หลังจากที่เริ่มแข่งขันกันมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2019 ก่อนจะเว้นวรรคไปเนื่องจากไวรัส COVID-19 ระบาด ฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง กำลังจะถึงบทสรุปในวันที่ 15 มิถุนายนนี้
สำหรับ 12 ทีมที่จะเข้าสู่รอบต่อไป ประกอบด้วยแชมป์กลุ่ม 7 กลุ่ม (ไม่รวม กาตาร์ เนื่องจากเป็นเจ้าภาพในรอบสุดท้าย) และรองแชมป์กลุ่มที่มีผลงานดีที่สุด 5 ทีม
โดยแชมป์กลุ่ม แน่นอนว่าพวกเขาไม่ต้องดูปัจจัยอื่นเลย นอกจากผลงานทีมร่วมสายด้วยกันเอง แต่สำหรับทีมที่จบด้วยอันดับ 2 ของกลุ่ม ต้องลุ้นกันหลายต่อ เพราะต้องเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นด้วย และจากการที่ เกาหลีเหนือ ถอนตัวออกไป ทำให้แต้มที่พบกับทีมบ๊วยของกลุ่ม จะไม่ถูกนำมาพิจารณา
ซึ่งสถานการณ์อันดับในปัจจุบันของทีมอันดับ 2 ของแต่ละกลุ่ม เมื่อตัดการเจอกับทีมบ๊วยออก เป็นดังนี้
1. โอมาน แข่ง 6 นัด มี 12 แต้ม ประตูได้เสีย +4
2. จีน แข่ง 5 นัด มี 10 แต้ม ประตูได้เสีย +11
3. เลบานอน แข่ง 6 นัด มี 10 แต้ม ประตูได้เสีย +3
4. อุซเบกิสถาน แข่ง 5 นัด มี 9 แต้ม ประตูได้เสีย +6
5. ยูเออี แข่ง 5 นัด มี 9 แต้ม ประตูได้เสีย +5
6. อิหร่าน แข่ง 5 นัด มี 9 แต้ม ประตูได้เสีย +5
7. จอร์แดน แข่ง 5 นัด มี 8 แต้ม ประตูได้เสีย +5
8. คีร์กีซสถาน แข่ง 5 นัด มี 4 แต้ม ประตูได้เสีย -3
จะเห็นว่า ยกเว้น คีร์กีซสถาน อันดับ 1-7 มีการเปลี่ยนแปลงได้หมด เพราะแต้มไม่ห่างกันมาก ทำให้มีโอกาสพลิกผันในทางทฤษฎี โดย Main Stand ได้เปิดเผยเงื่อนไขของแต่ละกลุ่ม ให้ผู้อ่านได้วิเคราะห์กัน
กลุ่ม A
ซีเรีย เข้ารอบอย่างแน่นอนแล้วในฐานะแชมป์กลุ่ม จากการมี 21 แต้มจาก 7 นัด ทิ้งห่าง จีน อันดับ 2 อยู่ 5 แต้ม
จีน มีลุ้นเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้าย ผ่านการเป็นอันดับ 2 ที่ดีที่สุด หากพวกเขาชนะหรือเสมอ ซีเรีย ในนัดสุดท้าย จะการันตีเข้ารอบทันที แต่ถ้าแพ้ ต้องไปลุ้นกับอันดับ 2 ของกลุ่มอื่นอีกที
กลุ่ม B
ออสเตรเลีย เข้ารอบอย่างแน่นอนแล้วในฐานะแชมป์กลุ่ม จากการมี 21 แต้มจาก 7 นัด ทิ้งห่าง จอร์แดน อันดับ 2 อยู่ 7 แต้ม
จอร์แดน มีลุ้นเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้าย ผ่านการเป็นอันดับ 2 ที่ดีที่สุด หากพวกเขาชนะ ออสเตรเลีย พร้อมกับลุ้นให้อันดับ 2 ของกลุ่มอื่นพลาด
หาก จอร์แดน แพ้ ออสเตรเลีย และ คูเวต ชนะ ไต้หวัน ในนัดสุดท้าย คูเวต จะแซง จอร์แดน เป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม แต่จะไม่มีสิทธิ์ในการลุ้นเข้ารอบ เนื่องจากการเจอกับ ไต้หวัน ซึ่งเป็นบ๊วยของกลุ่มจะไม่ถูกนำมาคิดเป็นคะแนน
กลุ่ม C
อิรัก จ่าฝูงของกลุ่ม ขอแค่เสมอ อิหร่าน ในนัดสุดท้าย ก็จะเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มทันที แต่ถ้าแพ้ก็ต้องลุ้นเข้ารอบในฐานะอันดับ 2 ที่ดีที่สุด
อิหร่าน ต้องชนะ อิรัก เพื่อเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม แต่ถ้าเสมอต้องลุ้นเข้ารอบในฐานะอันดับ 2 ที่ดีที่สุด หากแพ้จะตกรอบทันที
กลุ่ม D
ซาอุดีอาระเบีย ขอแค่เสมอในนัดสุดท้ายกับ อุซเบกิสถาน ก็จะเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มทันที แต่หากแพ้ ก็ยังเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 2 ที่ดีที่สุด
อุซเบกิสถาน หากชนะจะเข้ารอบเป็นแชมป์กลุ่ม แต่หากเสมอหรือแพ้ ต้องลุ้นเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 2 ที่ดีที่สุด
กลุ่ม E
กาตาร์ แชมป์กลุ่มนี้ จะไม่ได้เข้าสู่รอบต่อไป เนื่องจากเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2022
โอมาน รองแชมป์กลุ่ม แม้จะมีโปรแกรมนัดสุดท้ายกับ บังกลาเทศ แต่ก็ไม่มีผลในการนำมาคิดเป็นผลงานหาทีมเข้ารอบ ในฐานะทีมอันดับ 2 ที่มีผลงานดีที่สุด เนื่องจาก บังกลาเทศ เป็นบ๊วยของกลุ่ม ดังนั้นจึงต้องลุ้นไม่ให้ทีมจากกลุ่มอื่นทำแต้มแซงสถานเดียว
กลุ่ม F
ญี่ปุ่น เข้ารอบอย่างแน่นอนแล้วในฐานะแชมป์กลุ่ม จากการมี 21 แต้มจาก 7 นัด ทิ้งห่าง คีร์กีซสถาน และ ทาจิกิสถาน อันดับ 2 ร่วมอยู่ 11 แต้ม
สำหรับ คีร์กีซสถาน หากแพ้ ญี่ปุ่น และ ทาจิกิสถาน ชนะ เมียนมา จะทำให้ ทาจิกิสถาน มีลุ้นเข้ารอบจากการมี 10 คะแนน หลังจากตัดแต้มจากการเจอทีมบ๊วยของกลุ่มออก
กลุ่ม G
เวียดนาม ขอแค่เสมอ ยูเออี ก็จะเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มทันที แต่ถ้าแพ้ต้องลุ้นผลงานของกลุ่มอื่น เพื่อเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 2 ที่ดีที่สุด
ยูเออี หากชนะ เวียดนาม ก็จะเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่มทันที แต่ถ้าเสมอหรือแพ้ ต้องลุ้นผลงานของกลุ่มอื่น เพื่อเข้ารอบในฐานะทีมอันดับ 2 ที่ดีที่สุด
กลุ่ม H
จากการที่ เกาหลีเหนือ ถอนทีมออกจากรายการแข่งขัน ทำให้ในกลุ่มนี้แข่งขันครบทุกนัดเป็นที่เรียบร้อย โดย เกาหลีใต้ เข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม จากการมี 16 คะแนนจาก 6 นัด
เลบานอน ยังต้องลุ้นผลงานของอันดับ 2 ของกลุ่มอื่นเพื่อเข้ารอบ
สำหรับ ทีมชาติไทย พวกเขายังเหลืออีกภารกิจให้ทำ คือการลงเล่นในรอบคัดเลือก เอเชียน คัพ 2023 ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะเป็นการหา 12 ที่นั่งสุดท้ายไปเล่นฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียที่จีนในอีก 2 ปีข้างหน้า ถือเป็นความท้าทายสำหรับ อากิระ นิชิโนะ และพลพรรคช้างศึก ว่าจะสามารถผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกันได้หรือไม่
Photo : facebook.com/FootballAssociationOfThailand