"ผมชอบการเบรกทีมชาติมาก ผมอยากจะให้มันมีแบบนี้ทุก 2 สัปดาห์ ผมเหนื่อย ผมอยากไปพักเพื่อให้ได้พลังกลับมา"
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กล่าวประโยคนี้หลังพาทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แพ้ 4 เกมรวด และเป็นการแพ้ 4 นัดติดต่อกันครั้งแรกในอาชีพโค้ชของเขาด้วย แต่หลังเบรกทีมชาติกลับมา พวกเขาก็แพ้อีก เป็น 5 เกมติดต่อกัน
เกิดอะไรขึ้นกับ แมนฯ ซิตี้ ผู้ไร้เทียมทาน ... และเกิดอะไรขึ้นกับอัจฉริยะอย่าง เป๊ป ? ติดตามบทวิเคราะห์ที่ Main Stand
ไม่ใช่เรื่องใหญ่ สำหรับ เป๊ป
การแพ้ 5 นัดติดต่อกันเป็นเรื่องที่แย่ และมันดูแย่กว่ามากเมื่อคนที่ทำสิ่งนั้นคือ เป๊ป กับ แมนฯ ซิตี้ โค้ชที่ดีที่สุดในโลก และสโมสรระดับแถวหน้าของฟุตบอลยุคใหม่
เป๊ป ไม่เคยประสบปัญหานี้มาก่อนในชีวิต เขาไม่ใช่ไม่เคยรู้จักความพ่ายแพ้ แต่ 5 เกมติดต่อกันแบบนี้มันไม่ปกติสำหรับผู้คนทั่วไป เพียงแต่ว่าสำหรับ เป๊ป เขาบอกว่าจะแพ้ 1 เกม หรือ 5 เกม มันก็เรื่องธรรมดาของฟุตบอลทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องการล่มสลายของยุคสมัยแบบที่ใครหลายคนคิดแน่นอน
"เมื่อเราเล่นแย่ ผมจะเป็นคนแรกที่บอกว่า 'โอ้ โอ้ ฉันไม่ชอบเลย' แต่ผมไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้น" กวาร์ดิโอล่ากล่าว
"ผู้คนคิดว่านั่นคือการล่มสลาย คือสิ่งที่ใครหลายคนอยากเห็นใช่ไหม ? ... แต่การแพ้มันเรื่องปกติของฟุตบอล เราชนะมาตั้งเยอะ เราจะผ่านมันไปเหมือนทุกครั้ง ตอนนี้ผมต้องการแค่ให้นักเตะของผมพร้อม ให้พวกเขาได้พักอย่างเต็มที่เท่านั้นเอง"
อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะพูดแบบนั้น แต่การแพ้ทั้ง 4 เกมของ แมนฯ ซิตี้ ไม่ใช่แค่การแพ้ในเชิงผลการแข่งขันเท่านั้น แต่มันยังเป็นการแพ้ในเชิงกลยุทธ์ และคุณภาพเกมด้วย ซึ่งปกติพวกเขาไม่เป็นแบบนั้น นอกจากนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นมันน่าเป็นห่วงกว่าสิ่งที่ เป๊ป พูดมาแน่นอน และปัญหานี้จะไม่หายไปภายหลังจากช่วงฟีฟ่าเดย์ เดือนพฤศจิกายน 2024 จบลงอย่างที่เป๊ปพูด
ง่ายที่สุดที่จะอธิบายเรื่องนี้คือ พวกเขาจะไม่มี โรดรี้ มิดฟิลด์ครบเครื่องที่การันตีด้วยรางวัลบัลลงดอร์ไปอีกหลายเดือน และมันไม่ใช่ความลับอะไร เพราะเมื่อขาด โรดรี้ แมนฯ ซิตี้ ก็เป็นทีมที่พร้อมจะแพ้ทุกทีมเช่นกัน
นับตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลที่แล้ว แมนฯ ซิตี้ มีเปอร์เซ็นต์การชนะอยู่ที่ 73.6% ... แต่ถ้าไม่มี โรดรี้ แมนฯ ซิตี้ คว้าชัยชนะได้แค่ 58.3% เท่านั้น เรื่องนี้ เจมี่ เร้ดแน็ปป์ พูดสั้น ๆ แต่ตรงเป๊ะแบบไม่มีคนเถียงว่า "แมนฯ ซิตี้ไม่มีทางแพ้ 4 เกมนั้นได้หากโรดรี้ลงเล่น"
แม้ในยามไม่มี โรดรี้ ซิตี้ จะคุมเกมได้บางส่วน แต่สิ่งที่แตกต่างคือ พวกเขาเปิดช่องทางให้คู่แข่งชิงจังหวะความได้เปรียบในช่วงเวลาสำคัญ ในเกมกับ สปอร์ติ้ง พวกเขาครองบอลถึง 73% แต่เสียถึง 4 ลูก ... ขณะที่เกมล่าสุดกับ ไบรท์ตัน แม้พวกเขาจะมีสถิติการครองบอลมากกว่า แต่ ไบรท์ตัน กลับมีโอกาสล่อเป้าใส่พวกเขาเป็นระยะ ๆ
เรื่องนี้พวกเขาจะต้องแก้ไขโดยด่วน การมี โรดรี้ ในสนามมีประโยชน์ที่สุดก็คือ คุณจะไม่เสียบอล ในจังหวะที่ไม่ควรเสีย ในเวลาที่เพื่อนร่วมทีมแย่ โรดรี้ จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยเหลือตลอด เช่นเดียวกับไอเดียความคิด เซ้นส์บอลของ โรดรี้ มีการกล่าวกันว่า เมื่อเขาลงสนาม มันก็เหมือนมี เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ลงไปสั่งการในสนามเลยทีเดียว
แม้ว่าจะไม่มี โรดรี้ แต่ แมนฯ ซิตี้ ก็ยังมีกองกลางที่มีประสบการณ์และพรสวรรค์มากมาย แต่พวกเขาต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น และกลับมาเป็นทีมที่ขึ้นชื่อในเรื่องการครองเกมด้วยลูกบอลอีกครั้ง
"เมื่อคุณเสียกองกลางที่ดีที่สุดในยุโรปไป ทีมก็จะต้องเผชิญกับแรงกดดันอยู่เสมอ ตอนนี้นักเตะของ แมนฯ ซิตี้ พยายามเล่นกันง่ายจนเกินไป ... และในฟุตบอลยุคนี้มันจำเป็นจะต้องมีความพิเศษเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อคุณมีคุณสมบัติของการเป็นยอดทีม ... พวกเขาจะขาด โรดรี้ ไปอีกหลายเดือน สิ่งที่พวกเขาทำคือการทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้คนที่ยังอยู่ในสนาม ช่วยกันคนละนิด คนละหน่อย เพื่อกลบสิ่งที่ขาดหายไปในเวลาที่ โรดรี้ ไม่อยู่ นักเตะของ ซิตี้ จะต้องเล่นเกิน 100% ในช่วงนี้ ถ้าพวกเขาอยากจะกลับมาเป็นทีมที่ครองเกมเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเหมือนที่เคยเป็นมา" ไมกาห์ ริชาร์ดส์ อดีตแข้งของทีมที่ปัจจุบันรับงานนักวิจารณ์ว่าแบบนั้น
ฮาลันด์ ไม่ใช่พระเจ้า
สิ่งที่น่าเป็นห่วงในช่วงเวลาที่ทีมแพ้ติด ๆ กันอีกอย่างก็คือ กองหน้าระดับปีศาจจอมถล่มประตูอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ มีฟอร์มที่แผ่วลงไปด้วย และสิ่งที่เขาแสดงออกมาแต่ละนัดในช่วงนี้มันแสดงให้เห็นถึงความไม่ได้ดั่งใจ และความโกรธของเขาอย่างแท้จริง
และเขามีสิทธิ์ที่จะโกรธได้ ในระยะหลังนี้ นักเตะชาวนอร์เวย์ต้องแบกรับความรับผิดชอบต่อประตูของ แมนฯ ซิตี้ มากเกินไป แม้ว่าเขาจะทำตามมาตรฐานที่สูงเกินจริงก็ตามในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ก่อนหน้าจะโดนวิจารณ์ไม่นาน ฮาลันด์ เพิ่งทำสถิติใหม่ด้วยการเป็นผู้เล่นที่ยิงครบ 75 ประตูในลีกได้เร็วที่สุด โดย 12 ประตูจากจำนวนทั้งหมด เกิดขึ้นใน 11 เกมแรกของฤดูกาลนี้ (2024-25) แต่หลังจากนั้น ทุก ๆ อย่างก็แย่ลงอย่างไม่ทันรับมือ
ฮาลันด์คาดว่าจะเป็นผู้นำในการทำประตูให้กับแมนฯ ซิตี้เสมอ แต่ไม่มีใครช่วยแบ่งเบาภาระของเขาได้ ... ณ ตอนนี้นักเตะเกมรุกของทีมมีประตูน้อยเกินไป ซึ่งสถิติมันก็บอกเช่นนั้นด้วย
ยอสโก้ กวาร์ดิโอล และ มาเตโอ โควาซิช คือผู้ทำประตูสูงสุดอันดับสองของซิตี้ในลีก โดยทำได้คนละ 3 ประตู ตามมาด้วย จอห์น สโตนส์ ที่ทำได้ 2 ประตู พวกนี้เป็นเกมรับทั้งหมด ขณะเดียวกันกลุ่มนักเตะเกมบุกนอกจาก ฮาลันด์ แล้ว มีคนยิงได้ 2 ประตูขึ้นไปแค่คนเดียวคือ เฌเรมี่ โดกู (2 ประตู) ที่เหลือ ... ไม่มีประตูเลย
ฟิล โฟเด้นไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นในการเล่นเกมรุกเหมือนอย่างที่เขายิงได้ 19 ประตูจนได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2023-24 ขณะที่ อิลคาย กุนโดกัน ก็แพ้แก่สังขารและทำอะไรได้ไม่มากเหมือนกับปีที่เขาพาทีมคว้า 3 แชมป์อย่างยิ่งใหญ่
แบร์นาโด้ ซิลวา ทำประตูได้น้อย ซาวินโญ่ ผู้มาใหม่ก็อาจจะวูบวาบแต่ก็ไม่ต่อเนื่อง มา ๆ หาย ๆ ขณะที่กองหน้าสำรองก็ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว จากแต่ก่อน ฮาลันด์ ตีนบอด ยังมี ฮูเลี่ยน อัลวาเรซ คอยสลับกันเล่นในบางจังหวะ และบางครั้งพวกเขาก็เล่นระบบกองหน้าคู่ ทำให้มีความหลากหลายในเชิงกลยุทธ์ ... แต่ตอนนี้คดีพลิกกลายเป็นคนละเรื่องไปแล้ว
ฮาลันด์ เป็นกองหน้าตัวเป้าแบบธรรมชาติเพียงคนเดียว จุดนี้มันชัดเจนว่า ซิตี้ ทำพลาดที่ปล่อย อัลวาเรซ และไม่มีใครสักคนเข้ามาแทนที่ ... ฮาลันด์ ต้องลงเล่นแทบทุกเกม และจะต้องเล่นเกม 90 นาทีเต็มเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่ตอนที่เขาขาดความมั่นใจ ขาดสมาธิ การได้พักก็ไม่เกิดขึ้น เพราะมีเขาคนเดียวเท่านั้นที่ทีมพึ่งพาได้
ต่อให้นักเตะจะหายเจ็บกลับมาหมดในช่วงหลัง ฟีฟ่า เดย์ แต่การมีกองหน้าธรรมชาติเพียงคนเดียว คือสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันทำให้ประตูที่ควรจะมีมากกว่านี้หดหายลงไปในช่วงเวลาที่ทีมต้องการมันมากที่สุด
เกมรับก็ใช่ว่าจะรอด
หากคุณต้องการทราบว่าแนวรับของแมนฯ ซิตี้ย่ำแย่แค่ไหนในช่วงหลังนี้ ? เอาเป็นข้อความสั้น ๆ แต่เห็นภาพง่าย ๆ ว่า ในช่วงเวลา 5 เกมหลัง พวกเขาเสียประตูเยอะกว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยซ้ำ ...
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเกมรับของพวกเขาไม่ค่อยถูกขยายผลมากนัก แต่อันที่จริงเมื่อคุณแพ้ ไม่มีตำแหน่งไหนรอดการถูกวิจารณ์ไปได้ ในที่สุดแผลเกมรับของพวกเขาก็ถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง
ปัจจุบัน กวาร์ดิโอล่า ต้องขาดกองหลังตัวกลางหลักทั้งสี่คน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ จาห์ไม ซิมป์สัน-ปูเซย์ วัย 19 ปี ซึ่งเขาเรียกว่า "ผู้เล่นเยาวชน" ต้องออกสตาร์ทสองเกมหลังสุด ทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในทีมชุดใหญ่มาก่อน
จอห์น สโตนส์ และ รูเบน ดิอาส ไม่ได้เดินทางไปไบรท์ตัน และในขณะที่ นาธาน อาเก้ และ มานูเอล อาคานจี อยู่บนม้านั่งสำรอง กวาร์ดิโอล่าอธิบายว่าพวกเขาไม่ฟิตพอที่จะลงเล่น กุนซือชาวกาตาลัน ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ไคล์ วอล์คเกอร์ แทบไม่ได้ลงซ้อมเลยในฤดูกาลนี้แม้ว่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นแบ็กขวาในสองเกมลีกหลังสุด นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าพวกเขาทำไมจึงแย่มากในการเล่นเกมรับ
อาการบาดเจ็บเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แนวรับของแมนฯ ซิตี้ อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดในเวลานี้ แต่ปัจจัยอีกประการหนึ่งก็คือทั้งผู้เล่นและการจัดทีมในแนวรับต่างก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แมนฯ ซิตี้เริ่มต้นฤดูกาลด้วยการใช้แนวรับสามตัว ได้แก่ อาคานจี ดิอาส และกวาร์ดิโอล โดย ริโก้ ลูอิส เล่นในตำแหน่งแบ็กขวาและมิดฟิลด์ตัวรับ
พวกเขาใช้ผู้เล่นชุดเดิมในสามเกมแรกและเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด แต่หลังจากนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาการบาดเจ็บและอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะกวาร์ดิโอล่าชอบ จึงมีผู้เล่นแนวรับหมุนเวียนกันไป บางคนเล่นในตำแหน่งต่าง ๆ ลูอิสเล่นแบ็กซ้าย แบ็กขวา และมิดฟิลด์ตัวรับ สโตนส์ลงเล่นเป็นตัวจริงเพียงสองเกม ในขณะที่อาเก้ลงเล่นเป็นตัวจริงหนึ่งเกม
ความโกลาหลนี้ทำให้พวกเขาจับต้นชนปลายไม่ถูก พวกเขาเสียความสงบ ความเยือกเย็น และความสง่าจองหองแบบที่ ซิตี้ เป็นมาตลอดในหลายปีหลัง และทุกอย่างล้วนส่งผลถึงกันและกัน เกมรับที่จัดระเบียบไม่ได้นำมาซึ่งความยากลำบากในการขึ้นเกมรุก และเกมรุกที่เสียบอลง่ายไม่เฉียบคม สร้างภาระที่มากขึ้นให้กับเกมรับ นี่คือสิ่งที่ เป๊ป เผชิญในเวลานี้
ทั้งเกมรุกและเกมรับ ขาดคุณภาพ และเมื่อขาดคุณภาพ พวกเขาก็มีความเข้มข้นในเรื่องการเพรสซิ่งแย่งบอลลดลงอย่างเห็นได้ชัด ที่เห็นภาพง่ายก็เพราะว่าปกติแล้ว ซิตี้ คือทีมที่แย่งบอลกลับมาเล่นเก่งมาก พวกเขาจะรุมแย่งตั้งแต่ในแดนคู่ต่อสู้ และเปลี่ยนเป็นประตูมากมายจากจังหวะแบบนั้น จังหวะที่คู่แข่งตั้งขบวนเกมรับไม่ทัน จากการโดนพวกเขาฉกบอลแบบสายฟ้าแลบ
ตอนนี้พวกเขาเข้าบอลช้าไปด้วยเหตุผลของทั้งหมดที่กล่าวมา ... แต่เรื่องนี้จะแก้ไขได้ หากวิกฤตินี้ลดความรุนแรงลง อย่างน้อยให้พวกเขาได้มีตัวเลือกมากขึ้น พวกเขาจะรับมือกับความเข้มข้นของเกมฟุตบอลยุคปัจจุบันได้ดีขึ้น เพราะอดีตสอนเรามาตลอดว่าไม่สามารถตัด แมนฯ ซิตี้ ทิ้งได้เลย ไม่ว่าจะเป็นรายการใด ๆ ก็ตาม
พวกเขาเคยชนะ 19 นัดรวดมาแล้วถ้าทุกอย่างอยู่ในสถานการณ์ที่พีกที่สุด ... ซึ่งการจะพีกที่สุดได้ไม่ใช่แค่การหายเจ็บเท่านั้น พวกเขาจะต้องกลับมาเล่นแบบกระหายมากขึ้น ดุดันในจังหวะ 50-50 แบบที่พวกเขาเคยเป็น ไม่ว่าจะการเข้าปะทะบนพื้นหรือกลางอากาศ พวกเขาเอาบอลมาเล่นได้เสมอในช่วงเวลาที่พวกเขาเข้มถึงขีดสุด
ในฟุตบอลปัจจุบันมันเป็นเรื่องยากที่คุณจะไม่มีเจอกับปัญหานักเตะบาดเจ็บ ... ดังนั้นสิ่งที่คุณต้องทำคือ ใครที่ยังอยู่ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และงัดเอาคาแร็คเตอร์ที่พวกเขาเคยเป็นออกมาให้ได้อีกครั้ง
"นี่คือช่วงเวลาที่ผมอยากจะเห็นอะไร ๆ ที่มากขึ้นจากนักเตะในทีม เราจะต้องแสดงคาแร็คเตอร์ของเราออกมาอีกครั้ง ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา เราชนะทุกการแข่งขัน แม้กระทั่งเรื่องการครองเกม ... สิ่งเหล่านี้มันทำให้เราดูยโสโอหัง ราวกับคาบซิการ์ลงเล่นในสนาม ซึ่งเมื่อเป็นแบบนั้น ทุกอย่างมันก็เป็นเรื่องยาก"
"นี่คือช่วงเวลาที่ผมในฐานะนักเตะซีเนียร์และคนอื่น ๆ จะต้องดึงคนอื่นที่ไม่มีประสบการณ์หรือคนใหม่ ๆ ในทีมนี้ให้ออกมาลุยพร้อม ๆ กัน เราจะต้องแสดงให้เห็นว่าพื้นฐานที่พวกเราต้องการในที่แห่งนี้คืออะไร เราใช้เวลาสร้างคาแร็คเตอร์นี้มา 8 ปี ... และเราจะใช้มันเพื่อผ่านช่วงเวลาแบบนี้ให้ได้" ไคล์ วอล์คเกอร์ กล่าวทิ้งท้าย ซึ่งสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในทีมเรือใบสีฟ้าได้เป็นอย่างดี
แหล่งอ้างอิง
https://www.goal.com/en/lists/how-to-fix-man-city-six-problems-pep-guardiola-needs-to-solve-four-defeats-erling-haaland-julian-alvarez-kyle-walker/blt4c5353c655b6863d#cse60a76f2f3e89e58
https://www.thehindu.com/sport/football/man-city-lose-fourth-straight-game-guardiola-faces-some-tough-questions/article68851531.ece
https://www.premierleague.com/news/4167513
https://www.nytimes.com/athletic/5910465/2024/11/10/man-city-pep-guardiola-defeats/
https://www.theguardian.com/football/2024/nov/09/i-have-to-solve-this-says-guardiola-after-manchester-city-lose-fourth-in-a-row