Feature

คุณยายและลูกฟุตซอล : ชีวิตของ มูฮัมหมัด อุสมานมูซา | Main Stand

บทสัมภาษณ์ มูฮัมหมัด อุสมานมูซา พฤศจิกายน 2563

 

อะไรคือเป้าหมายสูงสุดของนักกีฬาชาวไทย? 

มูฮัมหมัด อุสมานมูซา นักฟุตซอลดีกรีทีมชาติลูกครึ่งไทย-กาน่า วัย 26 ปี สามารถตอบคำถามดังกล่าวได้อย่างชัดแจ้ง ตลอดเส้นทางการค้าแข้งที่ผ่านมา ไม่มีวินาทีไหนที่เขาจะรู้สึกภูมิใจ ไปมากกว่าช่วงเวลาที่ลงสนาม โดยมีธงไตรรงค์คาดที่หน้าอก

Main Stand มาพูดคุยกับ มูฮัมหมัด อุสมานมูซา ถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในชีวิตของเขา เด็กชายลูกครึ่งที่สูญเสียคุณพ่อนักฟุตบอลตั้งแต่วัยเยาว์ เติบโตขึ้นมาเป็นสุดยอดนักฟุตซอลได้อย่างไร? คุณยายมีอิทธิพลกับชีวิตเขาแค่ไหน? และเป้าหมายต่อไปของเขาคืออะไร? ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้พร้อมกัน

 

ลูกหนังในสายเลือด

เส้นทางนักกีฬาของมูฮัมหมัด อุสมานมูซา อาจเริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่ลืมตาดูโลก เพราะคุณพ่อของเขา คือนักฟุตบอลอาชีพชาวกาน่า ผู้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาเล่นฟุตบอลในประเทศไทย กับสโมสรฟุตบอลยาสูบ และสโมสรการท่าเรือ ก่อนพบรักกับหญิงสาวชายไทยรายหนึ่ง และมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน

เด็กชายคนนั้นคือมูฮัมหมัด อุสมานมูซา เขาเติบโตขึ้นมาในฐานะลูกครึ่งไทย-กาน่า โดยมีดีเอ็นเอนักกีฬาอยู่ในสายเลือด กิจวัตรหลังตกเย็นในทุกวันของมูฮัมหมัด คือการรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ เตะบอลพลาสติกบริเวณพื้นที่ว่างในชุมชนซอยสุเหร่า (เพชรบุรี 7)

“ผมเริ่มต้นจากการเตะฟุตบอลแถวบ้าน เหมือนเด็กทั่วไปเลยครับ บ้านผมจะอยู่ในชุมชน ผมก็เตะกับเพื่อนที่นั่น ตั้งรองเท้าเป็นประตูแล้วก็เตะเล่นกัน” มูฮัมหมัด อุสมานมูซา เล่าจุดเริ่มต้นเส้นทางนักฟุตซอล 

“บางครั้งผมก็จะออกไปเตะสนามข้างนอกบ้าง คือมันจะมีสนามที่เป็นโกลรูหนูอยู่ละแวกบ้าน ผมกับเพื่อนก็ออกไปเตะเล่นกัน”

มูฮัมหมัดจึงเรียกได้ว่าเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น น่าเสียดายที่คุณพ่อของเขา ไม่มีโอกาสได้เห็นภาพอันสวยงามนี้ เพราะคุณพ่อของมูฮัมหมัดเดินทางออกจากประเทศไทย เพื่อไปค้าแข้งที่ประเทศแคนาดา ตั้งแต่มูฮัมหมัดยังไม่เกิด ก่อนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในเวลาต่อมา

“ผมไม่เคยคุยกับพ่อเลยครับ เขาเสียตั้งแต่ผมยังเด็ก” มูฮัมหมัด อุสมานมูซา ย้อนรำลึกเรื่องราวของคุณพ่อที่ซ่อนตัวอยู่ในความทรงจำ

“ตอนอายุประมาณ 6-7 ขวบผมถึงรู้เรื่องของพ่อ ตอนนั้นผมอยู่กับยาย เพราะว่าแม่ไปทำงานต่างประเทศ เท่าที่ผมจำความได้ มีแค่คุณยายที่คอยเลี้ยงดูผม”

 

แรงสนับสนุนของคุณยาย

ชีวิตเด็กชายลูกครึ่งที่ต้องใช้ชีวิตกับคุณยายเพียงลำพัง อาจไม่ใช่เรื่องปกตินักในสังคมไทย แต่มูฮัมหมัด อุสมานมูซา ยืนยันว่าตัวเขาไม่เคยรู้สึกขาดความอบอุ่นแต่อย่างใด เพราะนอกจากคุณยาย ยังมีเครือญาติมากมายในครอบครัวที่คอยดูแลเขาเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง

ปัญหาเดียวที่เกิดขึ้นในชีวิตวัยรุ่นของเขาคือเรื่องการเรียน เมื่อมูฮัมหมัดก้าวเข้าสู่การศึกษาระดับมัธยม เขากลายเป็นเด็กที่บ้ากีฬาฟุตซอลแบบเต็มขั้น ถึงขนาดโดดเรียนเพื่อไปเดินสายชมการแข่งขันฟุตซอล ตามการแข่งขันรายการต่างๆในประเทศไทย

“ตอนผมเข้าเรียนมัธยม ผมทุ่มเทให้กับกีฬาฟุตซอลมาก เรียกว่าบ้าเลยครับ ตื่นขึ้นมาก็ดูบอล ตกเย็นก็ซ้อมบอล ตอนนั้นผมไม่สนใจเรียนเลย”

“พอเวลาผ่านไป ผมก็ขี้เกียจเรียนไปเอง เริ่มไม่เข้าเรียน สมมติวันไหนมีฟุตซอลแข่ง ผมก็ไม่เข้าเรียน ขอไปอยู่กับเพื่อน ขอไปอยู่กับฟุตซอลดีกว่า”

หลังจบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 มูฮัมหมัด ตัดสินใจเด็ดขาดกับอนาคตของตัวเอง เขาเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนราชวินิตบางเขน ในฐานะนักกีฬาฟุตซอลของโรงเรียน

การตัดสินใจครั้งนั้นคือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตของมูฮัมหมัด เพราะเขาต้องออกห่างจากครอบครัวมุสลิมขนาดใหญ่ ไปใช้ชีวิตเพียงลำพังในโรงเรียนประจำ มูฮัมหมัดจึงเหลือเพียงคุณยายคนเดียวเท่านั้น ที่ยังคอยดูแลเขาอย่างที่เคยเป็นมา

“ตอนที่ผมย้ายไปเรียนราชวินิตบางเขน มันเป็นโรงเรียนกินนอน ยายผมต้องเข้ามาดูแลผมเต็มที่ ยายมาหาทุกอาทิตย์ ซื้อของต่าง ๆ เข้ามาให้ เพราะผมไม่ได้กลับบ้านเลย”

ไม่ใช่แค่สนับสนุนเรื่องของใช้ในชีวิตประจำวัน กำลังใจยังเป็นสิ่งสำคัญที่คุณยายคอยมอบให้กับหลานชายไม่เคยขาด มูฮัมหมัดเปิดเผยให้ฟังว่า คุณยายติดรถบัสโรงเรียนตามไปเชียร์เขาข้างสนาม ราวกับเป็นนักเตะในทีมคนหนึ่ง เรียกได้ว่า เห็นมูฮัมหมัดที่ไหน ต้องเห็นยายของมูฮัมหมัดที่นั่น

“มันช่วยให้ผมมีกำลังใจมากขึ้นครับ” มูฮัมหมัดกล่าวถึงความรู้สึกที่ได้เห็นคุณยายตามมาเชียร์ถึงขอบสนาม

“ทุกครั้งที่ผมไปเล่นฟุตซอล นอกจากจะเล่นเพื่อตัวเอง เล่นเพื่อทีม ผมยังเล่นเพื่อคุณยายที่ตามมาเชียร์ มันทำให้ผมมีกำลังใจมากขึ้นจริงๆ”

มูฮัมหมัดตอบแทนกำลังใจของคุณยาย ด้วยการทำผลงานเป็นดาวซัลโวและนักเตะยอดเยี่ยม ของการแข่งขันฟุตซอลกทม.ลีก 2558 จากการยิงไปถึง 56 ประตู

หลังจบการแข่งขันนัดสุดท้าย สิ่งที่มูฮัมหมัดรอคอยมาทั้งชีวิตก็กลายเป็นจริง หลานชายจูงมือคุณยาย ที่มาให้กำลังใจถึงขอบสนาม เพื่อเข้าเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของสโมสรแบงค็อก บีทีเอส และเริ่มต้นเส้นทางการเป็นนักกีฬาฟุตซอลอาชีพนับตั้งแต่นั้น

 

ความภูมิใจสูงสุด

ปัจจุบัน มูฮัมหมัด อุสมานมูซา ในวัย 21 ถือเป็นหนึ่งในนักกีฬาฟุตซอลแนวหน้าของประเทศไทย หลังทำผลงานได้ดีกับต้นสังกัด แบงค็อก บีทีเอส (บทสัมภาษณ์ พฤศจิกายน 2563 ปัจจุบัน มูฮัมหมัด อุสมามูซา อาย 26 ปี)

มูฮัมหมัดได้โอกาสลงเล่นในการแข่งขันฟุตซอลสโมสร ชิงแชมป์เอเชีย 2019 จากการย้ายไปอยู่กับสโมสรฟุตซอลการท่าเรือ ด้วยสัญญายืมตัว

ไม่เพียงเท่านั้น มูฮัมหมัด ยังสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นนักฟุตซอลไทยคนแรก ที่ทำประตูได้ในลีกสูงสุดของสเปน หลังย้ายออกไปยืมตัวกับสโมสรซานติอาโก เมื่อปี 2018

แต่ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันระดับเอเชีย หรือการแข่งขันในลีกชั้นนำของโลก มูฮัมหมัดเปิดเผยว่า เขาไม่เคยรู้สึกภูมิใจในการลงเล่นครั้งไหน มากกว่าการได้รับโอกาสลงเล่นในนามนักฟุตซอลทีมชาติไทย ที่มูฮัมหมัดได้รับเรียกให้ติดทีมตั้งแต่ปี 2017

“มันเหมือนฝันเลยครับ ผมอยากติดทีมชาติมาตั้งแต่เริ่มเล่นฟุตซอล มันเป็นความฝันสูงสุดเลยครับ ผมอยากติดทีมชาติ ลงสนามโดยมีธงไตรรงค์คาดที่หน้าอก”

“การลงสนามในนามทีมชาติมันเป็นอะไรที่สูงสุดในชีวิตผม ผมลงเล่นในนามสโมสร มันก็เป็นอาชีพ แต่ทีมชาติมันเป็นสิ่งพิเศษ ผมลงเล่นได้ไม่บ่อย ไม่ใช่ทุกคนจะลงเล่นได้ มันพิเศษมาก”

“หลังจากผมรู้ว่าได้ติดทีมชาติ ผมก็โทรไปบอกคุณยาย โทรไปบอกครอบครัว ตอนนั้นผมดีใจมาก แล้วยังไม่มีใครรู้ว่าผมติดทีมชาติ ผมโทรไปบอกทุกคนเลยครับ”

มูฮัมหมัดยังจดจำการลงสนามครั้งแรกในนามทีมชาติไทยได้ดี เขาลงสนามในรายการ อาเซียนฟุตซอลแชมเปียนชิพ 2016 โดยมูฮัมหมัดเป็นหนึ่งในแปดนักเตะที่ยิงประตูให้ทีมชาติไทย เอาชนะ ทีมชาติบรูไน 17-2 โดยเขาจัดการซัดคนเดียว 4 ประตู ในเกมดังกล่าว

“เกมแรกในนามทีมชาติ เป็นเกมที่ผมไม่มีวันลืมเลยครับ คือผมลงสนามแล้วทำประตูได้เลย ด้วยความที่ผมยังเด็ก ผมตื่นเต้น คนมาดูเต็มสนาม จิตใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยครับ ผมพูดได้เลยว่ามันเหมือนฝันจริงๆ”

“ผมพยายามดึงตัวเองให้กลับมามีสมาธิ เพราะเมื่อผมลงสนาม ไม่ว่าจะลงเล่นรายการอะไร ผมก็อยากทำประตูได้ แต่ครั้งนั้นมันเป็นการลงในนามทีมชาติ ผมก็ยิ่งตั้งใจมากขึ้นหลายเท่า แล้วผมก็ทำได้จริง”

ท่ามกลางคนดูนับพันในการแข่งขันนัดดังกล่าว คุณยายของมูฮัมหมัดคือหนึ่งในสักขีพยานสัมผัสวินาทีประวัติศาสตร์ของหลานชาย ที่ได้ลงเล่นและยิงประตูในนามนักกีฬาฟุตซอลทีมชาติไทยเป็นครั้งแรก

สำหรับ มูฮัมหมัด อุสมานมูซา มันคือช่วงเวลาที่เขาภูมิใจมากที่สุดในชีวิต แม้จะไม่ใช่คนสายเลือดไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เขาความภาคภูมิใจที่เขาสัมผัสได้ในใจ ยืนยันว่าเขามีความเป็น “คนไทย” ไม่น้อยกว่าใคร

ช่วงเวลาแห่งความภูมิใจได้ผ่านมาหลายปี มูฮัมหมัดกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ตัวเขาต้องก้าวไปใหไกลกว่าที่เคย เพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว เพื่อคุณยาย และเพื่อชื่อเสียงของประเทศไทย

“ผมภูมิใจมากครับที่สามารถก้าวมาติดทีมชาติไทย ทุกวันนี้ผมมีอาชีพ ผมหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ แต่ที่มากกว่านั้นคือ ผมเป็นแบบอย่างให้รุ่นน้อง เป็นแบบอย่างให้เด็กในซอยบ้าน พวกเขาเห็นผมเป็นแรงบันดาลใจ พวกเขาอยากมายืนตรงนี้ให้ได้เหมือนผมบ้าง ผมภูมิใจมาก”

“ตอนนี้ผมก้าวมาสู่ทีมชาติ จุดที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้แล้ว แต่ผมคิดว่าผมก้าวมายังไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ ผมต้องการก้าวไปให้ไกลกว่านี้ เพราะว่าผมเพิ่งอายุ 21 ปี ผมยังไปไกลได้กว่านี้มาก” (บทสัมภาษณ์ พฤศจิกายน 2563 ปัจจุบัน มูฮัมหมัด อุสมามูซา อาย 26 ปี)

“เป้าหมายสูงสุดของผมคือการพาทีมชาติไทยไปฟุตซอลโลก ผมอยากเขียนหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้ทีมชาติ เราไม่เคยเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ผมอยากพาทีมชาติไทยไปให้ถึงตรงนั้น” มูฮัมหมัดกล่าวทิ้งท้าย

ปัจจุบัน มูฮัมหมัด อุสมานมูซา ถือเป็นหนึ่งในนักกีฬาฟุตซอลแนวหน้าของประเทศไทย หลังทำผลงานได้ดีกับ แบงค็อก บีทีเอส ในช่วงปี 2016-2019 และได้โอกาสลงเล่นในการแข่งขันฟุตซอลสโมสร ชิงแชมป์เอเชีย 2019 จากการย้ายไปอยู่กับสโมสรฟุตซอลการท่าเรือ ด้วยสัญญายืมตัว

จากนั้น เขาก็ได้รับข้อเสนอจากสโมสรชั้นนำ อย่าง พีทีที บลูเวฟ ชลบุรี ในช่วงเวลานั้น ในการดึงตัวไปร่วมทัพฤดูกาล 2020 และกลายเป็นขุมกำลังของทีม และด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมต่อเนื่อง มูฮัมหมัด จึงสามารถเติมเต็มความฝันของตัวเองในการไปแข่งขันฟุตซอลโลกครั้งแรกได้สำเร็จ 

ไม่เพียงเท่านั้น มูฮัมหมัด ยังสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นนักฟุตซอลไทยคนแรก ที่ทำประตูได้ในลีกสูงสุดของสเปน หลังย้ายออกไปยืมตัวกับสโมสรซานติอาโก เมื่อปี 2018 ก่อนที่จะทำผลงานเก็บประสบการณ์มาพัฒนาวงการฟุตซอลไทยได้ในปัจจุบัน

“มันเหมือนฝันเลยครับ ผมอยากติดทีมชาติมาตั้งแต่เริ่มเล่นฟุตซอล มันเป็นความฝันสูงสุดเลยครับ ผมอยากติดทีมชาติ ลงสนามโดยมีธงไตรรงค์คาดที่หน้าอก”

“การลงสนามในนามทีมชาติมันเป็นอะไรที่สูงสุดในชีวิตผม ผมลงเล่นในนามสโมสร มันก็เป็นอาชีพ แต่ทีมชาติมันเป็นสิ่งพิเศษ ผมลงเล่นได้ไม่บ่อย ไม่ใช่ทุกคนจะลงเล่นได้ มันพิเศษมาก”

“หลังจากผมรู้ว่าได้ติดทีมชาติ ผมก็โทรไปบอกคุณยาย โทรไปบอกครอบครัว ตอนนั้นผมดีใจมาก แล้วยังไม่มีใครรู้ว่าผมติดทีมชาติ ผมโทรไปบอกทุกคนเลยครับ”

มูฮัมหมัดยังจดจำการลงสนามครั้งแรกในนามทีมชาติไทยได้ดี เขาลงสนามในรายการ อาเซียนฟุตซอลแชมเปียนชิพ 2016 โดยมูฮัมหมัดเป็นหนึ่งในแปดนักเตะที่ยิงประตูให้ทีมชาติไทย เอาชนะ ทีมชาติบรูไน 17-2 โดยเขาจัดการซัดคนเดียว 4 ประตู ในเกมดังกล่าว
“เกมแรกในนามทีมชาติ เป็นเกมที่ผมไม่มีวันลืมเลยครับ คือผมลงสนามแล้วทำประตูได้เลย ด้วยความที่ผมยังเด็ก ผมตื่นเต้น คนมาดูเต็มสนาม จิตใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยครับ ผมพูดได้เลยว่ามันเหมือนฝันจริงๆ”

“ผมพยายามดึงตัวเองให้กลับมามีสมาธิ เพราะเมื่อผมลงสนาม ไม่ว่าจะลงเล่นรายการอะไร ผมก็อยากทำประตูได้ แต่ครั้งนั้นมันเป็นการลงในนามทีมชาติ ผมก็ยิ่งตั้งใจมากขึ้นหลายเท่า แล้วผมก็ทำได้จริง”

ท่ามกลางคนดูนับพันในการแข่งขันนัดดังกล่าว คุณยายของมูฮัมหมัดคือหนึ่งในสักขีพยานสัมผัสวินาทีประวัติศาสตร์ของหลานชาย ที่ได้ลงเล่นและยิงประตูในนามนักกีฬาฟุตซอลทีมชาติไทยเป็นครั้งแรก

สำหรับ มูฮัมหมัด อุสมานมูซา มันคือช่วงเวลาที่เขาภูมิใจมากที่สุดในชีวิต แม้จะไม่ใช่คนสายเลือดไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เขาความภาคภูมิใจที่เขาสัมผัสได้ในใจ ยืนยันว่าเขามีความเป็น “คนไทย” ไม่น้อยกว่าใคร

ช่วงเวลาแห่งความภูมิใจได้ผ่านมาหลายปี มูฮัมหมัดกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ตัวเขาต้องก้าวไปใหไกลกว่าที่เคย เพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว เพื่อคุณยาย และเพื่อชื่อเสียงของประเทศไทย

“ผมภูมิใจมากครับที่สามารถก้าวมาติดทีมชาติไทย ทุกวันนี้ผมมีอาชีพ ผมหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้ แต่ที่มากกว่านั้นคือ ผมเป็นแบบอย่างให้รุ่นน้อง เป็นแบบอย่างให้เด็กในซอยบ้าน พวกเขาเห็นผมเป็นแรงบันดาลใจ พวกเขาอยากมายืนตรงนี้ให้ได้เหมือนผมบ้าง ผมภูมิใจมาก”

“ตอนนี้ผมก้าวมาสู่ทีมชาติ จุดที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้แล้ว แต่ผมคิดว่าผมก้าวมายังไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ ผมต้องการก้าวไปให้ไกลกว่านี้ ผมยังไปไกลได้กว่านี้มาก”

“เป้าหมายสูงสุดของผมคือการพาทีมชาติไทยไปฟุตซอลโลก ผมอยากเขียนหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ให้ทีมชาติ เราไม่เคยเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ผมอยากพาทีมชาติไทยไปให้ถึงตรงนั้น” มูฮัมหมัดกล่าวทิ้งท้าย

 

Author

ณัฐนันท์ จันทร์ขวาง

Love is not blind – it sees more, not less.But because it sees more, it is willing to see less.