Feature

หมดยุคโค้ชญี่ปุ่น ทำไม Japan's Way ไม่เวิร์กกับ ฟุตบอลไทย ? | Main Stand

สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ตัดสินใจประกาศยุติสัญญากับ มาซาทาดะ อิชิอิ กุนซือทีมชาติไทยชุดใหญ่ เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งนับเป็นการแยกทางกับโค้ชสัญชาติญี่ปุ่นรายที่ 2 ต่อจาก อากิระ นิชิโนะ

 


สิ่งที่เป็นคำถามตามมาก็คือ หรือแท้จริงแล้วสไตล์ Japan's Way ไม่เวิร์กกับฟุตบอลไทย ?

 

หมดยุคโค้ชญี่ปุ่น

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาแฟนฟุตบอลชาวไทยต่างยกย่องความสำเร็จของทีมชาติญี่ปุ่น ในฐานะตัวแทนจากเอเชียที่สามารถต่อกรบนเวทีระดับโลกได้อย่างไม่น้อยหน้า พร้อมหวังที่จะเดินตามรอย ทั้งวิถีความเป็นมืออาชีพและรูปแบบการเล่น 

จนนำมาซึ่งการแต่งตั้ง อากิระ นิชิโนะ เข้ามาเป็นกุนซือชาวญี่ปุ่นคนแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทย เมื่อปี 2019 ท่ามกลางกระแส Japan Way ที่หวังให้ทัพช้างศึกพัฒนาไปข้างหน้าโดยมีทัพซามูไรเป็นต้นแบบ 

ทว่า นิชิโนะ ทำงานได้เพียง 2 ปี ก็ถูกยกเลิกสัญญา โดยสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ยุคนั้น ให้เหตุผลว่า ผลงานไม่เป็นไปตามเป้า หลังตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก โซนเอเชีย

ก่อนจะมาถึงคิวของ มาซาทาดะ อิชิอิ ที่เข้ามารับงานเมื่อเดือนธันวาคม 2023 และยุติเส้นทางในเดือนตุลาคม 2025 ด้วยเหตุผลว่า แนวทางการทำทีมในช่วงที่ผ่านมา ที่ไม่สอดคล้องกับการประเมินของฝ่ายเทคนิค รวมถึงผลงานภาพรวมด้วยสถิติ ชนะ 16 จาก 30 นัด ซึ่งคิดเป็น 53% 

ทั้งหมดนี้มาจากการพิจารณา ติดตาม และประเมิน โดยฝ่ายเทคนิคสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ นำโดย ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน อุปนายกสมาคมฯ, ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน สภากรรมการ และเอกพล พลนาวี เลขาธิการสมาคมฯ ซึ่งมี “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ เห็นชอบ

นอกจากโค้ชทั้ง 2 รายแล้ว ก่อนหน้านี้ทีมชาติไทยยังดึงโค้ชชาวญี่ปุ่นเข้ามาในชุดอื่น ๆ  อาทิ ทากายูกิ นิชิกายะ (U23) และฟุโตชิ อิเคดะ (ฟุตบอลหญิง) แต่ก็โดนปลดในเวลาเพียงไม่นานด้วยเหตุผลว่า “ผลงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้” ด้วยเช่นกัน

จึงนำมาซึ่งคำถามที่ว่า หรือแท้จริงแล้วโค้ชญี่ปุ่น และ Japan's Way ไม่เหมาะกับฟุตบอลไทย​ ? 

 

Japan's Way คืออะไร

Japan's Way คือปรัชญาที่สมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น (JFA) ตั้งขึ้นเป็นวิสัยทัศน์สำหรับ Roadmap ในการพัฒนาวงการฟุตบอล เพื่อมุ่งสู่ความฝันที่ตั้งเป้าไว้ คือ “การสร้างครอบครัวฟุตบอล ที่มีแฟนบอลและผู้เกี่ยวข้อง 10 ล้านคน พร้อมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกภายในปี 2050”

แนวทางหลัก ๆ ก็คือการพัฒนาโครงสร้างทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ “Quaternity” ทั้ง 4 ส่วน ได้แก่ 1.การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของทีมชาติ 2.การพัฒนาเยาวชน 3.การฝึกอบรมโค้ช และ 4.ระดับรากหญ้า ซึ่งทั้งหมดจะต้องแบ่งปันความรู้ และข้อมูลเดียวกัน

“Japan’s Way ไม่ได้หมายความว่าเราจะชนะด้วยเทคนิคและความแข็งแกร่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน Japan’s Way คือ การคิดถึงประเภทผู้เล่นที่เราต้องการพัฒนาเพื่อชัยชนะ และวิธีการใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้พวกเขาได้รับชัยชนะ” วิสัยทัศน์ที่ถูกระบุไว้ในเว็บไซต์ JFA

สิ่งเหล่านี้คือองค์ความรู้ที่แฟนบอลไทยหวังให้เกิดขึ้นเมื่อนำโค้ชชาวญี่ปุ่นเข้ามา ทว่าเรื่องจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะการนำเข้ามาเพียงแค่เฮดโค้ชและทีมงานบางส่วนไม่สามารถที่จะวางระบบหรือรากฐานได้อย่างเต็มตัว 

โค้ชที่เข้ามาจึงทำได้ดีที่สุดเพียงนำปรัชญาที่ติดตัวมาปรับใช้ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด เราจึงเห็นสิ่งที่อิชิอิพยายามพร่ำบอกเสมอมาคือ “ต้องการสร้างเจเนอเรชั่นใหม่” หรือให้ความสำคัญกับการเพิ่มจำนวนนักเตะรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาเป็นกำลังหลักของทีมชาติในอนาคต 

ตลอดระยะเวลา 2 ปี อิชิอิส่งนักเตะลงสนามทั้งหมด 60 คน ซึ่งในจำนวนนั้นมีผู้เล่นหน้าใหม่มากถึง 22 คน พร้อมพยายามปรับเปลี่ยนแท็กติกในแต่ละเกมให้เข้ากับผู้เล่นที่มีจำกัด ... จนนำมาซึ่งผลการแข่งขันที่มีทั้งได้รับเสียงชื่นชมและบางเกมที่แฟนบอลและฝ่ายเทคนิคไม่ถูกใจ

แล้วสิ่งใดที่ทำให้ Japan's Way ไม่เหมาะสำหรับวงการฟุตบอลเมืองไทย ?

 

ฟุตบอลไทยรอไม่ได้ ?

“ถ้าเรามองว่ากว่าญี่ปุ่นจะชนะสเปน หรือชนะบราซิลได้เนี่ยเขาใช้เวลาเป็น 30 ปีเลยนะ กับโครงสร้างที่มันชัดเจนมาก ๆ” ทิวาพล สังขพันธ์ หรือ "ทิซัง" ล่ามไทยที่มีประสบการณ์ในวงการฟุตบอลญี่ปุ่นมานานกว่า 8 ปี ให้ทัศนะกับ Main Stand

ทิวาพล มองว่าปัจจัยสำคัญก็คือ ญี่ปุ่นมีโครงสร้างและการวางระบบที่แข็งแกร่งตั้งแต่พื้นฐานจนส่งผลถึงทีมชาติชุดใหญ่ที่เป็นปลายทาง ซึ่งฟุตบอลไทยไม่ได้มีโครงสร้างที่ดีให้เป็นตัวเลือกกับอิชิอิเยอะ จึงทำได้แค่สร้างใหม่จากนักเตะที่มี ซึ่งมันต้องใช้เวลา

“ฟุตบอลไทยชอบผลฉาบฉวย ต้องชนะให้ได้ทุกเกม ซึ่งญี่ปุ่นก็ไม่ได้ชนะทุกเกม แล้วตัวเลือกของเรามันไม่ได้มีเหมือนญี่ปุ่น เช่น เอเชียนคัพจะใช้ชุดนี้ รายการนี้จะใช้ชุดนี้ เพราะฝั่งสมาคมเขาก็ต้องการความสำเร็จทุกอัน แต่อาจไม่ได้มองถึงการพัฒนา ถ้ารอไม่ได้มันก็ไม่เหมาะ”

“ญี่ปุ่นเขาชัดเจนเลยว่าถ้าจะเล่นรายการไหนจะเอาใครไป แล้วแพ้ก็ไม่เป็นไรด้วย ไม่งั้น ฮาจิเมะ โมริยาสุ ไม่อยู่มานานขนาดนี้หรอก” ทิซัง เปรียบเทียบถึงกุนซือทีมชาติญี่ปุ่น ที่ได้รับโอกาสคุมทีมมาตั้งแต่ปี 2018 จนสามารถสร้างประวัติศาสตร์ชนะบราซิลได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในปี 2025

นี่เป็นเพียงเหตุผลส่วนหนึ่งจากผู้ที่คลุกคลีอยู่ทั้งในวงการฟุตบอลไทยและฟุตบอลญี่ปุ่น ส่วนสาเหตุอันแท้จริงลึก ๆ ที่อิชิอิหรือโค้ชญี่ปุ่นไม่เหมาะกับฟุตบอลไทยเป็นเช่นไร ยังไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการจากทางสมาคมฟุตบอลไทย 

มีเพียงเหตุผลที่ว่า “แนวทางการทำทีมไม่สอดคล้องกับการประเมินของฝ่ายเทคนิค” และเหตุผล 7 ข้อที่เผยแพร่ออกมาอย่างไม่เป็นทางการเท่านั้น

แต่หลังจากนี้คงพูดได้เลยว่าความฝันที่ฟุตบอลไทยจะเดินตามรอย Japan’s way คงไม่มีทางเกิดขึ้นแล้ว ... และคงไม่มีโค้ชญี่ปุ่นคนไหนกล้าที่จะเข้ามาทิ้งชื่อใหักับทีมชาติไทยอีกแล้ว

 

Author

ชมณัฐ รัตตะสุข

Chommanat