Feature

เกาหลี เกาหลี เต็มไปหมด: เหตุใด? ผู้รักษาประตูสัญชาติเกาหลี จึงเดินกันให้ควักในเจลีก | Main Stand

จอง ซอง รยอง (Jung Sung Ryong : 정성룡), คิม จิน ฮยอน (Kim Jin Hyeon : 김진현), ปัก อิล กยู (Park Il-gyu : 박일규), ควอน ซุน แท (Kwoun Sun-tae: 권순태) รายชื่อเหล่านี้ล้วนเป็นผู้รักษาประตูสัญชาติเกาหลีที่กำลังโลดเล่นอยู่ใน เจลีก ของญี่ปุ่น ซึ่งพวกเขาเป็นตัวหลักของสโมสรที่ลงเล่นแตะหลักร้อยหรือเกินร้อยแมตช์กันทั้งนั้น

 

หรือบางรายอย่าง คิม จิน ฮยอน ลงเล่นให้กับสโมสรเกือบ 500 แมตช์ แทบจะกลายเป็น วันคลับแมน หากไม่ย้ายหนี เซเรโซ โอซากา ในบั้นปลายอาชีพไปเสียก่อน

ในอดีตยังมีนายทวารเกาหลีที่มาสร้างชื่อ เช่น คู ซอง ยุน (Gu Sung Yun : 구성윤) อดีตมือหนึ่งของ คอนซาโดเล ซัปโปโร สมัยเดียวกับที่ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ย้ายไปเล่นใหม่ ๆ ซึ่งน่าเสียดายมากที่เขาต้องจำใจย้ายกลับประเทศไปเป็นทหาร 2 ปี 

หรือในระดับมือหนึ่งของทีมชาติอย่าง คิม ซึง กยู (Kim Seung Gyu : 김승규) ก็ยังมาชิมลางเจลีกถึงสองคำรบกับ วิสเซล โกเบ และ คาชิวา เรย์โซล มาแล้ว แถมยังรักษามาตรฐาน หนึบสมกับติดทีมชาติหลักครึ่งร้อยแมตช์อีกด้วย

เหตุใดผู้รักษาประตูเกาหลีจึงมีมากมายจนเดินกันให้ควักในเจลีก ? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Main Stand

 

ความสูงเป็นเหตุสังเกตได้

หากคิดถึง "เหตุผลทางฟุตบอล" เพียว ๆ การเลือกพ่อค้าแข้งสัญชาติเกาหลีก็เป็นอันเข้าใจได้ว่าไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า "ส่วนสูงและสรีระ" ที่ได้เปรียบชาวญี่ปุ่น

แม้จริง ๆ ความสูงเฉลี่ยของประชาชนเพศชายระหว่างเกาหลีและญี่ปุ่นจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก (ชายเกาหลี 172.5 เซนติเมตร ชายญี่ปุ่น 170.7  เซนติเมตร) แต่สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเป็นเรื่องของ "เผ่าพันธุ์ (Ethnic)" ที่แฝงฝังอยู่ลึก ๆ 

สมัยก่อนดินแดนเกาะญี่ปุ่นในปัจจุบันได้รับการขนานนามจากแผ่นดินใหญ่ว่า "วะ (倭)" ซึ่งในปัจจุบันญี่ปุ่นเองก็ยังคงคำว่าวะไว้เรียกของของประเทศตน เช่น เนื้อวากิว (Wagyu) ที่แปลได้ว่า "เนื้อของพวกวะ" 

แต่ดั้งเดิมนั้นศัพท์คำว่า วะ จริง ๆ แปลว่า "แคระ (Dwarf)" นั่นก็เพราะ "พวกวะ" มีขนาดตัวและส่วนสูงที่เล็กกว่าชาวแผ่นดินใหญ่โดยทั่วไป ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้จากภาพของ "หยาน หลีเปิน (Yan Liben : 閻立本)" จิตรกรสมัยราชวงศ์ถัง ดังนี้

จากภาพ (ที่คัดมาบางส่วน) จะเห็นได้ว่าความสูงของพวกวะมีขนาดที่เล็กกว่าพวก “โคกูรยอ (Goguryeo : 高句麗)” และพวก “ชิลลา (Silla : 新羅)” ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรบนคาบสมุทรเกาหลีในปัจจุบันอยู่มาก จะมีใกล้เคียงหน่อยก็กับพวก “แพคเจ (Baekje : 百濟)” ที่อาศัยอยู่บนคาบสมุทรเกาหลีฝั่งตะวันตก เพราะอาณาจักรนี้ติดต่อค้าขายกับ “ดินแดนเอเชียอาคเนย์” เลยอาจมีการผสมปนเปทางสายเลือด ทำให้ส่วนสูงไม่ชลูดเท่ากับโคกูรยอและชิลลาที่เป็น “สายเลือดฮั่น (Han : 漢)” แท้ ๆ ไม่มีอะไรผสม

แม้หลักโภชนาการ วิทยาศาสตร์ และการแพทย์ที่ทันสมัย จะทำให้ลูกหลานชาววะมีส่วนสูงและสรีระที่ดีขึ้นมากในปัจจุบัน แต่เรื่องเผ่าพันธุ์นั้นใช่ว่าจะสามารถเปลี่ยนดีเอ็นเอกันได้ง่าย ๆ เสียเมื่อไหร่

ก็เหมือนกับการที่นักเตะไทยได้รับโภชนาการอย่างถูกต้อง มีการฝึกซ้อมด้วยโปรแกรมแบบสากลที่เสริมกล้ามเนื้อได้ถูกจุด แต่ครั้นจะไปเบียดปะทะกับพวกคอเคซอยด์ ฝรั่งยุโรปตาน้ำข้าว หรือพวกแอฟริกาที่ใหญ่ อึด ถึก ทน แม้กระทั่งพวกเปอร์เซียหรืออาหรับ ยังเบียดให้ชนะยาก นั่นไม่ใช่เพราะเราไม่เก่ง แต่เมื่อเผ่าพันธุ์เป็นแบบนี้ก็ต้องเจียมเนื้อเจียมตัวเล่นในแบบที่ถนัดกับสรีระของตัวเองแทน

ญี่ปุ่นก็เช่นเดียวกัน ในตำแหน่งผู้รักษาประตูใช่ว่าจะไม่มีพ่อค้าแข้งที่ส่วนสูงพอเหมาะ หรือมีร่างกายพอใช้ได้ แต่จะเป็นการง่ายกว่าหรือไม่ถ้าจะนำเข้าผู้รักษาประตูเกาหลีที่เป็นเผ่าพันธุ์ฮั่นอันยิ่งใหญ่ ที่ส่วนมากจะตรงตำราคชลักษณ์ของนายทวารเสมอ ๆ หรือหากค้นพบจริง ๆ ก็ไปขัดเกลาในตำแหน่งเซ็นเตอร์หรือหน้าเป้าไม่ดีกว่าหรือ ?

แต่ใช่ว่าเรื่องส่วนสูงจะเป็นปัจจัยทุกอย่างในการเลือกนักเตะ เพราะไม่เช่นนั้นทีมในเจลีกก็คงไปดึงตัวผู้รักศาประตูมาจาก เปอร์เซีย อาหรับ หรือเอเชียกลาง ให้มายืนเฝ้าเสาไปแล้ว ไม่แน่ว่าตื้นลึกหนาบางอาจจะมีอะไรมากกว่านั้น ?

 

เป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์

ปฏิเสธไม่ได้ว่าญี่ปุ่นและเกาหลีนั้นเกลียดกันเข้าไส้ ชนิดที่แทบจะไม่เผาผีกัน ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็สามารถทำให้เกิดดราม่าได้หมด ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่โตอย่าง "หญิงบำเรอกาม (Comfort Woman)" ไปจนถึงเรื่อง "ธง" อย่าง "ธงอาทิตย์อุทัย (Rising Sun Flag)" ก็มีเรื่องกันมาแล้ว เพราะมันมักทำให้เกาหลีอดนึกถึงความอัปยศอดสูที่ถูกญี่ปุ่นย่ำยีในยุคล่าอาณานิคม ตลอดจนสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ได้

นั่นเป็นเรื่องของ “ความเป็นชาติ” ที่ยอมกันไม่ได้ แต่ความซับซ้อนซ่อนเงื่อนดันเกิดขึ้นในเรื่องของ “ความเป็นคน” เสียมากกว่า เพราะจริง ๆ แล้วการไปมาหาสู่กันระหว่างเกาะญี่ปุ่นกับคาบสมุทรเกาหลีก็มีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์แล้ว โดยเฉพาะการค้าและการพาณิชย์ ยามที่เรือสำเภาเข้ามาขนสินค้าจากญี่ปุ่นก็ต้องมาแวะพักยังคาบสมุทรเกาหลี เพื่อเดินทางอ้อมเข้าแผ่นดินใหญ่อยู่เสมอ 

นั่นทำให้บรรดาวัฒนธรรม ปรัชญา และวิถีชีวิตมีความใกล้เคียงกันอย่างแนบแน่น เรียกได้ว่าการเมืองก็ส่วนหนึ่ง แต่เรื่องของคนที่เขาอยู่อาศัยกันจริง ๆ เขาไม่ได้สะทกสะท้านอะไร และใช้ชีวิตกันแบบข้ามไปข้ามมาเป็นปกติทั้งนั้น คล้าย ๆ กับคนในพื้นที่ “เขาพระวิหาร” ที่เอาเข้าจริง ๆ จะไทยจะเขมรก็กลมเกลียวกันและติดต่อค้าขายกันเป็นปกติ ก็มีแต่เรื่องการเมืองนี่แหละที่ไปให้ความสำคัญกับตรงนั้น ทำให้คนในพื้นที่ต้องหนีตาย หลบห่ากระสุน ค้าขายไม่ได้ไปเสียหมด

กระทั่งเข้าสู่โลกสมัยใหม่ที่ญี่ปุ่นบุกยึดเกาหลีเป็นอาณานิคม ญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้แจก “ความเป็นญี่ปุ่น” ถ่ายเดียว แต่ก็มีการรับบางสิ่งจาก “ความเป็นเกาหลี” เข้ามาด้วย แน่นอน เรื่องของฟุตบอลก็เช่นกัน

จอร์จ สเลด (George Slade) นักเขียนแห่ง เคลีก ยูไนเต็ด (K League United) ที่คล้าย ๆ Main Stand เวอร์ชั่นเกาหลี ได้ให้ทรรศนะไว้ว่า

“สองประเทศนี้เชื่อมโยงกันมานานมาก ๆ ซึ่งก็ส่งผลกับฟุตบอลด้วย … ตอนตกอยู่ใต้อาณานิคม ญี่ปุ่นก็อนุญาตให้ทีมจากเกาหลีอย่าง คยองซัง เอฟซี เข้าแข่งขันเอ็มเพอเรอร์ส คัพ (เอฟเอ คัพ) ในปี 1935 ได้ และทีมนี้ดันไปไกลถึงการคว้าแชมป์อีกด้วย…”

นั่นแสดงให้เห็นว่าแม้เรื่องอื่น ๆ เกาหลีจะได้รับการทำให้เป็น “ชายขอบ” แต่ในเรื่องของฟุตบอลญี่ปุ่นเองก็มีความเปิดกว้างระดับหนึ่ง ซึ่งฟุตบอลนี้เองก็ได้กลับมาสร้าง “ข้อได้เปรียบ” ให้กับความเป็นชายขอบที่เกาหลีถูกยัดเยียดมาตลอดการอยู่ใต้อาณานิคม จนกระทั่งเกาหลีมีเอกราช นั่นก็คือเรื่องของ “คนเกาหลีพลัดถิ่นในญี่ปุ่น” หรือที่เรียกว่า “ไซนิจิ (Zainichi : 在日韓国人)” นั่นเอง

ไซนิจิเข้ามาในญี่ปุ่นหลายระลอก พวกแรกคือพวกที่มาตั้งรกรากในญี่ปุ่นถาวรตั้งแต่สมัยอาณานิคม ต่อมาคือช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ส่วนมากจะเป็นผู้ชายที่ถูกเกณฑ์มาเป็นทหารในกองทัพญี่ปุ่น ระลอกหลังมาจากการลี้ภัยการเมือง และส่วนใหญ่เป็นพวกซ้ายตกขอบ มาร์กซิสต์ คอมมิวนิสต์ ที่ตอนนั้นหนีการกวาดล้างโดยรัฐบาลอำนาจนิยมของประธานาธิบดี อี ซึง-มัน ในเกาหลีใต้ ซึ่งรวม ๆ แล้วก็มีจำนวนแตะหลักล้านคนเลยทีเดียว

แม้จะมาขอพึ่งใบบุญและส่วนมากมาเป็นแรงงานราคาต่ำชั้นดีในยุคที่ญี่ปุ่นกำลังพัฒนาอุตสาหกรรม แต่ไซนิจิก็ได้รับการปฏิบัติแบบพวกชายขอบ ที่ไม่แน่ใจว่าอาจจะใกล้กับ บุระคุมิน (Burakumin : 部落民) หรือชนชั้นที่น่ารังเกียจที่สุดของญี่ปุ่นก็ว่าได้ ความแปลกแยก การโดนบูลลี่ หรือการถูกขับไสไล่ส่งในสังคม ส่งผลให้คนพวกนี้ต้องอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน เรียกว่า มินดัน (Mindan : 민단) ที่เป็นการรวมตัวเพื่อสร้างสังคมเอง สร้างสาธารณูปโภคเอง แม้กระทั่งการศึกษายังต้องสร้างเองอีกด้วย

กระนั้นเมื่อฟุตบอลเริ่มเติบโตและขยายวงกว้างในแดนอาทิตย์อุทัย ความพิเศษของวงการลูกหนังที่ว่า “เมื่ออยู่ต่อหน้าฟุตบอล ทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน” ก็ได้รับการติดตั้งอัตโนมัติ จะยากดีมีจน ชนชั้นสูงต่ำ จบปริญญาหรือจับกัง ทุกคนล้วนสนุกกับฟุตบอลได้ โดยไร้ข้อจำกัดมาขวางกั้น

ตรงนี้ก็เหมือนเป็นการ “กดแท่งแฟลช” ใน Men In Black ลืม ลืมฉัน ลืมไปก่อน ว่าถึงจะเป็นไซนิจิก็ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะใด ๆ นักฟุตบอลทุกคนวัดกันที่ฝีเท้าล้วน ๆ ซึ่งบรรดาลูกหลานไซนิจินี่แหละที่ทำผลงานสุดสะเด่า กลบทุกการดูถูกและเหยียดหยามจนมิด
    
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ “ทาดานาริ อี (Tadanari Lee : 李 忠成) หรือ อี ชุง ซอง (Lee Chung Sung : 이충성)” กองหน้าทีมชาติญี่ปุ่นลูกหลานไซนิจิ ผู้สืบสานแซ่ บยอกจิน อี (벽진이씨) ที่สามารถก้าวเข้ามาเป็นกองหน้าระดับตำนานของ คาชิวา เรย์โซล และ อูราวะ เรด ไดมอนส์ ได้อย่างไร้ข้อสงสัย มิหนำซ้ำการซัลโวประตูโทนใน เอเชียนคัพ 2011 รอบชิงชนะเลิศ ให้ญี่ปุ่น ดับ ออสเตรเลีย คว้าถ้วยทวีปสุดยิ่งใหญ่ ก็ยังทำให้เจ้าตัวเป็นเหมือน “ฮีโร่” ของคนญี่ปุ่นทั้งประเทศอีกด้วย

มันทำให้เห็นว่าในมุมมองของชาวญี่ปุ่น การให้พ่อค้าแข้งชาวเกาหลีแท้ ๆ มีศักดิ์และสิทธิไม่ด้อยไปกว่าลูกหลานพระอาทิตย์ได้ลงเล่นในแผ่นดินญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่สมควร 

ซึ่งจริง ๆ แล้วสมัยที่เจลีกยังไม่ก่อตั้ง ก็ได้นักเตะเกาหลีที่ผ่านการลงเล่นลีกสูงสุดระดับอาชีพในประเทศอย่าง เคลีก (K League) มาแล้วนี่แหละ มาลงโชว์ฝีเท้าให้ฟุตบอลระดับกึ่งอาชีพของญี่ปุ่นได้ยลฟอร์ม (เคลีกตั้งปี 1983 เจลีกตั้งปี 1992) นักเตะที่เข้ามาเตะตอนในนั้น เช่น พัค ยุน กี (Park Yoon Ki : 박윤기) ที่ลงเล่นให้ มาสด้า (ซานเฟรซเซ ฮิโรชิมา) และ ชาง อวี รยอง (Chang Woe Ryong : 장외룡) ที่เล่นให้ โทสุ ฟิวเจอร์ส (ซางัน โทสุ) ในช่วงปี 1988-89

ขนาดตำนานทีมชาติเกาหลีใต้อย่าง ฮง มยอง โบ (Hong Myung Bo : 홍명보) ยังได้รับการเชิญแกมไหว้วานจาก คาชิวา เรย์โซล ให้มาสวมอาภรณ์สีเหลืองลงเล่นเป็นเซ็นเตอร์ ซึ่งก็ถือว่าปลุกกระแส “ฮงฟีเวอร์” แก่เจลีกในช่วง 2000s ได้อย่างสุดจะบรรยาย เรียกได้ว่า ณ ตอนนั้นเซ็นเตอร์แบ็กในเจลีกแทบจะเลียนแบบการเล่นของฮงมาทั้งกระบิเลยทีเดียว

มาขนาดนี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเฉพาะตำแหน่งผู้รักษาประตู แต่ไม่ว่าตำแหน่งอะไร หากเป็นสัญชาติเกาหลี เจลีกก็อาจจะอ้าแขนรับแบบยินดีและเต็มใจแน่นอน!

นั่นเท่ากับว่าช่วงเวลาระหว่างสองประเทศที่ผ่านมาก็เหมือนดั่ง ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ญี่ปุ่นรู้เหลี่ยมเกาหลีว่าจะคัดสรรผู้เล่นแบบใดมายังเจลีก เกาหลีเองก็ตามน้ำ อะไรที่ทำมาแล้วดีก็ทำไป ประเดี๋ยวสิ่งดี ๆ ก็จะตามมาเอง

 

โอกาสโกยเงินเยน

แม้เรื่องทางประวัติศาสตร์จะพอเข้าใจได้ แต่ที่น่าคิดคือส่วนใหญ่เจลีกมักจะนำเข้าพ่อค้าแข้งชาวเกาหลี แต่กลับกันเกาหลีไม่ค่อยนำเข้าพ่อค้าแข้งชาวญี่ปุ่นเลย ซึ่งประเด็นนี้ก็ไม่ได้มีอะไรสลักสำคัญไปกว่า “เรื่องเงิน” ล้วน ๆ

เคลีกก่อตั้งก่อนเจลีกกว่า 10 ปี แต่เมื่อกาลเวลาไหลผ่านไปก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เจลีก นั้นมีมูลค่าทางการตลาดแซงหน้า เคลีก ไปหลายเท่าตัว

มูลค่าทางการตลาดทั้งหมดของเจลีกจะอยู่ที่ประมาณ 288 ล้านยูโร (ประมาณ 10,700 ล้านบาท) ส่วนเคลีกจะอยู่ที่ประมาณ 155 ล้านยูโร (ประมาณ 5,800 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าเจลีกมากกว่าอยู่เกือบครึ่ง ซึ่งเมื่อหารเฉลี่ยมูลค่าทางการตลาดต่อสโมสรก็พบว่า สโมสรในเจลีกมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 16 ล้านยูโร (ประมาณ 593 ล้านบาท) ส่วนสโมสรในเคลีกตกอยู่ที่ประมาณ 13 ล้านยูโร (ประมาณ 482 ล้านบาท) 

ด้านเม็ดเงินสนับสนุนจากสปอนเซอร์ เจลีกก็ได้รับเม็ดเงินสนับสนุนจาก เมจิ ยาสุดะ (Meiji Yasuda) บริษัทประกันภัยชั้นนำของญี่ปุ่น รวมแล้วมีจำนวนมากถึง 13.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 490 ล้านบาท) ส่วนเคลีกได้รับเม็ดเงินสนับสนุนจาก ธนาคารฮานา (Hana Bank) ธนาคารอันดับต้น ๆ ในเกาหลีใต้ รวม 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 454 ล้านบาท)

หรือแม้กระทั่งเงินเดือนเฉลี่ยต่อปีของนักเตะเจลีกก็อยู่ที่ประมาณ 12 ล้านบาท (46 ล้านเยน) ส่วนเคลีกนั้นอยู่ที่ประมาณ 6 ล้านบาท (242 ล้านวอน) ซึ่งถือว่าห่างกันถึงเท่าตัว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ด้วยรายได้ที่ดีกว่า มูลค่าทางการตลาดที่ดีกว่า เม็ดเงินที่รออยู่เห็น ๆ มีหรือที่บรรดาพ่อค้าแข้งจากแดนโสมเมื่อมีโอกาสจะไม่อยากไปลิ้มลองมนต์เสน่ห์ฟุตบอลแดนปลาดิบดูสักครั้งในชีวิต ?

โดยเฉพาะในตำแหน่งผู้รักษาประตูที่ถือว่าสำคัญแบบสุด ๆ กับฟุตบอลสมัยใหม่ ที่เน้นออกบอลและทำเกมตั้งแต่ปากประตูตัวเอง ซึ่งนายทวารเกาหลีทุกคนได้รับการฝึกซ้อมให้ใช้ “สกิลเท้า” มาจนชินแล้ว จากการวางรากฐาน “โคเรียน เวย์” ที่มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งก็ถือว่าเหมาะกับ “ฟุตบอลระบบ” ของเจลีกพอดิบพอดี

กระนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ตราบใดที่นายทวารสัญชาติเกาหลียังคงทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่อง เซฟอุตลุตพัลวัน พาต้นสังกัดประสบความสำเร็จทั้งในและนอกประเทศ รอยทางความนิยมก็คงมีแต่จะต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ ให้นายทวารเกาหลีรุ่นหลังข้ามทะเลญี่ปุ่นมาโชว์ฟอร์มในเจลีกต่อ ๆ ไปในอนาคต

 

แหล่งอ้างอิง 

หนังสือ Koreans in Japan: Critical Voices from the Margin
หนังสือ ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โดยสังเขป
หนังสือ สังคมและวัฒนธรรมญี่ปุ่น
https://koreajoongangdaily.joins.com/2016/12/11/Baseball/Homegrown-goalkeepers-make-mark-in-Japanese-football/3027306.html 
https://jleagueregista.wordpress.com/2020/06/14/jlegacy-southkorea-ep05/ 
https://english.hani.co.kr/arti/english_edition/e_national/1037052.html 
https://livejapan.com/en/in-tokyo/in-pref-tokyo/in-shinjuku/article-a0000962/ 
http://www.kleagueunited.com/2017/03/foreign-goalkeepers-in-favour-of.html?m=1 
http://www.kleagueunited.com/2018/02/how-chanathips-jleague-success-can-help.html?m=1 
https://www.youtube.com/watch?v=WL9SuTYjdCc&t=14s 
https://www.transfermarkt.com/j1-league/startseite/wettbewerb/JAP1
https://www.transfermarkt.com/k-league-1/marktwerteverein/wettbewerb/RSK1 
https://www.statista.com/statistics/1116739/south-korea-average-k-league-salary-by-team/ 
https://www.statista.com/statistics/788973/average-j-league-salary-by-team/ 
https://inf.news/en/sport/ab89e0ea30b8a5647d0bcaad07aeb7d7.html 

Author

วิศรุต หล่าสกุล

หน้าตา 4KINGS ฟังเพลง 4EVE

Photo

วัชพงษ์ ดวงแปง

Main Stand's Backroom staff

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ