Feature

ฟองสบู่เจลีก : วิกฤตการเงินที่เกือบทำให้ลีกอาชีพญี่ปุ่นล้มละลาย | Main Stand

เจลีก หรือลีกอาชีพญี่ปุ่น ถือเป็นลีกชั้นนำของเอเชีย ทั้งในแง่การบริหารจัดการและคุณภาพของทีม ขณะเดียวกันลีกแห่งนี้ยังเป็นหนึ่งในลีกที่ส่งนักเตะออกไปค้าแข้งในยุโรปครั้งละมาก ๆ เป็นประจำทุกปี  

 


อย่างไรก็ดี อันที่จริงพวกเขาเกือบมาไม่ถึงจุดนี้ เพราะย้อนกลับไปเมื่อ 27 ปีก่อน เจลีกต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่หลังก่อตั้งลีกได้ไม่กี่ปี จนเกือบจะล้มละลาย 

เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น ติดตามเรื่องราวไปพร้อมกับ Main Stand 

 

ตั้งไข่

แม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่พวกเขาก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ตามหลังเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้ นั่นคือการผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 

อันที่จริงการวางรากฐานฟุตบอลของญี่ปุ่นเริ่มต้นมาตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิก 1964 และนำไปสู่การก่อตั้งลีกแห่งชาติหรือ Japan Soccer League (JSL) ในปี 1968 แต่มันก็ทำให้พวกเขาไปไกลสุดเพียงแค่เหรียญทองแดงโอลิมปิกเท่านั้น 

นอกจากนี้ ด้วยผลงานที่ย่ำแย่ของทีมชาติในช่วงทศวรรษที่ 1970s-1980s ซึ่งสวนทางกับเศรษฐกิจที่เฟื่องฟู ผนวกกับการโยนหินถามทางของ โจอัว ฮาเวลานจ์ ประธานฟีฟ่าในขณะนั้น ถึงโอกาสในการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในอนาคต ทำให้ญี่ปุ่นเริ่มจริงจังขึ้นกับการก่อตั้งลีกอาชีพ

และก้าวแรกอย่างเป็นทางการก็ได้เริ่มขึ้นในปี 1988 เมื่อสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น หรือ JFA ได้แต่งตั้งคณะกรรมการก่อตั้งลีกอาชีพที่มีหน้าที่วางโครงสร้างลีกและกำหนดกฎเกณฑ์ของสโมสรที่จะเข้าร่วม รวมถึงวางระบบการอบรมโค้ชและพัฒนาผู้ตัดสิน

และเพื่อให้การบริหารจัดการมีความเป็นอาชีพมากที่สุด คณะกรรมการยังได้กำหนดเกณฑ์ว่าทีมที่จะได้เข้าร่วมต้องไม่มีชื่อขององค์กรหรือบริษัทในชื่อของสโมสร 

เนื่องจากในยุคของ JSL ทีมในลีกมักจะเป็นทีมของบริษัทซึ่งก่อตั้งสโมสรไว้เพื่อโปรโมตองค์กร หรือเป็นสถานที่ออกกำลังกายของพนักงานในบริษัท การออกกฎนี้ก็เพื่อการขจัดภาพความเป็นทีมองค์กรให้หมดไป 

ทั้งนี้พวกเขายังได้ออกกฎเบื้องต้นโดยใช้โมเดลมาจากลีกยุโรปที่ต้องมีฐานที่มั่น หรือ Hometown อย่างชัดเจน เพื่อสร้างสายสัมพันธ์กับคนในท้องถิ่น รวมถึงต้องมีสนามที่มีความจุผู้ชมได้มากกว่า 15,000 ที่นั่ง ไปจนถึงต้องมีระบบการพัฒนาเยาวชน 

แม้ในช่วงแรกจะมีทีมที่สนใจเพียงแค่ 10 ทีม แต่หลังจากการประกาศออกไปอย่างเป็นทางการในปี 1990 ก็มีทีมร่อนใบสมัครเข้ามากันมากถึง 20 ทีม ก่อนที่จะคัดจนเหลือ 10 ทีมสุดท้าย ในปี 1991 

"เดือนกรกฎาคมปีนั้น ผมกำลังดูฟุตบอลโลกอยู่ที่อิตาลีตอนที่ผมได้รับโทรศัพท์จากโตเกียวที่บอกว่ามี 20 บริษัทอยากเข้าร่วม ผมรู้สึก 'ไชโย' ออกมาเลย" ซาบูโร คาวาบูจิ ผู้มีส่วนสำคัญในการก่อตั้งเจลีก ย้อนความหลัง  

"ตอนแรกผมคิดเอาไว้ว่าน่าจะมีราว 15 บริษัทที่สนใจ หรืออย่างแย่ที่สุดก็ 3 บริษัท ดังนั้นผมจึงรู้สึกดีใจมาก ๆ"   

โดย 10 ทีมที่เข้ารอบ หรือที่เรียกกันว่า "ออริจินอล 10" ได้แก่อดีตทีมองค์กรอย่าง กัมบะ โอซากา, เจฟ ยูไนเต็ด อิจิฮาระ, นาโงยา แกรมปัส เอตส์, ซานเฟรชเช ฮิโรชิมา, อูราวะ เรด ไดมอนด์ส, เวอร์ดี คาวาซากิ, โยโกฮามา ฟลูเกลส์ และ โยโกฮามา มารินอส บวกกับ ชิมิสึ เอสพัลส์ ที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ และ คาชิมา อันท์เลอร์ส ที่เลื่อนขึ้นมาจากดิวิชั่น 2 เก่า  

และ 1993 ก็คือปีดีเดย์ของพวกเขา 

 

เจลีกบูม 

หลังจากได้สมาชิกครบถ้วน คณะกรรมการก็ตัดสินใจว่าจะใช้การแข่งขันฟุตบอลถ้วย เจลีกคัพ หรือ เจลีก ยามาซากิ นาบิสโก คัพ ในปี 1992 เป็นการแข่งขันชิมลางเพื่อทดสอบความพร้อมก่อนที่เจลีกจะเปิดฉากอย่างเป็นทางการในปี 1993 

การแข่งขันจะแบ่งเป็นรอบแรกที่ทุกทีมจะเตะกันแบบพบกันหมด แล้วคัดเอาทีมที่มีผลงานดีที่สุด 4 อันดับแรกมาเตะรอบเพลย์ออฟเพื่อหาทีมที่แข็งแกร่งที่สุดของญี่ปุ่น 

ทั้งนี้ทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากจากสื่อและแฟนบอล และทำให้สนามเนืองแน่นไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะนัดชิงชนะเลิศที่มีแฟนบอลกว่า 56,000 คนเข้ามาเป็นสักขีพยานในการคว้าแชมป์ของเวอร์ดี หลังเฉือนเอาชนะเอสพัลส์ไปด้วยสกอร์ 1-0 

"มีผู้ชมกว่า 10,000 คน (ต่อเกม) เข้ามาชมเกมในรอบแรก และในที่สุดเราก็สามารถดึงดูดคนไปถึงหลัก 20,000 คน ซึ่งเป็นระดับที่สนามกีฬาท้องถิ่นไม่เพียงพอที่จะรองรับคนได้" คาซูกิ ซาซากิ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์และเลขาธิการทั่วไปเจลีกในตอนนั้น กล่าว  

"ความห่างระหว่างสิ่งนั้นกับยุค JSL มันใหญ่เกินสำหรับพวกเราที่จะเข้าใจ" 

แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่การเรียกน้ำย่อยเท่านั้น เมื่อในปี 1993 หรือปีที่เจลีกเปิดฉากอย่างเป็นทางการ กระแส "ฟุตบอลบูม" ก็แพร่กระจายไปทั่วประเทศแบบหยุดไม่อยู่ 

เริ่มตั้งแต่เกมเปิดสนามระหว่าง เวอร์ดี คาวาซากิ และ โยโกฮามา มารินอส ที่ได้รับความสนใจเกินคาด หลังมีคนส่งใบสมัครมาขอซื้อตั๋วมากถึง 300,000 ใบ (1 ใบซื้อได้ 4 ที่นั่ง) และอีก 800,000 คนที่อยากไปชมเกมทั้งที่ความความจุของ สนามกีฬาแห่งชาติญี่ปุ่น สังเวียนในวันนั้นอยู่ที่ราว 59,000 คนเท่านั้น

ขณะเดียวกันการถ่ายทอดสดนัดดังกล่าวผ่านช่อง NHK ยังสร้างปรากฏการณ์ เมื่อสามารถทำเรตติ้งขึ้นไปสูงถึง 32.4 เปอร์เซ็นต์ และคาดคะเนกันว่าน่าจะมีคนราว 30 ล้านคนที่ชมเกมผ่านหน้าจอโทรทัศน์ 

ส่วนการแข่งขันในสนามก็ไม่น้อยหน้า เมื่อทั้งสองทีมที่ต่างขนดาวดังกันมาอย่างครบครัน ผลัดกันสู้ได้อย่างสนุก ก่อนที่สุดท้าย มารินอส จะเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้ 2-1 จากประตูชัยของ รามอน ดิอาซ กองหน้าทีมชาติอาร์เจนตินา ชุดฟุตบอลโลก 1982 

"ความรู้สึกข้างในของผมเป็นอะไรมากว่าคำว่าทึ่ง ผมรู้สึกตกใจ ผลตอบรับจากสาธารณะยิ่งใหญ่มาก มันมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้เสียอีก" ยาซูชิ โฮโซคาวา อดีตบอร์ดบริหารเจลีก และรองประธาน นิสสัน มอเตอร์ ที่อยู่ในเกมนัดเปิดสนามเจลีก กล่าว 

"ผมถึงขั้นถามตัวเองว่า มันคงไม่เป็นไรใช่ไหมหากเริ่มต้นด้วยอะไรแบบนี้" 

ในซีซั่นดังกล่าวเจลีกยังทำสถิติผู้ชมเฉลี่ยมากถึง 17,976 คน รวมถึงขายของที่ระลึกไปได้ถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 16,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับค่าเงินในปัจจุบัน) ขณะเดียวกัน ธนาคารฟูจิ สปอนเซอร์อย่างเป็นทางการของเจลีก ก็มีคนมาเปิดบัญชีกับพวกเขามากถึง 1 ล้านคน

"ถ้าคุณไม่เรียกสิ่งนี้ว่าความสำเร็จ อะไรล่ะที่เรียกได้ว่าการประสบความสำเร็จ" คาวาบูจิ ที่ต่อมากลายเป็นประธานคนแรกของเจลีก กล่าว 

อย่างไรก็ดีช่วงเวลาแห่งความชื่นมื่นก็อยู่กับพวกเขาได้ไม่นาน 

 

ฟองสบู่แตก 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เจลีกประสบความสำเร็จตั้งแต่ฤดูกาลแรกคือการนำเสนอในฐานะ "สินค้าใหม่ที่ได้รับการปรับปรุง" 

ทั้งการแข่งขันแบบ 2 สเตจ ที่เอาแชมป์แต่ละสเตจมาแข่งกัน หรือการไม่มีผลเสมอที่หากตัดสินกันไม่ได้ใน 90 นาทีจะใช้การต่อเวลาแบบวีโกล (ต่อมาพัฒนาไปเป็นโกลเดนโกล) หรือถ้ายังเสมอกันก็จะยิงจุดโทษ เพื่อเป็นการเพิ่มความเร้าใจ

"เจลีกมีกฎการเล่นเฉพาะที่ได้รับการรับรองจากฟีฟ่าให้แข่งแบบเผชิญหน้า อย่างการยิงลูกโทษ รวมไปถึงการเพลย์ออฟตัดสินแชมป์ระหว่างแชมป์เจลีกทั้งสองสเตจ" โจเซฟ โทบิน กล่าวในหนังสือ Re-made in Japan 

แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อในฤดูกาล 1994 เจลีกยังสามารถทำยอดแฟนบอลเฉลี่ยขึ้นไปถึง 19,516 คน และทำให้ลีกได้รับความสนใจจากทั่วโลกจนสามารถดึงดูดนักเตะระดับเวิลด์คลาสอย่าง ดุงกา (จูบิโล) หรือ ดราแกน สตอยโควิช (แกรมปัส) มาค้าแข้งในแดนอาทิตย์อุทัยได้ 

อย่างไรก็ดีสัญญาณแห่งหายนะก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นในปี 1995 หลังยอดแฟนบอลเฉลี่ยตกลงมาอยู่ที่ 16,922 คน และเหลือ 13,353 คนในฤดูกาลต่อมา ก่อนที่จะลดลงมาจนเหลือ 10,131 คน ในปี 1997 หรือเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับฤดูกาล 1994 

ผนวกกับการใช้เงินจ้างผู้เล่นต่างชาติอย่างมือเติบก่อนหน้านี้เริ่มส่งผลกระทบโดยตรงแก่หลายสโมสร หลายทีมเริ่มประสบปัญหาขาดทุนหรือหมุนเงินไม่ทัน

"เงินเดือนเฉลี่ยต่อปีของนักเตะต่างชาติในเจลีกเพิ่มขึ้นจาก 317,000 ดอลลาร์ (ราว 9.5 ล้านบาท) ในปี 1993 มาเป็น 631,200 ดอลลาร์ (ราว 19 ล้านบาท) ในปี 1994 และ 834,500 ดอลลาร์ (25 ล้านบาท) ในปี 1997" โวล์ฟแรม แมนเซนเรเตอร์ อธิบายในบทความ Japanese football and world sports raising the global game in a local setting

"เทียบให้เห็นภาพ นักเตะญี่ปุ่นมีรายได้เฉลี่ยต่อปีเพียง 227,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.8 ล้านบาท) เท่านั้น"

"ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 เงินเดือนผู้เล่นมีจำนวนเป็นครึ่งหนึ่งของรายจ่ายทั้งหมด และเป็นภาระที่หนักที่สุดในบัญชีของสโมสร"

ก่อนที่มันจะถูกซ้ำเติมจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจถดถอยของญี่ปุ่น หรือที่เรียกกันว่า "ทศวรรษที่หายไป" (Lost Decade) ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1993 และทำให้หลายบริษัทพากันถอนตัวจากการเป็นสปอนเซอร์หลักของทีม

ยกตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์โยมิอูริ ที่ไม่ไปต่อกับเวอร์ดี แชมป์เจลีก 2 สมัย จนทำให้เวอร์ดีต้องสูญเสียรายได้ไปมากกว่า 2,000 ล้านเยนต่อปี (ราว 500 ล้านบาท) หรือบริษัทก่อสร้างฟูจิตะ ที่หยุดสนับสนุน เบลล์มาเร ฮิรัตสึกะ (โชนัน เบลล์มาเร ในปัจจุบัน) 

อย่างไรก็ดีที่หนักสุดน่าจะเป็น โยโกฮามา ฟลูเกลส์ ที่ถึงขั้นต้องยุบไปรวมทีมกับ โยโกฮามา มารินอส คู่แข่งร่วมเมืองในปี 1999 หลัง ซาโต โคเงียว สปอนเซอร์หลักประสบปัญหาทางการเงินจนต้องถอนตัว ส่วน All Nippon Airways ผู้ลงทุนร่วมก็แบกรับภาระไม่ไหวจึงต้องไปจับมือกับ นิสสัน สปอนเซอร์มารินอสที่กำลังมีปัญหาเช่นกัน

"แรงกระเพื่อมจากภาวะถดถอยในยุคเฮเซเริ่มรู้สึกได้จากสปอนเซอร์ของบางสโมสร" จอห์น ฮอร์น กล่าวในงานวิจัย The J.League, Japanese Society and Association Football

"นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ในปี 1999 โยโกฮามา ฟลูเกลส์ จำเป็นต้องไปยุบรวมทีมกับ มารินอส ซึ่งเป็นอีกทีมที่อยู่ในเมืองโยโกฮามา"

มันคือวิกฤตที่พวกเขาต้องเผชิญร่วมกัน แต่ก่อนที่มันจะลุกลามไปมากกว่านี้ เจลีกจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดยั้งมัน

 

กลับไปสู่จุดเริ่มต้น

แม้ว่าเจลีกจะออกกฎห้ามไม่ให้บริษัทหรือองค์กรเข้ามามีอิทธิพลกับทีม ด้วยการห้ามใช้ชื่อบริษัทในสโมสร แต่ในเชิงปฏิบัตินั้นถือเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในช่วงก่อร่างสร้างตัว ทำให้เกือบทุกทีมพึ่งพาเงินทุนจากบริษัทที่เคยเป็นเจ้าของทีมแทบทั้งสิ้น 

ยกตัวอย่างเช่น อุราวะ เรดส์ และ คาชิมา อันท์เลอร์ส สองทีมดังของเจลีก ก็ต่างได้รับเงินอุดหนุนจาก มิตซูบิชิ มอเตอร์ส และ ซูมิโตโม มากถึง 100 ล้านเยนต่อปี (ราว 26 ล้านบาท) เช่นเดียวกับ เวอร์ดี ที่มีสายสัมพันธ์กับ โยมิอูริ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น 

ด้วยเหตุนี้ทำให้ 5 ปีแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งลีก หลายทีมต้องประสบกับภาวะขาดทุน ยกตัวอย่างเช่นในปี 1998 มีทีมที่ผลประกอบการเป็นบวกแค่ 2 ทีมจาก 16 ทีม ส่วนอีก 9 ทีมประสบปัญหาขาดทุน และอีก 5 ทีมต้องเอาเงินบริษัทแม่มาอัดฉีด 

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เจลีกต้องออกกฎควบคุมการเงิน โดยเฉพาะการควบคุมเพดานเงินเดือนนักเตะ ที่ระบุว่าแต่ละทีมจะมีนักเตะที่มีค่าเหนื่อยเกิน 4.8 ล้านเยนต่อปี (1.23 ล้านบาท) ได้ไม่เกิน 25 คน 

นอกจากนี้พวกเขายังลดโควตานักเตะต่างชาติ จากที่มีกี่คนก็ได้แล้วส่งลงสนามได้ 3 คน มาเป็น ทุกทีมต้องมีนักเตะต่างชาติไม่เกิน 3 คน (ปัจจุบันกลับไปเป็นแบบที่มีในทีมได้ไม่จำกัด แต่ส่งลงสนามได้ไม่เกิน 5 คน ยกเว้นชาติที่เซ็น MOU กับเจลีก) 

"จากกฎดังกล่าวทำให้ค่าใช้จ่ายรายปีเฉลี่ยต่อทีมของเจลีกลดลงจาก 1.75 พันล้านเยน (487 ล้านบาท) ในปี 1996 เหลือ 1.15 พันล้านเยน (320 ล้านบาท) ในปี 1999" แมนเซนเรเตอร์ ระบุ

ขณะเดียวกันเจลีกยังได้กลับมาให้ความสำคัญกับชุมชน ด้วยการกระตุ้นให้แต่ละทีมพยายามหาเงินจากสปอนเซอร์ท้องถิ่นหลายเจ้ารวมกันแทนที่จะพึ่งพาสปอนเซอร์หลักเพียงเจ้าเดียว 

หนึ่งในทีมที่รับแนวคิดนี้มาใช้คือ เบลล์มาเร ฮิรัตสึกะ (โชนัน เบลล์มาเร ในปัจจุบัน) ที่หลังจากบริษัทก่อสร้างฟูจิตะถอนตัวไป พวกเขาก็ได้ตั้งบริษัท โชนัน เบลล์มาเร ซึ่งเป็นเหล่ากลุ่มคนในชุมชนที่รวมถึงรัฐบาลเมืองฮิรัตสึกะและบริษัทท้องถิ่นอีกกว่า 320 บริษัท 

"คีย์เวิร์ดรูปแบบการร่วมมือกันในชุมชนของเจลีกประกอบไปด้วย บ้านเกิด (hometown) ที่ผู้ถือผลประโยชน์อาศัยอยู่ หรือเป็นภาษาพูดก็คือเมืองของเรา (our town) และการยึดมั่นในพื้นที่ของเรา (regional adherence) ซึ่งมีความหมายง่าย ๆ ว่า ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดในพื้นที่บ้านเกิด" แมนเซนเรเตอร์ และ ฮอร์น กล่าวในงานวิจัย Football in the community: global culture, local needs and diversity in Japan 

"แต่ในปี 1996 เมื่อเจลีกได้สูญเสียมิติเริ่มแรกไป พันธสัญญาต่อสาธารณะจึงได้ถูกย้ำเตือนอีกครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนท้องถิ่นที่อาศัยอยู่ในบ้านเกิด" 

ทั้งนี้เจลีกยังได้วางแผนระยะยาวที่เรียกกันว่า "แผน 100 ปี" ที่ตั้งเป้าว่าจะมีสโมสรอาชีพให้ครบ 100 สโมสรภายในปี 2092 รวมถึงตั้งเป้าหมายที่จะคว้าแชมป์โลกภายในปี 2050

ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะได้ผล เมื่อเจลีกเริ่มฟื้นตัวในช่วงทศวรรษ 2000s และก้าวไปสู่จุดสูงสุดของเอเชียในปี 2007 หลัง อุราวะ เรดส์ ผงาดคว้าแชมป์ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ ตามมาด้วย กัมบะ โอซากา ในปีถัดมา 

แม้ว่าจะมีบางช่วงที่พวกเขาโดน ไชนีส ซูเปอร์ลีก ช่วงชิงความยิ่งใหญ่ไปบ้าง แต่พวกเขาก็ยังสามารถทวงความเป็นลีกเบอร์ 1 ของเอเชียกลับมาได้ รวมถึงก้าวไปถึงแชมป์ระดับทวีปได้อีกสองครั้งในปี 2017 และ 2018  

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่ลีกที่มีมาตรฐานระดับท็อปก็ยังมีช่วงเวลาที่เลวร้าย แต่สิ่งสำคัญคือพวกเขาสามารถเรียนรู้และแก้ไขให้มันดีขึ้น มากกว่าจะปล่อยให้มันเป็นไปแล้วมาตีอกชกตัวโทษฟ้าโทษฝน 

และทั้งหมดนี้คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ เจลีก สามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงมาเกือบ 30 ปี 

 

แหล่งอ้างอิง 

https://www.goal.com/en-us/news/25-years-of-j-league-rise-and-fall-of-asias-no1-football/ri3u63otspsd19upuq6pvub75 
https://www.theroar.com.au/2021/05/18/the-rise-fall-and-rise-again-of-japanese-football-that-we-should-have-learnt-from/ 
https://www.nippon.com/en/currents/d00076/
The J.League, Japanese Society and Association Football
Football in the community: global culture, local needs and diversity in Japan
The making of professional football league : The design of J.League system

Author

มฤคย์ ตันนิยม

ลีดส์ ยูไนเต็ด, ญี่ปุ่น, มังงะ

Graphic

ภราดร ภราดร

อยากจะทำให้ดี ไม่ใช่แค่อยากจะทำให้เป็น