
"คริสต์มาสในพรีเมียร์ลีกไม่ใช่ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง มันคือช่วงที่ร่างกายคุณพังที่สุดของฤดูกาล"
นี่คือคำกล่าวของ แกรี่ เนวิลล์ ยอดแบ็กขวาผู้ไม่เคยได้หยุดในวันคริสต์มาสเกือบ 20 ปี หรือพูดง่าย ๆ คือตลอดช่วงที่เขาเป็นนักเตะอาชีพของ แมนฯ ยูไนเต็ด
คริสต์มาสของชาวตะวันตก ก็เหมือนสงกรานต์ของชาวไทย ญาติพี่น้องพร้อมหน้า กินเต็มที่ ดื่มเต็มคราบ และโอบรับความสุขในทุก ๆ ด้าน ยกเว้นเสียแต่ว่าเมื่อคุณเป็นนักฟุตบอล และนี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องเจอ ติดตามกับ Main Stand
อังกฤษไม่หยุดคริสต์มาส
สำหรับคนทำงานทั่วไป คริสต์มาสคือช่วงเวลาของการพักผ่อน คือการกลับบ้าน คือโต๊ะอาหารยาว ๆ กับครอบครัว คือเสียงหัวเราะ และการหยุดคิดเรื่องงานไว้ชั่วคราว
แต่สำหรับนักฟุตบอลอาชีพจำนวนมาก คริสต์มาสคืออีกหนึ่งช่วงเวลาที่ต้อง "ทำงานหนักกว่าปกติ" โดยเฉพาะในอังกฤษ ที่ช่วงคริสต์มาสคือ "โปรแกรมนรก" ซึ่งแฟนบอลคุ้นเคยในชื่อ "Festive Fixtures" ที่ประกอบด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมาย เช่น แข่งถี่, เดินทางไกล, พักน้อย และไม่มีคำว่า "ขอเลื่อน"
หลายคนบอกว่า นี่คือโปรแกรมที่ทำลายนักฟุตบอล โดยเฉพาะแข้งอังกฤษ แต่อันที่จริง มหกรรมเตะกันอย่างบ้าคลั่งนี้นี่แหละ ที่ทำให้ฟุตบอลอังกฤษเบ่งบาน และกลายเป็นลีกที่นิยมมากที่สุดของโลก
ย้อนกลับไปปลายศตวรรษที่ 19 ฟุตบอลอังกฤษเติบโตพร้อมกับยุคอุตสาหกรรม ยุคนั้นผู้คนในประเทศทำงานหนักกันเกือบทั้งปี มีวันหยุดแค่ไม่กี่วัน และวันคริสต์มาสรวมถึงวันบ็อกซิ่งเดย์ (เปิดกล่องของขวัญ) คือไม่กี่วันใน 365 วันที่ทุกคนในครอบครัวจะได้ว่างพร้อมกัน

ฟุตบอลจึงกลายเป็นความบันเทิงในราคาถูก ที่ทุกคนในเมืองหรือในประเทศสามารถเข้าถึงได้ เพราะสนามฟุตบอลอยู่ใกล้โรงงาน ไม่ต้องเดินทางไกล ดูบอลเสร็จ กลับบ้านกินข้าวกับครอบครัว ตั้งแต่ยุคแรก ๆ การแข่งขันในวันที่ 26 ธันวาคม อันเป็นโปรแกรม "บ็อกซิ่งเดย์" จึงเป็นเรื่อง "ปกติ" ของสังคมอังกฤษ
ด้วยเหตุผลนี้ อุตสาหกรรมฟุตบอลจึงมีหน้าที่เป็นนักเอนเตอร์เทนคนท้องถิ่นมาตั้งแต่วันนั้น มันทำให้ในอังกฤษ แม้อากาศหนาว แต่ฟุตบอล "ต้องเล่นได้" เพราะสนามฟุตบอลคือส่วนหนึ่งของครอบครัว และแฟนบอลต่างก็คุ้นชินกับการไปสนามช่วงเทศกาลแบบนี้
พูดง่าย ๆ คือ ชาวอังกฤษไม่ได้มองคริสต์มาสเป็น "วันหยุดจากฟุตบอล" แต่เป็น "ฤดูกาลพิเศษของฟุตบอล" ... เพียงแต่ว่าเหรียญนั้นมี 2 ด้าน ในขณะที่คนดูสนุก เหล่านักฟุตบอลก็ต้องสู้ตายถวายชีวิตเพื่อเอนเตอร์เทนทุกคนในเทศกาลแห่งความสุขนี้
ห้ามไม่ได้ก็ต้องจำใจเข้าร่วม
อย่างที่ได้บอกไปในข้างต้น โปรแกรม 4 นัดในเวลาแค่ 10 กว่าวัน คือโปรแกรมระดับนรกแตกที่นักเตะผู้ค้าแข้งในลีกอังกฤษทุกคนจะต้องเจอ โดยหลัก ๆ แล้ว นักเตะพรีเมียร์ลีกต้องลงสนามแทบจะตลอดช่วงปลายปี
พวกเขาจะเริ่มเล่นเกมปกติในช่วงวันที่ 23-24 ธันวาคม ก่อนได้พักวันที่ 25 ซึ่งเป็นวันคริสต์มาส จากนั้นก็จะมาต่อด้วย "บ็อกซิ่งเดย์" ในวันที่ 26-27 จากนั้นกลับมาเล่นใหม่อีกในช่วงวันที่ 28-29 และปิดท้ายกันแบบเน้น ๆ ในวันคืนข้ามปี 31 ธันวาคม - 1 มกราคม ของปีถัดไป
ขณะที่ลีกอื่น ๆ หยุดหนีหนาวให้นักเตะได้พักผ่อนสัก 2-3 สัปดาห์ ลีกอังกฤษกลับเล่นฟุตบอลกันอย่างบ้าคลั่งแบบคูณสอง แต่เพราะนี่คืออาชีพ พวกเขาจึงต้องยอมสละความสุขส่วนตัวบางส่วน และลงทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่
เหล่ากุนซือชาวต่างชาติหลายคนบ่นเรื่องนี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในช่วงยุค 1990s อย่าง อาร์แซน เวนเกอร์ ไล่มาจนถึง เยอร์เก้น คล็อปป์ และยุคปัจจุบันอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า

กุนซือเหล่านี้ไม่ได้โตมากับวัฒนธรรมฟุตบอลอังกฤษ พวกเขามักจะบอกว่า การยัดโปรแกรมมหาโหดแบบนี้ แทบไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากเรื่องเงินที่หมุนเวียนในอุตสาหกรรมฟุตบอลอังกฤษมากขึ้น ทั้ง 3 คนให้ความเห็นตรงกันว่า "โปรแกรมถี่ = เสี่ยงเจ็บ = คุณภาพลด"
แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อแฟนบอลพร้อมจะดู ทีวียังพร้อมจะซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด และรากของวัฒนธรรมยังแข็งแรงมาก มันจึงทำให้แทนที่พวกเขาจะบ่น ก็ต้องหาวิธีรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นแทน
เวนเกอร์ เล่าวิธีของเขาว่า ช่วงคริสต์มาสไม่ใช่เวลาพัฒนาทีม แต่คือเวลาป้องกันความเสียหาย หลัก ๆ แล้วเขาแทบจะตัดการซ้อมหนักออกไปทั้งหมด และเน้นไปที่การฟื้นฟู, ยืดเหยียด และการเรียนโดยใช้วิดีโอแท็คติก ที่สำคัญคือการพยายามโรเตชั่นนักเตะให้ได้มากที่สุด
"คุณไม่สามารถทำให้ทีมฟิตขึ้นในเดือนธันวาคม สิ่งเดียวที่คุณทำได้ คือทำให้พวกเขาไม่พังจากโปรแกรมนี้ก็พอ" นี่คือสิ่งที่ เวนเกอร์ บอก

ขณะที่กุนซืออีกคนในยุคเดียวกันอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ใช้วิธีคล้าย ๆ กัน โดยลดโปรแกรมซ้อมหนักให้เหลือน้อยที่สุด บางวันอาจจะซ้อมแค่ 30-45 นาทีเท่านั้น แต่เขาจะเน้นไปให้นักเตะโฟกัสที่ความเป็นมืออาชีพของตัวเองให้มากเข้าไว้
เหตุผลก็เพราะเขาเข้าใจดีว่า ในเทศกาลแบบนี้ มันเป็นเรื่องยากที่จะจับตามองพฤติกรรมนอกสนามของทุกคน สิ่งสำคัญคือ ทุกคนต้องดูแล กาย-ใจ ให้ได้ และพยายามมีวินัยในการฟื้นฟูร่างกายตัวเองให้ได้มากที่สุด เหมือนที่เขาเคยบอกว่า "ช่วงคริสต์มาสไม่ใช่เวลาสอนฟุตบอล มันคือเวลาสอนความเป็นมืออาชีพ" ส่วนอดีตลูกทีมของ เฟอร์กี้ หลายคนก็บอกตรงกันว่า เฟอร์กี้ จะปล่อยซ้อมเร็ว แต่เข้มงวดเรื่องการกินและการนอนมากกว่า
แน่นอนว่าฟุตบอลอังกฤษต้องทำเงินได้คุ้มค่ามากแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงยกเลิกโปรแกรมนรกสิ้นปีเหมือนกับลีกอื่น ๆ ไปแล้ว ... และเมื่อเรามองการเติบโตของลีกอังกฤษย้อนกลับไป คุณก็จะพบว่าค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดสูงขึ้นทุกปี รายรับของแต่ละทีมก็มากขึ้น สังเกตได้จากทีมเล็ก ๆ มีเงินซื้อนักเตะระดับ 40-50 ล้านปอนด์ได้สบาย ๆ ในยุคนี้ ขณะที่ค่าเฉลี่ยของค่าเหนื่อยนักเตะก็สูงขึ้นมาก ๆ ในปัจจุบัน ดังนั้นต่อให้โค้ชหรือนักเตะจะไม่ชอบเทศกาลนี้ แต่เมื่อมันเป็นหน้าที่ ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงจริง ๆ
ทำใจอยู่กับมันให้ได้
แน่นอนว่านักเตะระดับพรีเมียร์ลีกได้เงินก้อนโต มีรายรับคุ้มค่าพอที่จะทำให้พวกเขายอมทุ่มเทเอาเป็นเอาตายกับการแข่งขันฟุตบอลในช่วงเทศกาลวันหยุด แต่ในแง่ของความเป็นมนุษย์ นักฟุตบอลหลายคนเล่าว่า สิ่งที่ยากที่สุดของคริสต์มาส ไม่ใช่การแข่ง แต่คือการนั่งโต๊ะอาหารกับครอบครัว เพราะทุกคนรอบตัวกินได้เต็มที่ แต่พวกเขาเหล่านั้น … ต้องเลือก
ไก่งวงได้ มันฝรั่งได้ แต่ต้องจำกัดปริมาณ ด้าน ขนมหวานอาจได้ แต่ก็อาจจะเหลือแค่ "คำเดียว" ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่อยาก แต่เพราะรู้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมง ร่างกายต้องลงสนามจริง ซึ่ง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เคยพูดติดตลกว่า "คริสต์มาสคือวันที่ผมต้องอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ครอบครัวฟังว่า ทำไมผมไม่กินเหมือนกับทุกคน"
อีกด้านหนึ่งที่แฟนบอลมักลืมคือ นักฟุตบอลในพรีเมียร์ลีก ณ ปัจจุบันจำนวนมากเป็นชาวต่างชาติ คริสต์มาสอาจไม่ใช่เทศกาลหลักสำหรับบางคน แต่สิ่งที่หนักกว่าคือ การไม่ได้กลับบ้านเลยในช่วงวันของครอบครัวแบบนี้
บางคนอยู่คนเดียวในอพาร์ตเมนต์ บางคนฉลองกับเพื่อนร่วมทีม บางคนแค่โทรวิดีโอคอลหาครอบครัวแล้วรีบนอน เพราะเช้าต้องซ้อม นี่คือช่วงเวลาที่ชัดเจนที่สุดว่าอาชีพนี้ต้อง "แลก" มากแค่ไหน

"คริสต์มาสคือช่วงที่ผมคิดถึงบ้านมากที่สุด แต่ก็เป็นช่วงที่กลับบ้านไม่ได้" นี่คือสิ่งที่ คาร์ลอส เตเวซ เล่าย้อนกลับไปตอนที่เขาค้าแข้งในอังกฤษครั้งแรกกับ เวสต์แฮม ซึ่งสะท้อนถึงความเหงาของนักเตะต่างชาติในลีกอังกฤษได้เป็นอย่างดี
ตอนนี้สิ่งที่สโมสรพอจะทำได้ในการช่วยนักเตะเหล่านี้ คือการซื้อนักเตะเข้ามาเติมในขุมกำลังให้มากขึ้น เพื่อให้ได้จำนวนที่เหมาะสมในการโรเตชั่น ขณะที่ทางพรีเมียร์ลีกก็พยายามจะลดทอนบางอย่างออกไปในช่วงบ็อกซิ่งเดย์ เช่นในปี 2025 ที่พวกเขาตัดโปรแกรมที่ลงแข่งในวันบ็อกซิ่งเดย์ (26 ธันวาคม) ให้เหลือแค่เกมเดียวเท่านั้น
แค่นี้มันก็มากพอที่จะทำให้นักเตะหลาย ๆ คนรู้สึกว่า มันเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาได้เติมเต็มความสุขมากขึ้น แม้จะจะเป็นการยืดเวลาไปอีก 24 ชั่วโมงที่พวกเขาจะต้องลงสนามแข่งขันก็ตาม
"มันพิเศษมาก ผมไม่คิดว่าสิ่งนี้เคยเกิดขึ้นในอาชีพพรีเมียร์ลีกของผมมาก่อน ผมจะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้คุ้มค่าและมีความสุขไปกับมัน การได้อยู่กับครอบครัวและมีสุขภาพที่ดีคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต" เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กัปตันทีมของ ลิเวอร์พูล ถึงกับอดยิ้มไม่ได้ เมื่อรู้ว่าปีนี้เขาจะได้หยุดในวันบ็อกซิ่งเดย์
สนุกไปกับมัน
โดยรวมแล้ว ใครก็อยากพักผ่อนทั้งนั้นในวันที่ครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา อย่างไรตาม การเป็นนักเตะอาชีพก็ได้รับค่าตอบแทนที่สูงมากแบบที่หลายคนยอมหยุดงานหากพวกเขาจะได้เงินก้อนโตขนาดนั้น ... พวกเขาอาจจะไม่ชอบการทำงานในวันหยุด แต่นี่คืออาชีพ การทำมันอย่างเต็มที่ ก็อาจจะทำให้พวกเขาได้พบความสุขที่ซ่อนอยู่ในวันทำงานอันแสนทรหดของพวกเขาก็เป็นได้
กลุ่มนักเตะส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยบ่นเรื่องบ็อกซิ่งเดย์ คือนักเตะท้องถิ่นที่โตมากับวัฒนธรรมฟุตบอลอังกฤษ พวกเขาเห็นเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ และมองเป็นความท้าทายในการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเองไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น เจมส์ มิลเนอร์ ว่าที่นักเตะผู้ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ บอกว่า "ถ้าคุณผ่านคริสต์มาสไปได้ คุณจะสามารถผ่านอะไรก็ได้ในฤดูกาลนั้น"
เช่นเดียวกับบางคนที่มองมันเป็นความสนุก และชอบที่จะได้ซึมซับกับบรรยากาศช่วงนี้ไปแล้ว เช่น เวย์น รูนี่ย์ ที่บอกว่า "บ็อกซิ่งเดย์ คือวันที่ผมชอบที่สุด ทั้งสนามเต็มไปด้วยครอบครัว และบรรยากาศมันพิเศษจริง ๆ" ขณะที่ แฮร์รี่ เคน กัปตันทีมชาติอังกฤษชุดปัจจุบันก็เคยบอกคล้าย ๆ กันว่า "ผมชอบเล่นในช่วงบ็อกซิ่งเดย์ เพราะมันทำให้รู้สึกว่าฟุตบอลเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนจริง ๆ"

อย่างไรก็ตาม ที่สุดของเรื่องนี้ก็คือ เมื่อมองจากภายนอก อาชีพนักฟุตบอลดูเหมือนเต็มไปด้วยเงิน ชื่อเสียง และชีวิตหรูหรา แต่คริสต์มาสคือช่วงเวลาที่ตอกย้ำความจริงว่า นี่คืออาชีพที่ไม่มีปุ่มพักพร้อมกับคนอื่น
ในวันที่โลกหยุด พวกเขายังต้องวิ่ง ยังต้องซ้อม ยังต้องดูแลร่างกาย และยังต้องแบกรับความคาดหวังจากแฟนบอล คริสต์มาสของนักฟุตบอลอาชีพ อาจมีต้นคริสต์มาส อาจมีของขวัญ แต่แทบทุกคนรู้ดีว่า ของขวัญที่แท้จริงของพวกเขา คือการผ่านช่วงโปรแกรมโหดนี้ไปให้ได้ โดยไม่บาดเจ็บ เพราะพวกเขายังต้องใช้ร่างกายนี้หากินไปอีกนาน
และเมื่อเสียงนกหวีดสุดท้ายในเกมสุดท้ายของพวกเขาดังขึ้น นั่นแหละ … ถึงจะเรียกว่า "พักผ่อน" ได้จริง ๆ
แหล่งอ้างอิง
https://www.sportingnews.com/us/soccer/news/what-is-boxing-day-english-premier-league-tradition/uyjcoeifajwp5u1tgfsigpzy
https://www.nytimes.com/athletic/6757212/2025/10/31/premier-league-boxing-day-fixtures-why/
https://www.premierleague.com/en/news/4510124/what-makes-the-premier-leagues-festive-fixtures-so-special
https://www.bbc.com/sport/football/articles/cd9x25wvv8xo
https://www.bbc.com/sport/football/50903118