Feature

จิ้มถูกหุ้นลุ้นรวยเละ : 7 การซื้อสโมสรฟุตบอลสุดถูกแต่ขายต่อทำกำไรมหาศาล | Main Stand

การเล่นหุ้นถือเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ไม่น้อยหากหวังจะทำกำไรจากสิ่งเหล่านี้ให้งอกเงยกลับมาหลาย ๆ เท่า และจนถึงตอนนี้ “การเล่นหุ้น” ก็ถือเป็นทางเลือกของคนรุ่นใหม่มากขึ้นจนมีหลักสูตรออกมาเป็นหนังสือ ทางออนไลน์หรืองานสัมมนาที่เกี่ยวกับหุ้นที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ 


 

ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่สนใจเรื่องหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเกี่ยวกับหุ้นทีมฟุตบอล เราขอนำเสนอแรงบันดาลใจในการสร้างกำไรแบบมหาศาลของเหล่านักเลงหุ้นที่ทำเงินได้มากมายจากการซื้อหุ้นทีมฟุตบอลในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ

จาก 1 ปอนด์สู่ 440 ล้านปอนด์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ติดตามได้ที่ MainStand 

 

1. เคน เบตส์ : ซื้อ เชลซี 1 ปอนด์ ขายต่อ 440 ล้านปอนด์ 

ก่อนการเทคโอเวอร์ของ “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช ชาวรัสเซียนั้น เชลซีเคยถูกเทคโอเวอร์โดยนักธุรกิจที่ชื่อ เคน เบตส์ ในปี 1982 ด้วยราคาแค่เพียงหนึ่งปอนด์เท่านั้น แต่ต้องรับภาระหนี้สินของสโมสรที่มีมากจนเกือบล้มละลาย ซึ่งเบตส์ก็สามารถกอบกู้สโมสรจนพ้นวิกฤตมาได้ แต่ในด้านผลการแข่งขันนั้นยังไม่โดดเด่น

ในเชิงธุรกิจ เคน เบตส์ กับหุ้นส่วนอีกคนคือ แมทธิว ฮาร์ดิ้ง ได้ขยายไปด้านอื่น ๆ นอกจากเรื่องของเกมฟุตบอลไว้ เช่นโครงการ “เชลซี วิลล่า” รีสอร์ตหรูและแหล่งบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) ทำให้เขาต้องลงทุนซื้อที่ดิน สร้างโรงแรม ฯลฯ บวกกับการโหมซื้อดาราแข้งทองต่างชาติในช่วงปี 2000 ทำให้สโมสรมีปัญหาวิกฤตทางการเงินอีกครั้ง

ในที่สุด เคน เบตส์ ก็ขายสโมสรเชลซีให้กับ โรมัน อบราโมวิช ในราคา 440 ล้านปอนด์ (ราว 3 หมื่นล้านบาท) โดยอบราโมวิชต้องรับผิดชอบหนี้สินของสโมสรราว 80 ล้านปอนด์ไปด้วย ซึ่งครั้งนั้นเป็นสถิติการซื้อขายสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่าสูงสุดเท่าที่เคยมีมา และเป็นการเปิดยุคแห่งการเทคโอเวอร์สโมสรฟุตบอลอย่างร้อนแรงต่อมาจนถึงทุกวันนี้

 

2. ทักษิณ ชินวัตร : ซื้อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 23 ล้านปอนด์ ขายต่อ 140 ล้านปอนด์ 

ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีก่อน อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ทำเรื่องฮือฮาด้วยการซื้อสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมระดับขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่างลีกสูงสุดกับลีกรอง ด้วยราคา 23 ล้านปอนด์ (ราว 980 ล้านบาท) ก่อนจะเริ่มลงทุนด้วยการซื้อนักเตะต่างชาติในแบบที่แฟน ๆ แมนฯ ซิตี้ ท้องถิ่นต้องร้องว้าว เพราะนั่นคือจุดเปลี่ยนแปลงที่นำสโมสรกลับมาสู่การเป็นทีมแนวหน้าของลีกอีกครั้ง 

ต้นเหตุของเรื่องนี้เริ่มจาก ทักษิณ ตั้งบริษัทที่ชื่อว่า UK Sport Investments Limited ก่อนจะค่อย ๆ กว้านซื้อหุ้นสโมสรทีละนิด ๆ ตั้งแต่ปี 2007 จนสามารถรวบรวมหุ้นได้ 75% และทำการเทคโอเวอร์เป็นเจ้าของสโมสรภายในเวลาไม่กี่เดือนต่อมา 

จากนั้นก็ตามมาด้วยการลงทุนกับทั้งโค้ชชื่อดังอย่าง สเวน โกรัน อีริคส์สัน และนักเตะจากต่างเเดนอย่าง มาร์ติน เปตรอฟ, โรลันโด้ เบียงคี่ และ เอลาโน่ เป็นต้น 

ทว่าในขณะที่ทีมเริ่มจะเดินหน้าตัวของทักษิณก็ต้องต่อสู้คดีของตัวเองในเมืองไทย ก่อนจะถูกบีบให้ขายทีมและหาเจ้าของทีมใหม่ ซึ่งในช่วงเวลานั้นประจวบเหมาะกับที่กลุ่มทุนจากอาบูดาบีนามว่า Abu Dhabi United Group Investment and Development นำโดย ชีค มานซูร์ แห่งราชวงศ์อาบูดาบี กำลังต้องการลงทุนกับทีมฟุตบอลอังกฤษพอดี 

จากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ ทักษิณ ต้องขายสโมสรต่อให้กับ ชีค มานซูร์ แม้ภายหลังเจ้าตัวจะเปิดเผยว่าเขาเองก็ไม่ได้อยากจะขายทีมในเวลานั้น แต่สถานการณ์มันบีบบังคับให้จำยอมต้องปล่อยไป ทว่าที่สุดแล้วการขาย แมนฯ ซิตี้ ภายในเวลาแค่ปีเดียวทำเงินให้ทักษิณมากถึง 140 ล้านปอนด์ ทำกำไรถึง 5 เท่าจากวันที่เขาซื้อทีมมาในปี 2007 เลยทีเดียว 

 

3. ไมค์ แอชลี่ย์ : ซื้อ นิวคาสเซิล 134 ล้านปอนด์ ขาย 300 ล้านปอนด์ 

ไมค์ แอชลี่ย์ น่าจะเป็นหนึ่งในเจ้าของสโมสรที่โดนโจมตีมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ เรื่องทั้งหมดเริ่มขึ้นในช่วงต้นยุค 2000s สมัยที่ แอชลี่ย์ ยังเป็นเจ้าของบริษัทขายอุปกรณ์กีฬาอันดับต้น ๆ ของอังกฤษอย่าง สปอร์ตส์ ไดเร็กต์ จนเจ้าตัวมีสินทรัพย์มากเกือบ ๆ 2,000 ล้านปอนด์ 

ระหว่างที่ แอชลี่ย์ ใช้เวลาพักร้อนที่หมู่เกาะบาร์เบโดส เขาก็ได้รับโทรศัพย์จากเพื่อนนักธุรกิจที่บอกเขาว่า นิวคาสเซิล กำลังขาดทุนและถามเขาว่ามองหาสโมสรไหม ด้วยความที่เป็นคนเห็นโอกาสและชอบลงทุนให้งอกเงย แอชลี่ย์ จึงรีบบินกลับมาที่อังกฤษและจัดการกวาดซื้อหุ้นทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน 134 ล้านปอนด์ และได้กลายเป็นเจ้าของสโมสรแต่เพียงผู้เดียว 

ในตอนแรกแฟนบอล นิวคาสเซิล ดีใจมากที่ได้มหาเศรษฐีเข้ามาเป็นเจ้าของ ขณะที่แอชลี่ย์ก็ยืนยันว่าสโมสรจะประสบความสำเร็จในฐานะทีมหัวแถวของประเทศภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 ปี 

อย่างไรก็ตามอย่างที่ทุกคนรู้กัน เรื่องจริงไมได้เป็นเช่นนั้น แอชลี่ย์กลับลงทุนกับสโมสรน้อยมาก แถมยังเปลี่ยนชื่อสนาม เซนต์ เจมส์ พาร์ก อันศักดิ์สิทธิ์เป็น สปอร์ตส์ ไดเร็กต์ สเตเดียม จนทีมไปไม่ถึงไหนด้วยการตกชั้นถึง 2 ครั้งในยุคที่เขาเป็นเจ้าของ สร้างความไม่พอใจให้กับแฟนบอลเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นแอชลี่ย์ก็ไม่ได้สนใจอะไรและมักจะให้สัมภาษณ์ตอกกลับแฟน ๆ แบบแสบ ๆ เป็นประจำ ที่สุดเเล้วก็กลายเป็นความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายเรื่อยมา จนกระทั่งปี 2021 ที่ผ่านมา 

ที่สุดเเล้วความทรมานของทั้งสองฝ่ายก็จบสิ้นลง เมื่อกลุ่มทุนของราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย ภายใต้การเจรจาของ "แม่มดการเงิน" อแมนด้า สเตฟลี่ย์ นักธุรกิจหญิงด้านอสังหาริมทรัพย์ แอชลี่ย์ตัดสินใจยอมขายสโมสรที่เขาครอบครองมานาน และได้เงินกลับไปทั้งหมดราว 300 ล้านปอนด์ มากกว่า 2 เท่าในวันที่เขาซื้อมา 

 

4. แรนดี้ เลอร์เนอร์ ซื้อ แอสตัน วิลล่า 50 ล้านปอนด์ ขายต่อ 89 ล้านปอนด์

แรนดี้ เลอร์เนอร์ เป็นเศรษฐีชาวอเมริกัน และเป็นเจ้าของทีมอเมริกันฟุตบอลในลีก NFL คลีฟแลนด์ บราวน์ส ซึ่งย้อนกลับไปช่วงปี 2005 นั้นถือเป็นยุคที่เศรษฐีจากอเมริกาให้ความสนใจเทคโอเวอร์ทีมฟุตบอลมากขึ้นหลังจากที่ตระกูลเกลเซอร์เข้าเทคโอเวอร์ แมนฯ ยูไนเต็ด และสร้างมูลค่าเพิ่มได้มากมาย

เรื่องดังกล่าวทำให้ เลอร์เนอร์ ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นของสโมสร แอสตัน วิลล่า 90% ในเวลานั้น รวมเป็นเงิน 50 ล้านปอนด์ โดยในวันที่ซื้อทีมเขาบอกว่าเขามองถึงเรื่องความชอบมากกว่าเรื่องของธุรกิจ เพราะเขาเคยมาศึกษาที่ประเทศอังกฤษมาก่อน และก็เชียร์ทีมแอสตัน วิลล่า มาตั้งแต่วันนั้น 

อย่างไรก็ตามเมื่อมาบริหารจริงกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด แอสตัน วิลล่า อาจจะเป็นหนึ่งในทีมที่ใช้เงินซื้อนักเตะไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงที่ซื้อกลุ่มนักเตะอ่าง สจวร์ต ดาวนิง, แอชลี่ย์ ยัง, เจมส์ มิลเนอร์ และ ยอห์น คาริว ทีมอาจจะเกาะหัวตารางจนถึงขั้นได้ไปเตะฟุตบอลยุโรปถ้วยเล็ก ทว่าหลังจากนั้นทีมก็เริ่มมีผลงานไม่ดีจนตกลงมาเป็นทีมระดับกลางค่อนล่าง และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ตกชั้นจากลีกสูงสุดครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรในปี 2016 

หลังจากตกชั้น เลอร์เนอร์ ก็หมดแพชชั่นในการทำทีมทันที เพราะรายได้ค่าลิขสิทธิ์ขาดหายไปพอสมควร ที่สุดเเล้วเขาก็ประกาศขายทีมให้กับเจ้าของใหม่ จนกระทั่งได้เศรษฐีชาวจีนอย่าง โทนี่ เซียะ เข้ามาซื้อทีมต่อด้วยราคา 80 ล้านปอนด์ แม้จะเป็นตัวเลขที่ไม่มากไม่มายนัก แต่ก็เป็นราคาที่ดีกว่าที่ใครหลายคนคาดไว้ เพราะในตอนนั้น วิลล่า เองก็มีหนี้ก้อนโต อีกทั้งยังตกชั้นไปเล่นในลีกรองอีกต่างหาก เรียกได้ว่าถึงแม้จะได้กำไรไม่มากแต่การขาย วิลล่า แบบไม่ขาดทุนหนนี้ก็ถือเป็นการลงทุนที่ยอดเยี่ยมสำหรับเลอร์เนอร์อย่างแท้จริง

 

5. บิล เคนไรท์ ซื้อ เอฟเวอร์ตัน 32 ล้านปอนด์ ขาย 175 ล้านปอนด์ 

บิล เคนไรท์ คือหนึ่งในประธานคนโปรดของแฟนบอลเอฟเวอร์ตัน เพราะเขาอยู่กับทีมในฐานะผู้ถือหุ้นมาอย่างยาวนาน และเริ่มกว้านซื้อหุ้นเพื่อเป็นเจ้าของสโมสรด้วยเงิน 32 ล้านปอนด์ สำหรับสโมสรที่เก่าแก่ที่สุดทีมหนึ่งของอังกฤษในปี 1999

ในยุคของ เคนไรท์ เอฟเวอร์ตันเป็นทีมที่ได้รับการจับตามองเป็นอย่างมากโดยเฉพาะหลังการแต่งตั้ง เดวิด มอยส์ ขึ้นมาเป็นกุนซือ โดยทีมเกาะอยู่โซนบนของตารางมาได้โดยตลอด และเคยทำอันดับไปเล่นฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาแล้วอีกต่างหาก พร้อมด้วยการสร้างนักเตะดัง ๆ อย่าง ทิม เคฮิลล์, มารูยาน เฟลไลนี่ และอื่น ๆ อีกมากมาย 

อย่างไรก็ตามหลังผ่านยุคของ เดวิด มอยส์ จนกระทั่งมาถึงยุคกุนซือ โรแบร์โต้ มาร์ติเนซ ทีมก็เริ่มไม่ได้เกาะโซนบนของตารางเหมือนเก่า และการลงทุนซื้อนักเตะในระยะหลังก็มักไม่เข้าเป้าเหมือนที่เคยเป็นจนสโมสรเริ่มขาดทุนหนักขึ้นเรื่อย ๆ หลังเข้ายุค 2010s เป็นต้นมา 

แม้ตัวของ เคนไรท์ จะไม่ได้มีเม็ดเงินก้อนโตอัดฉีดให้ทีมเสริมทัพเพิ่ม แต่เขาก็รู้ตัวถึงขีดจำกัดศักยภาพด้านการเงินของตัวเอง เคนไรท์เริ่มมองหาคนที่มีพลังเงินมากกว่าเข้ามาทำหน้าที่แทน โดยเขาจะแบ่งขายหุ้นที่ถืออยู่ให้และเขาจะถือหุ้นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น (คาดว่า 13%) เพื่อให้ทีมได้เดินหน้าต่อไปในโลกฟุตบอลยุคใหม่ที่ต้องใช้เงินต่อเงินมากกว่าที่เคย 

จนกระทั่งเขามาเจอกับ ฟาร์ฮัด โมชิรี เศรษฐีชาวอังกฤษเชื้อสายอิหร่านที่มีสินทรัพย์กว่า 1.4 พันล้านปอนด์ และตัดสินใจขายหุ้นให้กับโมชิรี รวมเป็นมูลค่าทั้งหมด 175 ล้านปอนด์ ในปี 2016 ซึ่งหลังจากนั้น เอฟเวอร์ตัน ก็กลายเป็นทีมที่มีเงินเสริมทัพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ปี 2016 จนถึงปัจจุบัน เอฟเวอร์ตันใช้เงินซื้อนักเตะไปทั้งหมดกว่า 500 ล้านปอนด์ 

ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะยังไม่สามารถทวงตำแหน่งทีมกลางค่อนบนของตารางคะแนนกลับคืนมาได้ แต่ดูจากเงินที่ โมชิรี ใช้ไปก็ต้องบอกว่าพวกเขาได้เจ้าของใหม่ที่ใจถึงอย่างแท้จริง 

 

6. ทอม ฮิคส์  และ จอร์จ ยิลเล็ตต์ ซื้อ ลิเวอร์พูล 215 ล้านปอนด์ ขายต่อ 300 ล้านปอนด์ 

ก่อนจะมาถึงยุคการมีเจ้าของเป็นชาวอเมริกัน ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่มีความเป็นท้องถิ่นนิยมสูงมาก พวกเขามีเจ้าของคือตระกูลมัวร์มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1950 จนถึงปี 2005 ในยุคของ เดวิด มัวร์ ที่คุมทีมโดย ราฟาเอล เบนิเตซ จะสามารถคว้าเเชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ 

หลังจากความสำเร็จครั้งนั้น มัวร์ มองว่าเทรนด์ฟุตบอลกำลังจะเปลี่ยนไป ทีมต้องการการลงทุนที่มากกว่าที่เคยหลายเท่า เพื่อให้ได้รายรับมหาศาลรวมถึงการได้รับความสำเร็จ มัวร์จึงเริ่มมองหานักธุรกิจที่เงินถึงก่อนจะได้เจอกับ 2 นักธุรกิจชาวอเมริกัน ที่มีชื่อว่า ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ ยิลเล็ตต์ 

แม้ ณ เวลานั้นจะมีความคลางแคลงใจอยู่บ้าง เนื่องจากหากมีการขายสโมสรให้กับ ฮิคส์ และ ยิลเล็ตต์ ก็จะทำให้นี่เป็นครั้งแรกที่ลิเวอร์พูลจะมีเจ้าของสโมสรเป็นชาวต่างชาติ ทว่าเขาต้องเสี่ยงเพื่ออนาคตจนกระทั่งในปี 2007 ฮิคส์ และ ยิลเล็ตต์ จะยืนยันว่าพวกเขาจะบริหารทีมแบบสุดความสามารถด้วยการควักเงินจัดชุดใหญ่ให้แน่นอน รวมถึงการขยายสนามเหย้าเพิ่มเติมด้วย ด้วยนโยบายนี้ทำให้ ฮิคส์ และ ยิลเล็ตต์ ซื้อสโมสรลิเวอร์พูลมาได้ในราคา 300 ล้านปอนด์ 

พวกเขาควักเงินจริงแต่ไม่ใช่เงินของตัวเอง 2 อเมริกันกู้เงินมาถึง 350 ล้านปอนด์ จาก ธนาคาร รอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ (RBS) โดยมีกำหนดชำระหนี้ทั้งหมดในปี 2010 ซึ่งอย่างที่เรารู้กัน ลิเวอร์พูล ในยุคของ ฮิคส์ และ ยิลเล็ตต์ นั้นมีเงินก็จริงแต่การบริหารนั้นไร้ทิศทาง สโมสรไม่เคยคว้าเเชมป์รายการใหญ่ได้เลยนับจากนั้น การซื้อนักเตะมาร่วมทีมก็แป้กเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งโปรเจ็กต์ นิว แอนฟิลด์ ก็ถูกพูดถึงทุกปีแต่กลับไม่ได้เริ่มเลยสักที  

ยิ่งนานปีผ่านไปดอกเบี้ยที่กู้มาก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในปี 2010 ก็ถึงช่วงเวลาที่ต้องชำระหนี้ และ 2 อเมริกันก็ยอมรับตามตรงว่า "เงินไม่มีเเล้ว" ทำให้ทีมเดินหน้าสู่ขาลงจนต้องขายนักเตะตัวหลักทิ้งทั้ง ฮาเวียร์ มาสเชราโน และ ชาบี อลอนโซ  เพื่อพยุงสโมสร แต่ก็ยังไม่พออยู่ดี เพราะสโมสรมีหนี้มากเกินกว่าที่ทั้ง 2 จะสามารถจัดการได้ ที่สุดเเล้ว จอห์น ดับเบิลยู เฮนรี่ เศรษฐีคนบ้านเดียวกัน ก็เข้ามาซื้อสโมสรต่อด้วยเงินจำนวน 300 ล้านปอนด์ และจัดการหนี้ที่ทั้งสองก่อไว้ทั้งหมด 

หลังจากยุคของ เฮนรี่ หลายสิ่งดีขึ้นผิดหูผิดตา ลิเวอร์พูล ใช้เงินในการเสริมทัพอย่างคุ้มค่า บริหารอย่างมีระบบ และเลือกคนทำงานได้เหมาะสมตามนโยบาย ทำให้จนถึงตอนนี้สโมสรมีมูลค่ามากกว่า 2 พันล้านปอนด์ไปแล้ว ขณะที่ความสำเร็จในระยะหลังก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าหงส์เเดงกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องที่สุดในรอบ 20 ปีเลยก็ว่าได้ 

 

7. โรมัน อบราโมวิช ซื้อ เชลซี 440 ล้านปอนด์ ขายต่อ 2,500 ล้านปอนด์ 

การมาของ โรมัน อบราโมวิช ในปี 2004 ถือเป็นการเขย่าวงการฟุตบอลอังกฤษเลยก็ว่าได้ เพราะมหาเศรษฐีชาวรัสเซียใช้เงินถึง 440 ล้านปอนด์ ในการซื้อทีม ณ เวลานั้น และยิ่งกว่าการซื้อทีมคือการทุ่มเงินในแทบทุกตลาดซื้อขายจนเขาเปลี่ยนเชลซีให้กลายเป็นทีมระดับท็อปของพรีเมียร์ลีกมาจนถึงทุกวันนี้ 

แม้จะบริหารอย่างเฉียบขาด มีการตั้งทีมบริหารเป็นสัดส่วน จนมีเงินซื้อนักเตะอยู่เสมอ จนทำให้แฟนเชลซีจะรักและให้ความเคารพอบราโมวิชเป็นอย่างมาก แต่จุดเปลี่ยนของ "เสี่ยหมี" ก็มาถึง ซึ่งจะให้เรียกว่าเป็นภัยการเมืองที่กระทบมาถึงการเป็นเจ้าของเชลซีของเขาก็คงไม่ผิดนัก 

เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษได้คว่ำบาตรรัสเซีย ในกรณีบุกรุกยูเครนในช่วงปลายปี 2021 ที่ผ่านมา โดยมีการโยงใยเครือข่ายต่าง ๆ ของรัสเซีย และพบว่า โรมัน อบราโมวิช คือหนึ่งในคนสนิทของ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย และ อบราโมวิช ยังเป็นหนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงที่เรียกกันว่ากลุ่ม "โอลิการ์ช" ที่มีส่วนต่อการเมืองในประเทศรัสเซียโดยตรง

รัฐบาลอังกฤษจึงเล่นงานด้วยกฎหมายให้ อับราโมวิช ไม่สามารถเอาเงินที่เขาได้จากธุรกิจที่เชลซีไปใช้ได้อีกต่อไป และนำมาซึ่งการบีบให้ขายทีมทุกทาง จนในที่สุด อบราโมวิช ก็ฝืนไม่ไหวประกาศยอมแพ้พร้อมขายทีมในช่วงต้นปี 2022 ที่ผ่านมา 

ตลอดระยะเวลาการสร้างทีมเชลซีอันยาวนาน แม้ โรมัน อบราโมวิช จะใช้เงินไปมากโขเพื่อพัฒนาทีม ๆ นี้ อย่างไรก็ตามในวันที่เขาต้องขายทีมอย่างจำใจ ปรากฏว่ามีมหาเศรษฐีจากหลากหลายวงการหลายชาติทั่วโลกให้ความสนใจมากมาย ซึ่งในที่สุดการเคาะราคาก็เป็นของผู้ชนะอย่าง ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ เศรษฐีชาวอเมริกัน ที่คาดว่าจะใช้เงินถึง 2,500 ล้านปอนด์ สำหรับการขึ้นมาเป็นเจ้าของใหม่ของทีมเชลซี และจะเริ่มแสดงศักยภาพของเจ้าของใหม่ตั้งแต่ตลาดนักเตะซัมเมอร์ 2022-23 เป็นต้นไป 

ทั้งหมดที่กล่าวมาอาจจะแสดงให้เห็นถึงมุมมองทางเลือกในการลงทุนกับหุ้นสโมสรฟุตบอลในอังกฤษที่นำมาซึ่งกำไรในบั้นปลายของมหาเศรษฐีหลาย ๆ คน อย่างไรก็ตามการจะร่ำรวยได้ก็จำเป็นจะต้องมีเงินทุนมหาศาล มีแผนการบริหารที่ชาญฉลาด มีประสบการณ์ที่บริหารธุรกิจเป็น สิ่งเหล่านี้ทำให้ดูเหมือนว่าจะไม่เหมาะนักสำหรับคนทั่วไปหรือนักธุรกิจหน้าใหม่ที่ไม่ได้มีทุนมากพอ ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญระดับปรมาจารย์ หรือไม่ได้มีสายป่านยาวพอจะกว้านซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล 

 

แหล่งอ้างอิง 

https://abtc.ng/how-did-john-w-henry-make-his-money-how-much-did-john-henry-pay-for-liverpool/
https://www.theguardian.com/football/2016/mar/02/bill-kenwright-everton-farhad-moshiri-takeover
https://www.goal.com/en-gb/news/2896/premier-league/2010/10/14/1881043/the-definitive-timeline-how-hicks-and-gillett-took-liverpool
https://www.theguardian.com/football/2022/may/23/todd-boehly-purchase-of-chelsea-set-to-be-completed-this-week-abramovich
https://www.wsj.com/articles/the-nfl-owner-who-got-chewed-up-by-english-soccer-1543587247
ไมค์ แอชลี่ย์ : เจ้าของทีมที่แฟนบอลตัวเองเกลียดเข้าไส้มากที่สุด ? | MAIN STAND
กู้ก่อนเดี๋ยวค่อยหาคืน : ฮิคส์ และ ยิลเล็ตต์ 2 ลุงยอดนักกู้ ที่ทำให้ลิเวอร์พูล วิ่งชนหายนะ

Author

ชยันธร ใจมูล

นักเขียนลูกสอง จองเรื่องฟุตบอลและมวยโลก รู้จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แต่เขียนแล้วอินทุกเรื่อง

Graphic

อภิสิทธิ์ โชติพิบูลย์ทรัพย์

Art Director ผู้รับเหมางานภาพกราฟิกหน้าปกบทความทุกชิ้น