พรีเมียร์ลีกเป็นลีกขึ้นชื่อเรื่องการเล่นหนักถึงลูกถึงคนของนักเตะแนวรับ เตะเป็นเตะหวดเป็นหวด จนทำให้นักเตะต่างชาติหลายคนไม่สามารถปรับตัวและต้องยอมแพ้ให้กับความหนักหน่วงนี้
อย่างไรก็ตามมีกองหน้าสายพันธุ์ บราซิลเลียน-สแปนิช คนหนึ่งเขามาเปลี่ยนแปลงความเชื่อที่ว่า กองหน้าต้องยอมโดนกองหลังเตะอยู่ฝ่ายเดียว และพร้อมที่จะเป็นคนเริ่มเรื่องวิวาททุกเมื่อ
นี่คือเรื่องราวของเขา กองหน้าที่ เชลซี ตามหา ชายผู้ไม่เคยแสดงความเคารพทีมคู่แข่ง และยินดีมาก ๆ หากคุณจะบอกว่า "คุณเกลียดเขา" ทุกครั้งที่ลงสนาม
ติดตามเรื่องราวความสุดของ ดิเอโก้ คอสต้า ได้ที่นี่
สู้กลับคือวิถีของผม
ดิเอโก้ คอสต้า ย้ายมาร่วมทัพ เชลซี ในปี 2014 ด้วยความหวังที่มากมายมหาศาลว่าเขาจะเป็นดาวยิงหมายเลข 9 ที่สโมสรรอคอย เพราะหลังจากการหมดวาระของ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา เชลซี ไม่เคยมีใครเลยที่สามารถไว้ใจในเรื่องการจบสกอร์ชัด ๆ จริง ๆ เสียที
ณ เวลานั้น คอสต้า มีชื่อเสียงไม่น้อย เป็นเจ้าของรางวัลดาวซัลโว ลา ลีกา ฤดูกาล 2013-14 พา แอตเลติโก มาดริด ปาดหน้า บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ลีกในนัดสุดท้ายของฤดูกาล สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะสำหรับการยกระดับตัวเองจากที่เคยเป็นนักเตะเก่งให้กลายเป็นนักเตะที่เก่งและดังด้วยในเวลาเดียวกัน
ทันทีที่ คอสต้า เดินทางมาถึงลอนดอน เขาได้ให้สัมภาษณ์กับสื่่อของสโมสรและสื่ออื่น ๆ ในประเทศ ท่าทีของเขาต่างจากการลงแข่งขันในสนามพอสมควร สตีฟ วิลสัน นักข่าวของ BBC เล่าว่า
"ดิเอโก้ คอสต้า ที่ผมเคยพบเป็นชายผู้เงียบขรึม, พูดน้อย และดูท่าทางสงบเยือกเย็น ผมเคยได้สัมภาษณ์เขา เขาเหมือนเป็นคนที่คิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ในหัวตลอดเวลา บางครั้งเขาก็แสยะยิ้มออกมา"
"แต่หลังจากที่ได้รู้ปูมหลังของเขา ผมก็รู้แล้วว่าทำไม มันเหมือนกับเขากำลังครุ่นคิด ไตร่ตรอง และทบทวนความยากลำบากที่ผ่านมาตลอดชีวิตกว่าจะมาถึงจุดนี้ และชีวิตของเขานั้นไม่ง่ายเลย" วิลสัน กล่าว
เรื่องราวของ คอสต้า อาจจะเคยเปิดเผยมาบ้างแล้วว่าในอดีตเขาเคยเป็นกระเป๋ารถเมล์ แต่ความจริงแล้วมันลำบากกว่านั้นสักหน่อย เขาเติบโตในครอบครัวยากจน เป็นครอบครัวใหญ่ที่ทุกคนต้องทำงานหากพอจะทำไหว พ่อแม่และวงญาติจะออกไปทำงานแล้วให้ลูก ๆ ของพวกเขาอยู่ด้วยกันตามอัตภาพ โดยที่มีพี่ใหญ่คอยดูแลอีกทีในช่วงเวลางาน
ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นการสอนให้ คอสต้า สู้คนก็ว่าได้ เขาเกิดทีหลัง เป็นน้อง และโดนลูกพี่ลูกน้องแกล้งอยู่บ่อย ๆ จากที่เคยร้องไห้ทุกวันเพราะสู้ไม่ได้ วันหนึ่งเขาก็เบื่อที่จะเป็นฝ่ายถูกกระทำ เขาโต้ตอบด้วยวิธีแบบเด็ก ๆ ที่ไม่ได้บอกว่าทำแบบไหน แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีใครมายุ่มย่ามกับเขาเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
การเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งนั้นทำให้ คอสต้า รู้ได้ทันทีว่า ในบางสถานการณ์อย่ามัวแต่รอให้ตัวเองต้องโดนทำร้ายโดยไร้เหตุผล เพราะจริง ๆ แล้วเราสามารถตอบโต้ได้ นั่นคือนาทีเปลี่ยนชีวิตที่ทำให้ คอสต้า กลายเป็นนักฟุตบอลแบบที่พวกเราทุกคนเห็นเขาเป็นมาเสมอ
วิถีสู้กลับ ถูกนำมาปรับใช้ในชีวิตการทำงานของเขาเช่นกัน คอสต้า ถือเป็นเด็กตัวใหญ่ที่พอจะทำงานได้ไวกว่าใคร พ่อแม่จึงส่งมาทำงานเป็นคนขายเสื้อฟุตบอลและเสื้อผ้าแฟชั่นแบบผิดลิขสิทธิ์ในกรุงเซาเปาโล ก่อนจะเริ่มขยับมาเป็นกระเป๋ารถเมล์ ไปพร้อม ๆ กับการฝึกเตะฟุตบอลในช่วงอายุราว ๆ 13 ปี แต่ก็ถือว่าไม่ได้เป็นเด็กเก่งอะไร เพราะต้องทำงานไปด้วย ไม่สามารถรีดศักยภาพออกมาได้มากมายนัก
ดุเดือด เลือดพล่าน ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง เกมไหนบทจะยิงขึ้นมาง้างเท้าท่าไหนก็เข้า วันไหนบทจะสติหลุด คอสต้า ก็มักจะเสียใบแดงแบบที่ศัพท์ฟุตบอลเรียกว่า "เสียค่าโง่" อยู่บ่อย ๆ ... ถ้าตัดการเสียค่าโง่ออกไปได้ คอสต้า จะเป็นกองหน้าที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่านี้
คอสต้า ไม่ได้ทำเป็นเข้มเพื่อสร้างคาแร็กเตอร์ เขาเป็นแบบนั้นจริง ๆ ตั้งแต่ลูกพี่ลูกน้องที่ชื่อว่า แจร์ ชวนไปเตะฟุตบอลทีมยู 15 ของสโมสร บาร์เซโลนา เอสพี ทีมท้องถิ่นใน เซาเปาโล คอสต้า ก็ใช้ความแข็งแกร่งมาทดแทนความเก่ง ใช้ความดุเดือดและขยันมาทดแทนคลาสฟุตบอล จนเขาเองได้รับค่าจ้างเดือนละ 100 ปอนด์ ตอนอายุ 18 ปี (ราว 4500 บาท)
แจร์ เล่าว่า คอสต้า กำลังไปได้ดีมาก ๆ และมีโอกาสที่ทีมจะเพิ่มเงินเดือนให้ ทว่าหลังจากตั้งท่าจะดี คอสต้า ก็โดนแบน 4 เดือน จากการไปตบนักเตะฝั่งตรงข้ามและผลักกรรมการจนล้มหัวคะมำเพราะการไม่ยอมรับคำตัดสิน ... ทั้งหมดคือ ดิเอโก้ คอสต้า ที่พวกเรารู้จัก
"ท้องถนนคือโรงเรียนของผม ผมต่อสู้กับทุกคน ผมไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ผมเกลียดความพ่ายแพ้ ถ้าแพ้ ผมจะกลับไปทบทวนทั้งวันและพยายามแก้ไขมันให้ได้" คอสต้า อธิบายถึงตัวเอง
"ผมไม่เคยจะคิดเคารพฝั่งตรงข้าม ผมคิดเสมอว่าผมอยากจะฆ่าพวกเขาในสนาม มันต่างกันเด็กหลายคนที่โตมากับการเรียนหนังสือหรืออยู่ในอะคาเดมี พวกเขาถูกสอนให้ควบคุมตัวเองและเคารพคนอื่น ๆ แต่ผมไม่ใช่ ไม่มีใครเคยสอนผมเรื่องนี้เลย สังคมและสิ่งแวดล้อมมีผลมาก สนามที่ผมเล่นทุกคนก็พร้อมจะกระแทกศอกใส่หน้ากัน และพวกเราทุกคนต่างพยักหน้า อื้ม มันก็ปกติดีนี่"
การได้โอกาสไปเล่นในโปรตุเกสกับ บราก้า และเล่นให้กับอีกหลากหลายสโมสรในสเปน รวมถึงเป็นแชมป์ลีกกับ แอตฯ มาดริด คอสต้า ทำเช่นนั้นมาเสมอ แต่ที่ เชลซี นี่คือช่วงเวลาที่เขาจะต้องเจอบททดสอบสำคัญ สโมสรแห่งนี้มีระบบซีเนียร์ และเดิมพันแต่ละเกมสูงมากเกินกว่าใครคนหนึ่งจะทำตามใจตัวเองจนทีมเสียเปรียบผลการแข่งขันได้ มันคือช่วงเวลาที่ คอสต้า ต้องเลือกแล้ว
ที่อังกฤษเราไม่ทำแบบนั้น
เขาก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ก็อธิบายอย่างชัดเจนว่า "ความดุดันมาพร้อมกับการขาดสติเสมอ" ทั้งสองอย่างเป็นเหมือนสินค้าแพ็กคู่ที่ต้องซื้อราคาเหมาไม่สามารถซื้อแยกชิ้นได้ เหตุผลเพราะคอสต้าเชื่อว่า ถ้าเกมไม่เดือดเขาจะเล่นไม่สนุก และถ้าเขาเล่นไม่สนุก เขาก็จะยิงประตูไม่ได้ ... เชลซี ซื้อตัวเขามา 32 ล้านปอนด์ พร้อมค่าเหนื่อยอีก 150,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ นี่คือค่าจ้างที่เยอะที่สุดในชีวิตของเขา มันขึ้นอยู่กับว่าเขาจะรักษามาตรฐานตัวเองไว้ได้หรือไม่
หลายคนเป็นกังวลในความมุทะลุดุเดือดว่าจะทำให้เขาไม่สามารถไปได้ไกล แต่คนที่ซื้อเขาเข้ามาอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ รู้ดีว่า คอสต้า นี่แหละจะเปลี่ยนความปวกเปียกในแดนหน้าที่ เชลซี เป็นในเวลานั้น ขณะที่ความโวยวาย สร้างปัญหามากมายในสนามของเขาจะทำให้แฟน ๆ รักเขาอย่างแน่นอน
"ผมซื้อ คอสต้า เพราะผมเห็นคาแร็กเตอร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแบบที่ผมต้องการ ยากมาก ๆ จะหานักเตะกองหน้าแบบเขาได้ คนที่เป็นนักสู้โดยสัญชาตญาณ คนที่รู้ว่าหากอยากได้สิ่งไหนต้องพยายามทำมันด้วยตัวเอง เขารู้ดี เพราะตลอดทั้งทุกสิ่งที่เขาได้มาไม่มีใครให้เขา เขาทำมันเองทั้งหมด" มูรินโญ่ กล่าว
นักเตะแบบ คอสต้า คือนักเตะที่ยากจะได้รับการยอมรับ เขาชอบจะเล่นนอกเกมอยู่เสมอ ไม่เคารพฝ่ายตรงข้าม แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาแม้จะเป็นกิริยาที่ไม่ควรทำ ซึ่ง คอสต้า เผยว่า เขาทบทวนถึงความเป็นตัวเองทุกครั้ง และพบว่ากว่าที่เขาจะมาถึงตรงนี้ เขาก็สู้ในแบบของเขามาตลอด เขาเติบโตมาพร้อมกับการแก่งแย่ง ห้ามแพ้ ห้ามหงอ และถ้าเขาจะต้องเปลี่ยนไปเพียงเพราะความเกรงใจต่อนักเตะคนอื่น ๆ กุนซือ หรือแฟนบอล มันคงจะเป็นเรื่องที่ "เป็นไปไม่ได้"
"ผมทนไม่ไหวหรอกถ้าเกมมันจะดำเนินไปอย่างราบเรียบ ผมชอบที่จะจุดไฟเผาตัวเอง ผมยอมเป็นสัตว์ก็ได้ แล้วแต่คุณ ผมเตะคุณได้ คุณก็เตะผมกลับได้ ถ่มน้ำลายใส่ผมก็ได้ ผมไม่โกรธคุณเลยแม้แต่น้อย และผมไม่เอาเรื่องหยุมหยิมพวกนี้กลับไปแค้นถึงที่บ้านแน่นอน ทุกอย่างจะจบในสนาม"
คอสต้า ลงเล่นกับ เชลซี ปีแรกด้วยความร้อนแรง เขาจับคู่กับ เชส ฟาเบรกาส และเข้าใจกันเหมือนเล่นด้วยกันมานาน บอลจาก ฟาเบรกาส มักจะถึง คอสต้า และจบด้วยการยิงเข้าประตูเสมอ แฟน ๆ เชลซี เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมทีมจึงต้องการนักเตะแบบนี้ เขาทำให้แฟน ๆ หวนนึกถึงตอนที่มี ดร็อกบา และที่สำคัญคือฟุตบอลของ เชลซี ดุดันมาก ๆ ในแบบที่ใครก็ไม่อยากที่จะเจอด้วย เพราะมีกองหน้าแบบเขา
"ฟาเบรกาส กับ คอสต้า คือนักเตะที่บางครั้งคุณก็ไม่เห็นพวกเขาในเกมเลย แต่ถ้าพวกเขาเชื่อมกันติดเมื่อไหร่นรกทันที ฟาเบรกาส โยนบอลยาว 50 หลาให้ คอสต้า และเปรี้ยง! จบด้วยการเป็นประตู" แจ็ค วิลเชียร์ กองกลางของ อาร์เซน่อล กล่าวหลังจากทีมของเขาแพ้ เชลซี ไป 0-2
ขณะที่แฟนเชลซีกำลังลิงโลดและมีความสุขกับชีวิตใหม่ภายใต้ผู้นำในแดนหน้า แฟนบอลทีมอื่นก็เกลียด คอสต้า เข้าไส้ ฝั่งตรงข้ามหลายคนพยายามด่าทอเข้าผ่านสื่ออยู่บ่อยครั้ง อาทิ ครั้งหนึ่ง โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ กุนซือของ เอฟเวอร์ตัน ให้สัมภาษณ์ว่า "นี่คือนักเตะที่ไม่เคยเคารพฟุตบอลอังกฤษเลยแม้แต่น้อย" หลังจากที่ คอสต้า ล้อเลียน เชมุส โคลแมน แบ็กขวาของ เดอะ ทอฟฟี่ส์ ที่ทำพลาดจนเขาได้ยิงประตูเข้าไป
แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้กัน คอสต้า ไม่เคยแผ่ว ที่มากพอ ๆ กับสถิติการยิงประตูคือการเล่นนอกเกมของเขา หากสมัยนั้นมี VAR ไม่แคล้วชื่อของเขาคงขึ้นพาดหัวข่าวทุกสัปดาห์แน่นอน
"เขาอัด ปาโบล ซาบาเลต้า ของแมนฯ ซิตี้ กระแทก มาร์ติน สเคอร์เทล จนคิ้วแตก, ตะโกนเยาะเย้ยใส่หน้า เชมุส โคลแมน หลังยิงประตูได้, ตบหน้า โลรองต์ กอสเซียลนี่ ... นี่แค่คร่าว ๆ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในปีแรกของเขากับ เชลซี ทั้งนั้น" แอนดรูว์ เมอร์เรย์ นักข่าวของ FourFourTwo เขียนถึง คอสต้า
คอสต้า คือนักเตะที่โดนโห่ในทุกสนามที่เขาไปเยือน แต่สิ่งที่เขาได้กลับมา คือเป็นหนึ่งในคนที่แฟนเชลซีปรบมือให้ดังที่สุดใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ... เขาเป็นดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกและพาทีมคว้าแชมป์ทันที นั่นคือวิธีการพิสูจน์ตัวเองของเขา คุณจะเกลียดเขาหรือไม่ไม่สำคัญ เขาแค่ไม่อยากแพ้ และจบฤดูกาลด้วยการเป็นคนสุดท้ายที่ได้หัวเราะเสมอ
เพราะอนาคตยังมาไม่ถึง
หนึ่งในเหตุผลที่ คอสต้า ทำอะไม่คิดหน้าคิดหลัง และใส่เต็มทุกบทบาทในสนามโดยแคร์แค่ผลการแข่งขันอย่างเดียว คือเขาเชื่อเสมอว่า "อนาคตยังมาไม่ถึง"
คอสต้า เป็นนักเตะที่ต้องติดโทษแบนหรือโดนใบแดงทุกฤดูกาล บางซีซั่นอาจจะมากถึง 3-4 ใบเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นการที่ทีมไหนจะซื้อตัวนักเตะอย่างเขามาใช้ก็ต้องรับขอเสียบางเรื่องของเขาให้ได้ก่อน โดยตัวของ คอสต้า ยืนยันว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแนวคิดและวิธีการเล่นของตัวเองเด็ดขาด
หลายคนบอกว่าเขาจะเป็นคนที่ได้รับการยกย่องมากกว่านี้หากมีพฤติกรรมที่น่าเคารพ ทว่า คอสต้า ปฏิเสธเรื่องนี้ เขาคิดว่ามันไม่จริง การเล่นแบบจุดเดือดต่ำและมองหาเรื่องจะเล่นนอกเกมตลอดเป็นสิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ได้รับการยอมรับแบบที่เป็นอยู่ต่างหาก และเขาก็พอใจมาก แค่ได้รับคำชมว่าเป็นกองหน้าที่เฉียบขาดแค่นี้ก็พอแล้ว เขาไม่ได้อยากจะเป็นคนดี เป็นไอคอนโลกลูกหนังเหมือนที่ เดวิด เบ็คแฮม, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ หรือ ลิโอเนล เมสซี่ เป็น เขาก็เป็นของเขาแบบนี้ เป็น ดิเอโก้ คอสต้า ที่เติบโตมาจากย่านเสื่อมโทรมใน เซาเปาโล คนนี้คนเดิม
"คุณจะไปอยากได้อะไรนักหนากับชีวิต ผมเองอยู่กับทุกวันด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย มีครอบครัวอยู่ข้าง ๆ พอถึงเวลาก็ไปแข่งเพื่อเป็นผู้ชนะ ทุกครั้งที่ยิงได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนผมจะมีความสุขมาก ๆ ผมไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ คิดกับผมแบบไหน แต่ที่ผมมั่นใจคือสิ่งที่ผมเป็นและทุกอย่างที่ผมทำ ทำให้ผู้คนรอบตัว คนใกล้ชิด และครอบครัวของผมมีความสุขมากขึ้น พวกเขาต้องพึ่งพาผม และผมก็ยินดีที่จะเป็นแบบที่เป็น เพื่อให้ได้สิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุขตามมา" คอสต้า กล่าว
จากสิ่งที่เขาพูด คุณจะพบได้ว่า คอสต้า นั้นเวลาจะโหดก็โหดสุดขีด เวลาดีใจก็บ้าคลั่งเป็นเด็ก เขาเลือกที่จะเฉลิมฉลองแบบสุดเหวี่ยงทุกครั้งที่ทำในสิ่งที่ตัวเองคาดหวังได้สำเร็จ
ยกตัวอย่างเช่นในฤดูกาล 2016-17 เกมที่ คอสต้า ยิงประตูชัยพา เชลซี ชนะ เวสต์บรอมวิช เจ้าตัวก็โพสต์สตอรี่ลงในอินสตาแกรม ด้วยการเต้นสไตล์บราซิลไปพร้อมกับการดื่มเบียร์สิงห์ที่เป็นพาร์ตเนอร์หลักของสโมสรไม่ต่ำกว่า 2 ขวด ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่ฮือฮามาก เพราะในตอนนั้นกุนซือของ เชลซี เป็น อันโตนิโอ คอนเต้ ซึ่งเป็นคนที่เน้นเรื่องน้ำหนักและการกินของนักเตะในทีมมาก
"ไม่มีปัญหาหากเขาจะทำอย่างนั้น คุณจะดื่มโค้กหรือเบียร์เย็น ๆ สักขวดก็ได้หลังแข่ง ของพวกนี้ก็มีข้อดีสำหรับการฟื้นฟูร่างกายเหมือนกัน ถ้าดื่มมันหลังจากแข่งเสร็จสักครึ่งชั่วโมงก็ถือว่าเป็นอะไรที่รับได้"
"ผมมีนักเตะที่มีความเป็นมืออาชีพ และผมไม่อยากจะยุ่มย่ามกับนักเตะถึงขั้นที่จะไปบอกว่า 'จงทำแบบนี้' หรือ 'ห้ามกินของแบบนี้' ผมไว้ใจความเป็นมืออาชีพของเขา และเชื่อว่าเขาจะมีทัศนคติและพฤติกรรมที่ดีขึ้นหลังจากนี้" คอนเต้ กล่าว อธิบายถึงการดื่มเบียร์สิงห์หลังเกมของ คอสต้า และติติงนิดหน่อยในกรณีที่อาจจะดื่มมากเกินไป
คอสต้า แสดงความเป็นมืออาชีพอย่างที่สุดด้วยการยิงประตูไป 22 ลูกในฤดูกาลนั้น พาทีมกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง ถือเป็นสมัยที่ 2 ของเขาในรอบ 3 ปีที่เล่นในพรีเมียร์ลีก และนี่คือสถิติที่น้อยคนนักจะทำได้
อย่างไรก็ตามการเป็นคนที่ชอบอยู่นอกกรอบก็มีความเสี่ยงเช่นกัน และอาจทำให้ทำงานกับคนบางประเภทไม่ได้ในระยะยาว ช่วงเวลาสุดยอดกับ เชลซี ของ คอสต้า จบลงในยุคของ อันโตนิโอ คอนเต้ แม้จะเป็นแชมป์ลีก แต่ คอสต้า ก็สร้างปัญหาเดิม ๆ และ คอนเต้ เองก็เป็นคนประเภทเดียวกัน คือเชื่อมั่นในแนวคิดของตัวเอง หากทำงานกับใครไม่ได้เขาจะมีทางเลือก 2 ทาง นั่นคือหากคนที่เขาไม่อยากให้อยู่ไม่ยอมไป เขาก็จะเป็นคนยอมไปเอง
"ไม่กี่วันก่อนผมได้รับข้อความจาก คอนเต้ เขาบอกว่าผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของเขาอีกต่อไป ไม่รู้สิ ... ผมเป็นนักเตะเชลซีเพราะผมมีสัญญา แต่ผู้จัดการทีมไม่อยากให้ผมอยู่ในทีม ดังนั้นผมก็แค่ต้องย้ายออกไปเท่าทั้นเอง" คอสต้า กล่าว
ช่วงเวลาหอมหวานของ คอสต้า จบลงตรงนั้น เขาไม่ได้กลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุด หลังจากย้ายออกมาจาก เชลซี กลับมาอยู่กับ แอตฯ มาดริด ทีมเดิมที่เขาผูกพัน แม้ในเวลานั้นจะมีข้อเสนอจากทีมอื่น ๆ ให้เขามีโอกาสเพิ่มรายรับมากมายโดยเฉพาะลีกจีน แต่ ดิเอโก้ คอสต้า ก็ยังคงเป็นคนเดิม สิ่งใดที่เขาไม่อยากทำและมันทำให้เขาไม่มีความสุข เขาก็จะไม่ทำมันให้เสียเวลา
การไปที่จีนอาจจะทำให้เขาได้เงินหลายสิบล้านปอนด์กลับมา ... แต่ คอสต้า เชื่อเสมอว่า "อนาคตยังมาไม่ถึง" เขาจะเลือกสิ่งที่หัวใจตัวเองต้องการเสมอ
"ผมรู้ทันทีว่าแม้จะมีข้อเสนอมากมายเข้ามา แต่ถ้าไม่ใช่ แอตฯ มาดริด ผมคงไม่เตะบอลแล้วล่ะ ผมคงจะอยู่กับครอบครัวที่บราซิล เพราะทั้ง 2 สิ่งนี้คือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดแล้ว" คอสต้า กล่าว
ไม่มีอะไรต้องเสียใจหากตัดสินใจทำตามสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าดีต่อตัวเองและคนรอบข้างได้มากที่สุด ดิเอโก้ คอสต้า อาจจะยิ่งใหญ่กว่านี้ในฐานะนักฟุตบอลได้ หากเขาเชื่อมั่นในเรื่องของทัศนคติและระเบียบวินัย เขาอาจจะทำเงินได้มากกว่านี้หากยอมไปที่เมืองจีนหรือแม้กระทั่งตะวันออกกลาง
อย่างไรก็ตาม "เพราะอนาคตยังมาไม่ถึง" และคนอย่างเขาก็เชื่อในปัจจุบันมากที่สุด ดังนั้นในเวลางานเขาจะทำทุกอย่างเต็มที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ยามผ่อนคลายเขาก็จะมีความสุขเต็มที่ตามที่หัวใจเรียกร้อง
ความสบายใจอยู่เหนือทุกสิ่ง ใช้ชีวิตทุกวันได้เต็มที่โดยไม่ต้องมาทรมานในทุก ๆ เช้า ทำสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ นี่คือวิถีของ ดิเอโก้ คอสต้า กองหน้าที่หาคนทำซ้ำไม่ได้อีกแล้ว
แหล่งอ้างอิง
https://www.goal.com/en/news/1862/premier-league/2016/12/13/30457552/conte-reveals-why-diego-costa-drinks-beer-after-matches
https://weaintgotnohistory.sbnation.com/chelsea-fc-transfer-rumours-news/2017/6/8/15759952/diego-costa-post-match-interview-chelsea-exit-conte-relationship-text-message
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-4787112/DIEGO-COSTA-INTERVIEW-Chelsea-striker-talks-Sportsmail.html
https://www.fourfourtwo.com/features/diego-costa-got-me-headlock-and-i-thought-he-was-charming-ffts-man-interviewing-chelseas
https://www.fourfourtwo.com/features/diego-costa-how-bullying-and-rejection-drove-chelseas-goal-machine-top#:bcdl9QdJZsmb0A
https://en.wikipedia.org/wiki/Diego_Costa
https://www.goal.com/th/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%9C%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8B%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%A5%E0%B8%8B-%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%9B%E0%B8%A1%E0%B8%82%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95/lo76vjuvdhz510q79ctw536oy