บนความสำเร็จและท่วงลีลาที่น่าจดจำของ ลิเวอร์พูล ในยุคของ เยอร์เกน คล็อปป์ เชื่อว่าแฟนบอลหงส์แดงหลายคนอาจจะทำใจลืม ๆ ค่ำคืนนัดชิงชนะเลิศเกม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อันปวดร้าวที่กรุงเคียฟเมื่อปี 2018 ได้ไม่มากก็น้อย
พวกเขากวาดทุกแชมป์ที่ลงแข่งขัน จนทำให้ความช้ำในใจของแฟน ๆ ทุเลาลง เว้นเสียแต่ว่ามีคน ๆ หนึ่งที่ไม่มีทางลืมและมันได้เปลี่ยนแปลงอาชีพค้าแข้งของเขาไปตลอดกาล
นี่คือเรื่องราวของชายผู้หลั่งน้ำตาและกลายเป็นตัวตลกในค่ำคืนนั้น ... ลอริส คาริอุส กับปัจจุบันซึ่งเขาได้โอกาสใหม่อีกครั้งที่ นิวคาสเซิล
ติดตามเรื่องราวได้ที่นี่กับ Main Stand
การมาถึงแบบไม่ได้ถูกคาดหวัง
ลอริส คาริอุส คือการซื้อตัวอันดับที่ 3 ของ เยอร์เกน คล็อปป์ นับตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งกุนซือของ ลิเวอร์พูล เมื่อเดือนตุลาคม 2015 ย้อนกลับไปในวันนั้นลิเวอร์พูลไม่ใช่ทีมที่มีเสน่ห์ดึงดูดนักเตะระดับโลกนักและไม่ได้มีเงินมากมายเหมือนในตอนนี้ แน่นอนว่าคล็อปป์ก็เป็นกุนซือที่ทำงานด้วยงบประมาณที่จำกัดได้อย่างดีมาเสมอตลอดอาชีพของเขา
ดังนั้นในวันที่แฟนบอลทั่วโลกต่างพบว่า ซิมง มิโญเลต์ นายทวารมือ 1 ของลิเวอร์พูล ไม่ดีพอที่จะยืนเฝ้าเสาเป็นตัวเลือกอันดับ 1 อีกต่อไป ... คล็อปป์จึงลงตลาดฤดูร้อน 2016 ด้วยงบที่จำกัดเลือกหานายทวารที่ยังไม่ได้โด่งดังมีชื่อเสียงและมีศักยภาพพอจะพัฒนาไปในระดับสูงได้ ซึ่งสุดท้ายหวยก็มาออกที่ผู้รักษาประตูของ ไมนซ์ อย่าง ลอริส คาริอุส
เชื่อเหลือเกินว่านี่ไม่ใช่ "แพนิคบาย" อย่างแน่นอน เพราะ ไมนซ์ คือสโมสรที่คล็อปป์ผูกพันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเตะ จนกระทั่งเป็นทีมแรกที่เขารับตำแหน่งเฮดโค้ช คล็อปป์รู้นอกออกในของไมนซ์ไม่แพ้ใคร และแน่นอนเขารู้ว่าคาริอุสเป็นคนที่เขาควรจะเสี่ยงภายใต้ราคาสุดถูกแค่ 4.7 ล้านปอนด์ ... สำหรับผู้รักษาประตูอายุ 22 ปี และผ่านประสบการณ์ระดับบุนเดสลีกามาเกือบ 100 เกม นี่คือราคาที่ถูกสุด ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
"ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เราสามารถเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อคว้าตัวเขา ผมรู้ว่าเขาจะเพิ่มคุณภาพที่เรามีในตำแหน่งนี้ และผมตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับเขาและนักเตะของเราทุกคนเมื่อเรากลับมาในช่วงพรีซีซั่น" คล็อปป์กล่าวหลังเซ็นสัญญาคาริอุสมาร่วมทีมพร้อมยกเบอร์เสื้อหมายเลข 1 เพื่อเป็นการสื่อสัญญาณว่าการมาของคาริอุสนั้นแฟนบอลและสโมสรสามารถคาดหวังฝีมือของเขาได้อย่างแน่นอน
คาริอุสอยู่กับลิเวอร์พูลในช่วงแรกด้วยการออกสตาร์ทเป็นตัวสำรองของมิโญเลต์ก่อน ทว่าโอกาสของเขาก็มาเร็วกว่าที่คิด เพราะมิโญเลต์เองก็มีความผิดพลาดส่วนบุคคลเกิดขึ้นบ่อย บวกกับตัวของคาริอุสนั้นปรับตัวเข้ากับทีมได้เร็ว คล่องแคล่วเรื่องภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีเนื่องจากเขาเคยใช้เวลาอยู่ในทีมอคาเดมีของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อยู่ 2 ปี ในช่วงปี 2009-2011
หลังออกสตาร์ทเกมลีกเพียงแค่ 5 เกม คาริอุสก็ได้โอกาสลงสนามในเกมกับ ฮัลล์ ซิตี้ ในวันที่ 24 กันยายน (ชนะ 5-1) จากนั้นคล็อปป์ก็ใช้งานเขาบ่อยขึ้น โดยมีการเปลี่ยนมือกับมิโญเลต์สลับกันเล่นอยู่บ่อย ๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงช่วงโค้งสุดท้ายของซีซั่น คล็อปป์ก็ยืนยันด้วยตัวเองผ่านสื่อว่า "คาริอุสเป็นผู้รักษาประตูหมายเลข 1 ของทีมเหนือมิโญเลต์แล้ว"
ถึงจะยึดมือ 1 ได้ แต่ใครจะกล้าคาดหวังอะไรกับนายทวารค่าตัวไม่ถึง 5 ล้านปอนด์ให้เก่งระดับคับโลกจนพาทีมกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง คาริอุสเล่นอยู่ในสถานะนั้นคือไม่ได้ถูกเพ่งเล็งมากมายนัก ต่อให้บางจังหวะบางช็อตไม่เนียนอะไร แต่เชื่อว่าแฟนลิเวอร์พูลหลายคนยังจำความรู้สึก ณ เวลานั้นได้ว่าคาริอุสคือมือ 1 ที่ทำให้อุ่นใจได้มากกว่าที่มิโญเลต์เป็น
การแย่งชิงตำแหน่งมือ 1 จบลงโดยสมบูรณ์แบบ ที่เหลือเป็นช่วงเวลาของการเติมเต็มศักยภาพของตัวเองให้เหมือนกับที่คล็อปป์คาดหวังไว้ ตัวของคาริอุสเองได้เฝ้าเสายาว ๆ ในช่วงฤดูกาล 2016-17 ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มต้นได้สวยใน 10 เกมลีกและได้รับการยืนยันสิทธิ์โดยกุนซือใหญ่ พร้อมมีส่วนช่วยให้ทีมกลับทวงตำแหน่งท็อป 4 จนกลับมาเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีกได้อีกครั้ง...
สิ่งที่คล็อปป์ชอบมาก ๆ ในตัวคาริอุสคือนอกจากจะมีฝีไม้ลายมือพอให้พัฒนาต่อได้แล้ว คาริอุสยังเป็นพวกหมกมุ่นในการยกระดับตัวเอง เขาทุ่มเทอย่างมากที่จะแสดงให้ทุกคนในสโมสรเห็นว่าเขามีดีพอที่จะเป็นเบอร์ 1 เขาขอถอนตัวจากทีมชาติเยอรมันชุดฟุตบอลโอลิมปิกเพื่อขอโฟกัสกับการปรับตัวให้เร็วที่สุด เขาผ่านอาการบาดเจ็บและดูแลตัวเองอย่างดีตามที่แพทย์สั่งจนหายกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมได้เร็วกว่าที่ใครคาด และที่เจ๋งที่สุดคือการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมทีม
คาริอุสนั้นสนิทกันมาก ๆ กับนักเตะในทีมอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, อดัม ลัลลาน่า, ดิวอค โอริกี และ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม ซึ่งอย่างที่เราทุกคนทราบกัน ฟุตบอลของคล็อปป์คือฟุตบอลแบบ "ทีมเวิร์ก" ซึ่งการที่มีใครสักคนมีทัศนคติเพื่อทีมแบบนี้ ไม่แปลกที่เขาจะให้ความไว้วางใจคาริอุสเหนือมิโญเลต์ในท้ายที่สุด
"คล็อปป์บอกกับผมว่าเขามีความสุขกับสิ่งที่ผมเป็นอย่างมาก สิ่งเดียวที่เขาเรียกร้องจากผมคือทัศนคติที่ดี ผมพยายามที่จะรักษาตัวให้หายกลับมาให้เร็ว เขาบอกว่าไม่สำคัญว่าคนอื่นจะคิดกับผมยังไง เขาเชื่อมั่นในตัวผม และอีกไม่นานผู้คนจะเห็นสิ่งที่ผมทำเหมือนกับที่เขาเห็นมาก่อน" คาริอุส กล่าวหลังจบซีซั่นแรก
อ้อมกอดและความไว้วางใจของ เยอร์เกน คล็อปป์ ช่วยเขาไว้ได้มาก... คาริอุสทำตามที่คล็อปป์บอกสำเร็จทุกข้อ ทว่าใครจะรู้ว่าหลังจากบทสัมภาษณ์ดังกล่าวไม่ถึง 1 ปี ... สวรรค์ของคาริอุสจะล่มสลายอย่างไม่เป็นท่า
2017-18 ของจริงเริ่มขึ้นแล้ว
มันเป็นธรรมดาที่เมื่อคุณเป็นมือ 1 เต็มตัวให้ทีมอย่างลิเวอร์พูล ความกดดันมันจะเพิ่มขึ้นมาทันที เรื่องนี้มิโญเลต์เองก็รับมือกับความกดดันนี้ไม่ไหวเหมือนกัน และมันถึงคิวที่คาริอุสจะต้องเจอกับสิ่งนี้บ้าง
เขายอมรับว่าทันทีที่มีตำแหน่งปักไว้กลางหลังเขาก็เริ่มกดดันมากขึ้นหลายเท่า คาริอุสมีการเล่นผิดพลาดส่วนบุคคลอยู่บ้างในช่วงต้นซีซั่น 2017-18 ซึ่งตอนนั้นก็มีการคิดกันไปใหญ่โตว่า "บางทีเขาอาจจะไม่ดีพอ" หรือ "ควรหาซื้อมือ 1 จริง ๆ จัง ๆ สักที" ทว่าคล็อปป์ก็คือคล็อปป์ เขารู้จักนักเตะของเขาดีกว่าใคร และเขาไม่จำเป็นต้องให้ใครมาชักใยและสั่งให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่เชื่อ
คล็อปป์เองเป็นคนแรก ๆ ที่รู้ว่าคาริอุสมีอาการไม่เหมือนเดิมเพราะความกดดัน โดยเฉพาะตัวเขาที่กดดันตัวเองมากเกินไป เป็นอีกครั้งที่คล็อปป์ต้องเปิดตำราจิตวิทยาดูแลลูกน้องภายใต้สังกัดให้มั่นใจในตัวเอง และเมื่อฤดูกาล 2017-18 ผ่านไปได้ครึ่งทาง คาริอุสก็กลับมาเป็นจอมเซฟในแบบที่คล็อปป์พอใจอีกครั้ง โดยเฉพาะคำชมที่เขาได้รับตอนนั้นเป็นพิเศษในเรื่องลูกปฏิกิริยา (Shotstopper) นั้น ถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้เขาดูดีขึ้นมาในเวลาอันยากลำบาก
"การเล่นให้กับทีมอย่างลิเวอร์พูลนั้น บ่อยครั้งที่คุณไม่ต้องทำอะไรมากมายนัก แต่ถ้าคุณไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องให้เป๊ะ 100% มันจะหนักกว่าการเป็นผู้รักษาประตูคนอื่นในสโมสรเล็ก ๆ ที่ต้องออกแรงเซฟเกมละหลาย ๆ ครั้งเยอะเลย"
"นั่นคือชีวิตจริงในสโมสรใหญ่อย่างลิเวอร์พูล สำหรับผู้รักษาประตูมือ 1 ที่คุณต้องรับมือกับมัน นั่นคือความท้าทายที่ผมต้องเผชิญเป็นการส่วนตัว" คาริอุส พูดได้ตรงทุกคำราวกับว่าเขาเห็นอนาคตของตัวเองในอีกไม่กี่เดือนหลังจากนั้น
ในช่วงครึ่งหลังของซีซั่น 2017-18 การมาของ เฟอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ช่วยให้คาริอุสเล่นได้นิ่งมากขึ้น ... ลิเวอร์พูล อาจจะทำผลงานในเกมลีกได้ไม่ดีนัก แต่ทรงบอลของพวกถ้าเป็นภาษาฟุตบอลก็ต้องบอกว่า "ทรงมันมา" เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทีมเล่นเกมบุกดุดันตลอดทั้งเกม เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว และจบสกอร์ด้วยความเฉียบขาด สิ่งเหล่านี้ยิ่งผ่านไปนานวันคาริอุสก็เริ่มเรียนรู้การเป็นโกลของทีมใหญ่มากขึ้น ทุกอย่างส่งเสริมกันหมดจนกระทั่งลิเวอร์พูลผ่านไปเขาไปถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รายการที่มีความสำคัญระดับทองฝังเพชรที่ถ้าพิชิตได้สักครั้งผู้คนจะจดจำคุณไปได้ตราบชั่วชีวิตของพวกเขา
ลิเวอร์พูล เข้าไปชิงกับ เรอัล มาดริด และปัญหาทั้งหมดมันก็เริ่มขึ้นในค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของคาริอุสคืนนี้นี่เอง ... ความดีที่สั่งสมมา พัฒนาการที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น และความมั่นใจของผู้คนรอบข้างที่มากขึ้นเรื่อย ๆ กลับมาพังทลายลงภายในเวลา 90 นาที
เขาสร้างความผิดพลาดระดับฟุตบอลเด็กประถมในเกมนัดชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีก ทั้งการไหลบอลไปให้ คาริม เบนเซม่า กองหน้าของมาดริด ยิงประตู อีกทั้งการเริ่มเสียสติจนเกิดความผิดพลาดตลอดทั้งเกมและนำไปสู่การพลาดหนที่ 2 คือการรับบอลจากลูกยิงของ แกเรธ เบล ในลักษณะ "ซองแตก" คว้าบอลไม่อยู่จนบอลปลิ้นเข้าประตูไป ... ลิเวอร์พูลแพ้ในเกมนั้น 1-3 และชีวิตของคาริอุสก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
กลับไปสู่จุดที่ไร้ความคาดหวัง
เยอร์เกน คล็อปป์ นั้นขึ้นชื่อเรื่องเป็นคนที่รักนักเตะของเขามากกว่าโค้ชคนไหน แต่ที่สุดแล้วมันก็ต้องมีเรื่องของผลงานด้วย การได้เห็นคาริอุสผิดพลาดแบบนั้น เขารู้ดีว่าคาริอุสนั้นไม่มีทางเหมือนเดิมได้อีกแล้วอย่างน้อย ๆ ก็ในฐานะผู้เล่นของลิเวอร์พูล เพราะสิ่งที่เขาเจอหลังจากเกม ๆ นั้นมีมากมายหลายเรื่องราว ทั้งการโดนขู่ฆ่า การโดนแฟนบอลฝั่งตัวเอง (บางกลุ่ม) ประณามว่าเป็นตัวการที่ทำให้ทีมพลาดคว้าแชมป์ และการถูกเอาไปล้อเลียนโลกโซเชียล
เหนือสิ่งอื่นใดคือคล็อปป์เด็ดขาดกับเรื่องนี้มากพอ เขาทุบกระปุกสโมสรเพื่อทำลายสถิติโลกสำหรับผู้รักษาประตู คว้าตัว อลีสซง เบ็คเกอร์ มาจาก โรม่า ทันที ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคาริอุสได้สูญเสียตำแหน่งมือ 1 ของทีมที่เขาอุตส่าห์ชิงมาได้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คืน ๆ นั้นถือเป็นฝันร้ายของคาริอุสไปตลอดชีวิตก็คงไม่ผิดนัก จนกระทั่งทุกวันนี้เขาก็ไม่เคยมาออกรายการไหนหรือนั่งสัมภาษณ์กับสื่อเจ้าใดยาว ๆ สำหรับเรื่องนี้เลยสักครั้ง เขาพยายามมูฟออนแล้ว แต่เรื่องนี้มันใหญ่เกินไปจริง ๆ ความมั่นใจของเขาได้หดหายไปหมดแล้วโดยมีความกลัวและความหวาดระแวงเข้ามาแทนที่ เหมือนกับคนที่เคยโดนมีดแทงมาก่อน มาวันหนึ่งต่อให้รักษาแผลจนดูดีแล้ว แต่แค่ได้เห็นมีดใจก็ผวาไปก่อนทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ... นั่นแหละคือสิ่งที่คาริอุสเป็น
คาริอุสถูกปล่อยยืมตัวไปเล่นให้กับ เบซิคตัส ถึง 2 ฤดูกาล และในสัญญามีออปชั่นซื้อขาดในราคา 7 ล้านปอนด์ แต่เหมือนกับว่าคาริอุสคนเดิมก่อนนัดชิงชนะเลิศปี 2018 ได้จากเขาไปแล้วตลอดกาล ... ที่ตุรกี เขายังคงก่อความผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และสื่อก็ชอบเหลือเกินที่จะเอาเรื่องราวพลาด ๆ ของเขามายำให้เป็นโจ๊กเรียกกระแส
แม้กระทั่งกับเบซิคตัส คาริอุสก็ไม่สามารถยึดมือ 1 ได้ ... 2 ปีที่ตุรกีผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้ลงสนามมากนักตามเงื่อนไขที่เบซิคตัสตกลงกับลิเวอร์พูลไว้ และสุดท้ายคาริอุสก็ไม่ได้ย้ายทีม เขากลับมาที่ลิเวอร์พูลอีกครั้งแต่ตอนนี้สถานะได้เปลี่ยนไปแล้ว ลิเวอร์พูลที่มีอลิสซงเป็นมือ 1 ผ่านการคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกไปเรียบร้อย พร้อมทั้งการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ในปีถัดมา คาริอุสกลายเป็นคนถูกลืมทั้ง ๆ ที่เขาเองก็เคยเป็นส่วนสำคัญในยุคตั้งไข่ของคล็อปป์ที่แอนฟิลด์
"น่าเสียดายที่มันจบลงแบบนี้ แต่คุณควรรู้ว่าผมได้พยายามทุกอย่างเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น" นี่คือสิ่งที่คาริอุสพูดหลังกลับมาอยู่ที่ลิเวอร์พูลอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เขากลายเป็นผู้รักษาประตูมือ 4 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นรกสวรรค์ห่างกันแค่คืบเดียว ลิเวอร์พูลปล่อยคาริอุสให้ อูนิโอน เบอร์ลิน ยืมตัว แต่เขาก็ไม่สามารถยึดตำแหน่ง 11 ตัวจริงได้เลย พอจบฤดูกาลอูนิโอนก็ส่งเขากลับมาที่ลิเวอร์พูลอีกครั้ง หนนี้ก็ไม่ต่างจากหนก่อน เขากลายเป็นอากาศธาตุไปเป็นที่เรียบร้อย เขากลับไปเป็นคาริอุสคนที่ไม่มีแฟนบอลคาดหวังอะไรยิ่งกว่าตอนที่เขาย้ายมาลิเวอร์พูลครั้งแรกในปี 2016 เสียอีก
รู้ตัวอีกทีคาริอุสก็อยู่กับลิเวอร์พูลจนถึงสัญญาปีสุดท้าย ... เขาอายุ 28 ปีแล้ว และต้องได้ยินการยืนยันจากคล็อปป์ว่า "หมายเลข 1 ของเราคืออาลี (อลีสซง), หมายเลข 2 ของเราคือ ควีวีน เคเลเฮอร์, หมายเลข 3 คือ อาเดรียน และหมายเลข 4 คือ มาร์เชโล ปิตาลูก้า นั่นคือผู้รักษาประตูสี่คนแล้ว และเราไม่เคยอยู่ในสถานการณ์ที่เราต้องใช้ผู้รักษาประตูถึง 5 คน" ... แน่นอนว่ามันเป็นการบอกโดยนัยว่าถึงเวลาแล้วที่คาริอุสจะต้องโยกย้าย
ตอนนี้คาริอุสเพิ่งเซ็นสัญญากับ นิวคาสเซิล โดยบทบาทของเขาคือการเข้ามาแทนที่ของ มาร์ติน ดูบราฟก้า นายทวารมือ 2 ของทีมที่ย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในซัมเมอร์นี้ ... และหากใครจะมองว่าเขามีโอกาสเบียดมือ 1 หรือไม่เราก็ต้องตอบตามความจริงแบบไม่โกหกตัวเองว่ามันเป็นเรื่องที่ "โคตรยาก" เพราะคนที่ขวางเขาอยู่คือ นิค โป๊ป นายทวารดีกรีทีมชาติอังกฤษ ที่มีผลงานคงเส้นคงวามากที่สุดคนหนึ่งในช่วง 4-5 ปีหลัง
มีคำกล่าวว่า "สิ่งใดที่เกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นดีเสมอ" ช่วงเวลาหลังจากนี้คาริอุสสามารถใช้คำนี้ปลอบประโลมหัวใจของเขาให้รู้สึกดีขึ้นได้บ้าง ไม่ว่าที่นิวคาสเซิลในฐานะมือ 2 เขาจะถูกเพ่งเล็งมากเท่าไร แต่อย่างน้อยนี่คือโอกาสที่สำคัญมาก ๆ สำหรับเขาเลยก็ว่าได้ เพราะหากวันใดโป๊ปเกิดไม่พร้อมเล่นขึ้นมา คาริอุสจะได้ออกสตาร์ท และสิ่งที่จะตามมาแน่นอนคือเขาจะถูกจับตามองอีกครั้งว่าจะทำอะไรผิดพลาดเหมือนกับปี 2018 อีกไหม
หนนี้เขาอายุ 29 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวจนเลยคำว่าวัยรุ่นแล้ว ดังนั้นถ้าเขาเอาประสบการณ์ที่มีมาใช้และคว้าโอกาสนั้นให้ได้แม้สักครั้งเดียว เขาก็จะสามารถพลิกฟื้นความมั่นใจที่ขาดหายไปตลอด 4 ปีหลังสุดได้ แม้คนอื่นจะไม่คิดแบบนั้น แต่ที่สุดแล้วจะมีอะไรตัดสินเราได้ดีไปกว่าที่เราตัดสินตัวเอง พรีเมียร์ลีกคือลีกฟุตบอลที่กดดันและมีคนติดตามมากที่สุดในโลก ตอนนี้คาริอุสกลับมาอยู่ใกล้หูใกล้ตาแฟนบอลอย่างเรา ๆ อีกครั้ง
ในขณะที่แฟนบอลจ้องจะรอดูเขาผิดพลาดอีกครั้ง ในทางกลับกันนี่ก็เป็นโอกาสพิสูจน์ตัวเองที่คาริอุสไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นอกจากทุ่มสุดตัวและปลดล็อกความหลอนในจิตใจของตัวเอง แล้วทวงชีวิตของเขาทั้งหมดที่หายไปตลอด 4 ปีกลับมาเสียที
แหล่งอ้างอิง
https://thetopflight.com/2021/10/21/liverpool-what-happened-to-loris-karius/
https://en.wikipedia.org/wiki/2018_UEFA_Champions_League_Final
https://www.theguardian.com/football/2022/jan/14/loris-karius-told-he-has-no-future-at-liverpool-and-is-free-to-leave
https://www.theguardian.com/football/2016/may/24/liverpool-sign-loris-karius-mainz-goalkeeper-simon-mignolet
https://www.premierleague.com/players/19600/Loris-Karius/stats
https://www.liverpoolfc.com/news/media-watch/242706-introducing-loris-karius-how-he-became-liverpool-s-no-1
https://www.theguardian.com/football/2018/feb/06/loris-karius-determined-to-keep-goalkeeping-spot-liverpool