดโกลเดนเจเนอเรชั่นกลับยังไม่สมบูรณ์แบบ เพราะเหตุผลดังที่กล่าวไปในข้างต้น พวกเขามีเทคนิคดี มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ขาดสิ่งหนึ่งที่เรียกว่า "ความเด็ดขาด" นี่คือปัญหาที่ทุกชาติที่มีเด็กเก่ง ๆ แต่ไม่มีนักเตะประสบการณ์สูงที่ผ่านเกมมาเยอะเป็นส่วนผสม

นักเตะพรสวรรค์สูงนำมาสู่คุณภาพเกมที่ยอดเยี่ยมที่ดูแล้วสนุกถูกใจคนดู โปรตุเกสเป็นแบบนั้นมาเสมอ แต่สำหรับทีมที่จะเป็นแชมป์โลกได้นั้นต้องมีอะไรที่มากกว่าแค่ความสร้างสรรค์ คุณลองย้อนกลับไปดูชาติที่เคยคว้าแชมป์โลกในยุค 20 ปีหลังสุดหรือเข้าใจกันในชื่อยุคโมเดิร์นฟุตบอลเอาก็ได้ ชาติที่ขึ้นชื่อเรื่องฟุตบอลสวยงามที่ได้แชมป์โลกอย่างบราซิลที่คว้าแชมป์ในปี 2002 คือตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้ 

หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ มีนักเตะพรสวรรค์สูงให้เลือกใช้มากมาย แต่เขาเตรียมทีมก่อนเข้าทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวด้วยความแตกต่าง ... "บิ๊กฟิล" เอาสิ่งที่เรียกว่าบอลระบบมาใช้มากกว่าทีมชาติบราซิลชุดอื่น ๆ พวกเขายืนเซ็นเตอร์แบ็ก 3 ตัว (โรเก้ จูเนียร์, ลูซิโอ และ เอ็ดมิลสัน) ขณะที่กองกลางก็เป็นเชิงรับทั้ง 2 คน (จิลแบร์โต้ ซิลวา และ เคลแบร์สัน) บราซิลชุดนั้นมีเกมรับที่แข็งแกร่งมาก และเมื่อได้บุกพวกเขาจะใช้ 3 กองหน้าที่อยู่ในระดับเวิลด์คลาสอย่าง โรนัลโด้, ริวัลโด้ และ โรนัลดินโญ่ เป็นคนจัดการเรื่องนี้แทบทั้งหมด บิ๊กฟิลบริหารความเป็นแซมบ้าสไตล์ให้เข้ากับฟุตบอลสมัยใหม่ นั่นคือกุญแจที่ทำให้บราซิลชุดนั้นคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ 

เรากลับมาที่โปรตุเกสกันอีกสักครั้ง หลังจากฟุตบอลโลก 1998 ที่ตกรอบคัดเลือก และฟุตบอลโลก 2002 ที่ตกรอบแรก พวกเขากลับมาเล่นฟุตบอลโลกอีกครั้งในปี 2006 ทีมชุดนั้นถือว่าสมบูรณ์แบบที่สุดแล้วเท่าที่พวกเขาเคยมี นักเตะเกมรับสร้างมาจากทีม ปอร์โต้ ยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่คว้าแชมป์ยุโรปในปี 2004 ริคาร์โด้ คอสต้า, ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่, เปาโล แฟร์ไรร่า และ นูโน่ วาเลนเต้ ขณะที่กองกลางก็ขนนักเตะเชิงรับมาเยอะมาก ๆ ทั้ง คอสตินญ่า, เปอตีต์, มานิเช และ ติอาโก้ เมนเดส  

ขณะที่เกมรุกมี หลุยส์ ฟิโก้, ซิเมา ซาโบรซ่า, เดโก้, หลุยส์ บัวมอร์ต และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นตัวสร้างเกมรุก ขณะที่ตัวจบสกอร์ในตอนนั้นคือหน้าเป้าธรรมชาติที่ดีที่สุดที่โปรตุเกสเคยมีอย่าง เปโดร เปาเลต้า ... คุณจะเห็นได้เลยว่าลักษณะการจัดทีมโปรตุเกสนั้นคล้ายกับบราซิลชุดที่ได้แชมป์โลกปี 2002 มาก ๆ นั่นคือการลดจุดเด่นของตัวเองที่มากเกินไปมาเติมในส่วนที่เป็นจุดอ่อน (เกมรับ) ที่เป็นปัญหามาโดยตลอด

ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าคนที่คุมโปรตุเกสชุดดังกล่าวคือสโคลารี่ และเขามีพิมพ์เขียวของการทำทีมให้เป็นแชมป์โลกอยู่แล้ว แต่ติดปัญหาอยู่อย่างเดียวคือช่วงเวลาดังกล่าวกลับไม่ใช่ช่วงที่นักเตะในทีมชาติโปรตุเกสมีคุณภาพมากที่สุด 

ฟิโก้ และ เปาเลต้า เดินทางสู่ขาลงด้วยอายุที่มากขึ้น ขณะที่ตัวรุกตัวความหวังก็ยังไม่ได้ดีถึงขีดสุด ซิเมา วูบวาบแต่ก็ยังขาดความแน่นอน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อายุยังน้อยมาก นั่นคือเหตุที่ทำให้โปรตุเกสชุดนั้นแม้จะทำดีสุด ๆ ด้วยการไปถึงรอบรองชนะเลิศ แต่สุดท้ายก็มาเสียท่าให้ฝรั่งเศสจากจุดโทษของ ซีเนดีน ซีดาน 

โปรตุเกสพยายามปรับทีมให้เหมาะกับฟุตบอลแบบทัวร์นาเมนต์ในฟุตบอลโลกครั้งนั้น แต่พวกเขาก็ยังดีไม่สุดโดยไปถึงได้แค่รอบตัดเชือกและจบในอันดับที่ 4 แต่ถึงอย่างนั้นนั่นคือทีมชุดที่มาไกลที่สุดในฟุตบอลโลกของพวกเขาแล้วนับตั้งแต่ปี 1966 สิ่งที่จะบอกคือโลกนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว ฟุตบอลทัวร์นาเมนต์นั้นอาศัยความเขี้ยว ประสบการณ์ การวิเคราะห์จังหวะและสถานการณ์ และที่สำคัญที่สุดคือโชคชะตาราศีต้องเข้าทางด้วย  

หลังจากจบฟุตบอลโลกปี 2006 โปรตุเกสก็ไม่เคยเข้าใกล้การเป็นแชมป์โลกอีกเลย มีการวิเคราะห์ไปต่าง ๆ นานาว่าพวกเขาขาดกองหน้าระดับโลกที่จะผลิตสกอร์เหมือนที่ เยอรมัน คว้าแชมป์ด้วยการแบกกองหน้าที่จบสกอร์ได้ดีอย่าง มิโลสลาฟ โคลเซ่, โรนัลโด้ R9 แบกบราซิล, เฟร์นานโด ตอร์เรส และ ดาบิด บีย่า แบก สเปน ... แต่ความจริงคือหลังจากฟุตบอลโลก 2010 เริ่มขึ้น นักเตะอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็แทบจะเป็นกองหน้าตัวเป้าแบบเต็มตัวแล้ว เรื่องทักษะการจบสกอร์ชี้ขาดเกมของ CR7 รับประกันได้เลยว่าไม่แพ้ใคร แต่สิ่งที่พวกเขาขาดจริง ๆ คือการความหยืดหยุ่นและความฉลาดในการเล่นฟุตบอลทัวร์นาเมนต์ต่างหาก 

โปรตุเกสอ่อนชั้นเรื่องเกมรับมาโดยตลอด แม้จะมีเกมรุกที่ดีแต่เมื่อถึงช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตาย การเสียประตูในเกมระดับโลกนั้นยากที่จะเอาคืน โปรตุเกสสร้างนักเตะระดับพรสวรค์ในแดนกลางมากมายเกินจะนับนิ้ว แต่ในเกมรับพวกเขาปวกเปียกเสมอมา แม้จะพยายามแก้เท่าไหร่ก็จะมีปัญหาอื่น ๆ มาคอยแทรก เช่น การควบคุมอารมณ์ของนักเตะ ทำให้โปรตุเกสไปไม่ถึงไหนในฟุตบอลโลกสักที 

ฟุตบอลโลก 2010 โปรตุเกส ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยการแพ้ สเปน (แชมป์โลกในครั้งนั้น), ฟุตบอลโลก 2014 พวกเขาตกรอบแบ่งกลุ่มและโดน เยอรมนี (แชมป์โลกในครั้งนั้น) สอนบอลไปถึง 4-0 เกมรุกทำให้พวกเขาผ่านทีมระดับรอง ๆ ไปได้ แต่เมื่อเจอทีมระดับที่สูสีไล่เลี่ยกันโปรตุเกสก็จะแพ้หมดรูป ... สมดุลและความใส่ใจในเกมรับคือสิ่งที่ขาดหายไป นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาต้องเลือกกุนซือคนที่จะมาแก้ไขเรื่องนี้ จนกระทั่งได้ตัว เฟร์นานโด ซานโตส เข้ามาทำทีม ซึ่งซานโตสพยายามแก้ไขเรื่องนี้เป็นอันดับแรก 

 

ยอมกลับสู่จุดเริ่มต้น 

ทีมยุค เฟร์นานโด้ ซานโตส นั้นสำเร็จภารกิจสร้างทีมแบบสมดุล "รุก-รับ" ในฟุตบอลยูโร 2016 โปรตุเกสไม่ชนะใครเลยในรอบแบ่งกลุ่ม โดยเสมอรวดทั้ง 3 เกม แต่พวกเขาก็ผ่านเข้ารอบด้วยการเป็นอันดับ 3 ที่ดีที่สุด จนกระทั่งมาแสดงความสามารถให้เห็นแบบจัง ๆ ในรอบน็อกเอาต์ด้วยศิลปะของเกมรับที่ช่วยให้โปรตุเกสขยับไปทีละเกม จนกระทั่งจบด้วยการเป็นแชมป์ยุโรปในการแข่งขันรายการนี้ 

โจ วอล์คเกอร์ นักข่าวจากทางยูฟ่า สรุปเหตุผลที่โปรตุเกสเป็นแชมป์ยุโรปครั้งนั้นว่า ซานโตสตั้งใจซ่อมเกมรับก่อน เขาดึงตัว เปเป้ (อายุ 33 ปี) ที่หลุดจากทีมชาติไปพักใหญ่กลับมาเป็นตัวสำคัญในแนวรับ และวางให้เล่นร่วมกับ โชเซ่ ฟอนเต้ (32 ปี), บรูโน่ อัลเวส (34 ปี) และ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ (38 ปี) พวกนี้อาจจะไม่รวดเร็วแข็งแรงเหมือนตอนหนุ่ม ๆ แต่ถ้าเอามาเพื่อเล่นแทคติกเกมรับโดยเฉพาะ รายชื่อทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเชี่ยวชาญเรื่องการจัดระเบียบเกมรับ รู้หน้าที่ และมีทักษะการอ่านเกมมาทดแทน และพวกเขาเหมาะกับเกมรับแล้วสวนกลับที่ซานโตสพยายามปรับใช้เป็นอย่างมาก 

ขณะที่แดนกลางนั้น ซานโตสถอดตัวรุกออกหลายคนและใส่นักเตะมดงานเข้าไป พวกเขาเหล่านี้วิ่งกันได้ไม่มีหมด ทั้ง ชูเอา มูตินโญ่, อาเดรียน ซิลวา, ดานิโล่, เรนาโต้ ซานเชส และ วิลเลียม คาร์วัลโญ่ นักเตะพวกนี้สลับกันลงเล่นตลอดทัวร์นาเมนต์และทำให้แดนกลางของทีมมีพลังในการวิ่งไล่บีบคู่แข่งสูงมาก พวกเขาเน้นแทคติกแบบเกมต่อเกม ยอมซื้อความปลอดภัยแน่นอนมากกว่าความหวือหวา นั่นคือสิ่งที่โปรตุเกสเลือกทำ และทำให้พวกเขาได้แชมป์ยุโรปไปครอง

วิธีดังกล่าวถูกเอามาปรับใช้ในฟุตบอลโลก 2018 และ ยูโร 2020 แต่ก็มีปัญหาก็คือนักเตะชุดที่คว้าแชมป์ยุโรปนั้นเดินทางมาถึงขาลงกันหลายคน กองหลังชุดที่คว้าแชมป์ 2016 ทยอยประกาศเลิกเล่นทีมชาติไปทีละคน และมันจึงทำให้ประสิทธิภาพการเล่นเกมแบบแทคติกจ๋าที่เคยทำได้ในยูโร 2016 ไม่เกิดขึ้นอีก กล่าวคือพวกเขาพยายามจะเล่นเกมรับซื้อความแน่นอนที่เคยประสบความสำเร็จมา ทว่ามันไม่ดีและแน่นอนเท่ากับที่เคยทำได้นั่นเอง 

ตอนนี้โปรตุเกสเหลือเซ็นเตอร์แบ็กที่เก่งเกมรับจริง ๆ และเป็นนักเตะระดับโลกแค่คนเดียวเท่านั้นคือ รูเบน ดิอาส จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กองกลางตัวรับก็มีน้อยเกินไป ส่วนใหญ่เป็นนักเตะเกมรุกที่โดดเด่น แบร์นาโด้ ซิลวา, บรูโน่ แฟร์นันดส์, ดิโอโก้ โชต้า, กอนซาโล่ เกเดส, ชูเอา เฟลิกซ์, เปโดร เนโต้ และ ราฟาเอล เลเอา เหล่านี้ก็เป็นแข้งตัวรุกแดนบนทั้งหมด ซึ่งเมื่อมีตัวรุกมากเกมรับก็จะไม่สมดุล มันเป็นธรรมชาติของฟุตบอลอยู่แล้ว 

ในฟุตบอลโลก 2022 ที่กำลังจะถึงนี้ เฟร์นานโด ซานโตส ต้องปวดหัวแน่นอนกับการจัดทีมให้ตรงตามปรัชญาฟุตบอลของเขา เขามีตัวเลือกในเชิงรับน้อย ขณะที่ในแนวรุกต้องยอมตัดบางคนออกไป เขาจะต้องจัดสมดุลของทีมให้ดี แม้พวกเขาจะมีตัวรุกที่ดีกว่าหลาย ๆ ชาติที่เข้าแข่งขันในฟุตบอลโลกครั้งนี้ แต่เขาต้องไม่ลืมว่าแนวรับและวินัยในการเล่นเกมรับคือกุญแจที่ทำให้โปรตุเกสคว้าแชมป์ยุโรป และแชมป์เนชั่นส์ลีก 2018-19 ได้สำเร็จ 

มาถึงตอนสุดท้าย เรื่องราวของทีมชาติโปรตุเกสก็วนกลับมาสู่วลีอมตะของวงการฟุตบอลที่ว่ากันว่า "เกมรุกจะทำให้คุณชนะ แต่เกมรับจะทำให้คุณเป็นแชมป์" ... ประโยคนี้ยังคงใช้ได้ในฟุตบอลยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.theguardian.com/football/blog/2021/jun/09/benficas-luis-araujo-with-only-one-ball-we-have-to-put-on-a-good-session
https://upper90studios.com/three-reasons-portugal-will-never-win-a-major-tournament/
https://sports.ndtv.com/fifa-world-cup-2014/brazil-s-other-team-or-so-portugal-thinks-1516835
https://www.goal.com/en-in/news/how-have-portugal-performed-in-fifa-world-cup-history/blt8d8dca4d7d1f9517
https://www.sportsadda.com/football/features/portugal-euro-2020-squad-strengths-weaknesses
https://www.uefa.com/uefaeuro/history/news/0253-0d81c1a804a6-33faeffb0726-1000--how-fernando-santos-plotted-portugal-s-path-to-glory/

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

ภราดร ภราดร

อยากจะทำให้ดี ไม่ใช่แค่อยากจะทำให้เป็น