เมื่อทีมที่ขึ้นชื่อว่า "ราชาแห่งฟุตบอลโลก" อย่าง บราซิล ต้องพ่ายให้กับทีมที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเพียงมวยรองอย่าง ญี่ปุ่น
คืนที่ทัพแซมบ้าโดนแข้งซามูไรเล่นงาน ไม่ต่างจากการเปิดโปงรอยรั่วของทีมยักษ์ใหญ่ คำถามที่เกิดขึ้นทันทีหลังเสียงนกหวีดสุดท้ายคือ "บราซิลยังมีสิทธิ์ฝันถึงแชมป์โลกอยู่ไหม ?"
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขากำลังอยู่ในมือของชายผู้มากประสบการณ์อย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ ? ... ติดตามเรื่องราวทั้งหมดกับ Main Stand
อันเช่ จะช่วยอะไรได้ ?
การแพ้ ญี่ปุ่น 2-3 ในเกมอุ่นเครื่องของทีมชาติบราซิลเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2025 อาจจะทำให้แฟน ๆ ทัพเซเลเซาหลายคนออกอาการเป็นห่วงว่า ทีมชุดนี้ที่มียอดกุนซืออย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ แถมมีเป้าหมายในฟุตบอลโลก 2026 กับการคว้า "แชมป์เท่านั้น" จะสามารถไปถึงฝันได้หรือไม่ อย่างเลี่ยงไม่ได้
ก่อนที่เราจะลงลึกกันในส่วนรายละเอียด ควรย้อนกลับไปดูก่อนว่าสมาพันธ์ฟุตบอลบราซิล หรือ CBF ต้องการสิ่งใดกันแน่ พวกเขาจึงทุ่มเงินมหาศาลและจ้างโค้ชจากต่างแดนคนแรกเข้ามารับงานกุนซือทีมชาติบราซิลในรอบ 60 ปี
ทิม วิคเกอรี่ ผู้เชี่ยวชาญฟุตบอลอเมริกาใต้ ยืนยันถึงแนวคิดดังกล่าวว่าเกิดจากการที่ บราซิล ต้องการกุนซือ "จอมแท็คติก" ที่มี "ความยืดหยุ่น" ในการคุมทีมสูง สามารถเล่นเกมรับแล้วสวนกลับในเกมใหญ่ ๆ เดิมพันสูง ๆ ได้ดี และในขณะเดียวกัน เวลาเจอทีมเล็กก็ต้องมีทีเด็ดทีขาดแบบที่เรียกว่า "ตบเด็ก" ให้ได้ในคราวเดียวกัน
หากคุณย้อนกลับไปดูการตกรอบในฟุตบอลโลกของ บราซิล นับตั้งแต่ปี 2002 ที่พวกเขาเป็นแชมป์โลก คุณจะเข้าใจทันทีว่า ทำไมต้องเป็น อันเชล็อตติ
เหตุผลก็เนื่องจาก บราซิล ตกรอบด้วยน้ำมือของชาติในยุโรปที่มีระบบฟุตบอลแน่น และแข็งแกร่งกว่าพวกเขา ซึ่งตรงนี้แทบจะเป็นจุดอ่อนของบราซิลมาโดยตลอดในช่วงหลัง ไล่เรียงมาตั้งแต่การแพ้ ฝรั่งเศส ในปี 2006, เนเธอร์แลนด์ ในปี 2010, เยอรมนี ในปี 2014, เบลเยียม ในปี 2018 และครั้งล่าสุดกับ โครเอเชีย ในปี 2022
กล่าวคือพวกเขาเป็นชาติที่มีนักเตะพรสวรรค์สูง เรื่องทักษะ เทคนิค ไม่แพ้ทีมชาติไหนในโลก แต่เมื่อมาอยู่เป็นทีม และต้องเล่นเพื่อเอาผลการแข่งขัน บราซิล มักจะตกม้าตายเสมอ
เมื่อพวกเขา "แพ้ทาง" ให้กับชาติยุโรปขนาดนี้ พวกเขาก็ต้องแก้ให้ถูกจุด ดังคำว่า "หมองูตายเพราะงู" ... ดังนั้นพวกเขาจึงเลือก คาร์โล อันเชล็อตติ กุนซือผู้เคยคว้าแชมป์ใน 5 ลีกใหญ่ยุโรป และเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ทำได้
"ทุก ๆ แคมเปญนับตั้งแต่ปี 2002 พวกเขาตกรอบทันทีที่ต้องพบกับทีมจากยุโรปในรอบน็อกเอาต์ มันกลายฝันร้ายคอยหลอกหลอนที่พวกเขาอยากเอาชนะให้ได้ และมันเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกเขาเลือกโค้ชจากยุโรปในครั้งนี้ พวกเขาบอกว่า 'ถ้าเราอยากเอาชนะพวกเขา (ชาติจากยุโรป) ในครั้งต่อไป เราต้องการใครสักคนที่รู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี'"
วิคเกอรี่ กล่าวยืนยันเรื่องนี้ และเชื่อว่าน้อยคนที่จะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของเขา หากอ้างอิงจากสถิติที่กล่าวมาข้างต้น
แพ้ญี่ปุ่นแบบนี้ กับ ยุโรป จะไหวเหรอ ?
หากเราย้อนดูประวัติการทำงานของ "อิล คาร์โล" ในช่วงหลัง ๆ คุณอาจจะพบได้ว่า นี่อาจจะไม่ใช่สถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงนัก และการแพ้ทีมที่เล็กกว่าแบบไม่น่าแพ้ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกสำหรับอันเชล็อตติด้วย
พอล คลีเมนต์ ผู้ช่วยชาวอังกฤษของ อันเช่ ที่ทำงานร่วมกันมานาน บอกว่าความอันตรายของ อันเชล็อตติ สำหรับคู่แข่งก็คือ เมื่อเขารู้จึกลูกทีมทุกคน และรู้ว่าตัวเองมีอาวุธอะไรในมือ เขาจะเป็นคนที่เลือกใช้สิ่งที่มีได้อย่างเก่งกาจ และแม่นยำ
"อันเชล็อตติ ไม่มีแท็คติกตายตัว เขาสามารถปรับเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น เพื่อเลือกระบบที่ดีที่สุด สำหรับนักเตะที่เขามี" นั่นคือสิ่งที่ คลีเมนต์บอก
เรื่องนี้ย้อนกลับไปตอนที่เขาคุม เรอัล มาดริด รอบที่ 2 ช่วงปี 2021-2025 ก็ได้ หากยังจำกันได้ ช่วงแรก ๆ ที่เขาเริ่มทำทีมมาดริด ซึ่งเริ่มจะเปลี่ยนโครงสร้าง ให้ความสำคัญกับดาวรุ่งอย่าง วินิซิอุส จูเนียร์, โรดรีโก้ และ เฟเดริโก้ วัลเวร์เด้ ขึ้นมายืนเป็นตัวหลัก มาดริด ก็มีหลุดแพ้ทีมเล็กกว่าอยู่บ่อย ๆ หนักที่สุดคือการแพ้ทีมอย่าง เชอริฟฟ์ สโมสรจากลีกมอลโดวา ใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก คาบ้านไป 1-2 เลยด้วยซ้ำ
แต่หลังจากนั้นก็อย่างที่เรารู้กัน เมื่อเขารู้จักนักเตะของเขาดีพอ และนักเตะก็เข้าใจวิธีการของเขาดีพอ ที่สุดแล้ว อันเช่ ก็เสกระบบการเล่นที่เหมาะกับทีมที่เขามี และ มาดริด ก็คว้าแชมป์ยุโรปเพิ่มอีก 2 สมัย ภายในเวลา 3 ปี
กลับมาที่ทีมชาติบราซิล งานปัจจุบันของเขา ก็ต้องถือว่าเป็นช่วงเริ่มต้นเช่นกัน อันเช่ เพิ่งเข้ามาทำงานในช่วงเดือน พฤษภาคม 2025 หรือราว 5 เดือนก่อน และนับเกมอย่างเป็นทางการเขาก็เพิ่งคุมทีมไปทั้งหมดแค่ 6 เกมเท่านั้น (ชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 2)
ดังนั้นการแพ้ ญี่ปุ่น 2-3 แบบโดนยิงแซงรวดเดียว 3 เม็ด ถือว่าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นี่เป็นแค่เกมอุ่นเครื่องเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น คือการเจาะให้ลึกในขุมกำลังทีมชาติบราซิลชุดล่าสุดที่เขาเรียกมาเจอกับ เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นทีมที่ระดับต่ำกว่าพวกเขาในแง่คุณภาพ อันเชล็อตติ จึงเรียกนักเตะมาทดลองติดทีมชาติหลายคน และทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เขารู้ว่า คนไหนไหว คนไหนไม่ไหว เพื่อให้เจอแท็คติกที่ลงตัว
ทีมชุดนี้มีนักเตะหน้าใหม่เยอะมาก มีนักเตะที่ติดทีมชาติชุดใหญ่ไม่เกิน 5 นัดถึง 11 คน, มีอีก 4 คนที่ติดทีมชาติชุดใหญ่ไม่เกิน 10 นัด และมี 1 คนที่ไม่เคยติดทีมชาติมาก่อนเลยอย่าง จอห์น วิคเตอร์ ผู้รักษาประตูมือ 3 จาก น็อตติงแฮม ฟอเรสต์
และความใหม่ของนักเตะหลาย ๆ คน ก็สะท้อนให้เห็นความผิดพลาดในเกมหลาย ๆ ครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักเตะเกมรับที่เรียกขาประจำมาแค่ 2 คนเท่านั้นคือ กาเบรียล มาร์กัลเญส และ เอแดร์ มิลิเตา
เห็นความผิดพลาดย่อมเป็นเรื่องดี
แน่นอนว่าการแพ้ไม่ใช่ผลการแข่งขันที่ดี แต่การแพ้และได้เห็นจุดอ่อนของตัวเอง รวมถึงเป็นการวัดผลแข้งหน้าใหม่หลายคนในทีมชุดนี้ ก็ดูจะเป็นอะไรที่ อันเชล็อตติ ไม่ได้ตื่นตระหนกมากนัก
เขาให้สัมภาษณ์หลังเกมดังกล่าวว่า การเสียประตูในเกมนี้ของทีมง่ายเกิน เพราะความใหม่และประสบการณ์ของนักเตะในทีมชุดนี้ โดยเฉพาะเกมรับ ที่พลาดกันง่าย ๆ อย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ อันเชล็อตติ ยังได้เห็นอีกว่า เรื่องความสั่นกับสถานการณ์ที่เจ้าบ้านอย่างญี่ปุ่นใส่สุดตัวแบบนี้เกิดขึ้นเพราะนักเตะของเขายังจิตใจไม่แข็งแกร่งพอ
"บราซิลไม่ได้มีทัศนคติที่ดีพอที่สามารถหยุดความฮึกเหิมของญี่ปุ่นในช่วงครึ่งหลังได้ ผมสามารถพูดได้อย่างไม่ต้องกั๊กเลยว่า เกมนี้ทีมเราพังทลายเพราะสภาพจิตใจ จากความผิดพลาดแค่ครั้งแรก จนทำให้เราเป๋ตั้งหลักไม่ถูก ... นี่แหละคือความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของเราในวันนี้"
และสุดท้าย อันเชล็อตติ ก็ยังไม่ได้เครียดและโมโหจนเกินไปนัก เขาปิดท้ายว่าหลังจากคว้าตั๋วไปฟุตบอลโลก 2026 ได้แน่นอนแล้ว เขาจะยังคงทดลองผู้เล่นในทีมต่อไป พร้อมทั้งยังทิ้งท้ายแบบกุนซือที่เก่งเรื่องการเข้าถึงจิตใจของลูกทีมว่า "ความผิดพลาดส่วนบุคคลในเกมนี้จะไม่ทำให้นักเตะคนไหนหลุดจากตำแหน่ง"
"เพียงแต่นี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เราได้สร้างมันในช่วงครึ่งหลัง ที่สำคัญ มันไม่แย่นักหรอกที่เราได้เห็นความผิดพลาดในตอนนี้ อย่างน้อยก็ดีกว่าการไปพลาดในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลก" อันเช่ ว่าเช่นนั้น
พายุกำลังใกล้เข้ามา
อย่างไรก็ตาม แม้เขาจะบอกว่าช่วงที่เหลือถือเป็นช่วงการลองทีมของเขา แต่สิ่งสำคัญก็คือ ฟุตบอลโลก 2026 กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ตอนนี้โค้งสุดท้ายของการเตรียมตัวใกล้มาถึงแล้ว ถ้าพวกเขาเรียนรู้จากความผิดพลาดจากเกมอุ่นเครื่องแบบนี้ได้จริง การแพ้ให้เห็นจุดอ่อนก็อาจจะเป็นเรื่องดีดังที่เขากล่าวอ้าง
แต่ในกรอบเวลาสั้น ๆ และการคุมทีมชาติก็แตกต่างกับการคุมสโมสรที่ได้อยู่กับนักเตะทุกวัน อาจจะเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงสำหรับ อันเชล็อตติ ได้ เพราะการคุมทีมชาติบราซิล ก็ถือเป็นการคุมทีมชาติครั้งแรกของเขาเช่นกัน นี่อาจจะเป็นประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่เขาต้องรีบเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับลูกทีมของเขาด้วย
กาเซมิโร่ หนึ่งในซีเนียร์ของทีมชุดนี้ได้ให้สัมภาษณ์หลังเกมว่า "เราเล่นกันเหมือนหลับ และในเกมระดับสูงเช่นนี้ หากคุณขาดสมาธิ คุณอาจจะต้องรับผลที่ตามมาอันยิ่งใหญ่ มันอาจจะทำให้คุณพลาดแชมป์ฟุตบอลโลก, แชมป์โคปา อเมริกา หรือแม้กระทั่งเหรียญทองโอลิมปิกได้เลย ... ฟุตบอลโลกจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เราต้องใส่ใจรายละเอียดมากกว่านี้ เพราะมันอาจจะทำให้คุณสูญเสียทุกอย่างได้เลยถ้ายังเป็นแบบนี้อีก"
สิ่งหนึ่งที่ไว้ใจอันเช่ได้เสมอ นั่นคือการเลือกใช้งานแท็คติกที่เหมาะกับนักเตะที่เขามี เหนือสิ่งอื่นใดคือเขาเป็นคนฝังความเป็นผู้ชนะใส่หัวสมองนักเตะได้อย่างมีชั้นเชิง นักเตะหลายคนเก่งขึ้นในมือของเขา
หากบราซิลเจอระบบที่ลงตัว บวกกับการมีนักเตะที่พรสวรรค์และเทคนิคสูง บราซิลจะเป็นทีมที่น่ากลัวมากขึ้นแน่นอน และถ้า อันเช่ หาสิ่งนั้นเจอจริง ๆ นี่อาจจะเป็นบราซิลที่ดีที่สุดในรอบหลายปีเลยก็ได้
"อันเชล็อตติเป็นตัวเลือกหลักของทีมชาติบราซิลมาตลอด เพราะเขาเป็นผู้นำองค์ความรู้สู่การไปถึงความสำเร็จแบบที่ไม่มีใครเทียบได้"
"เขาปลูกฝังวัฒนธรรมและความคิดระดับสูงตลอดเวลา ทำให้นักเตะเย่อหยิ่ง และมองว่าตัวเองเป็นผู้อยู่เหนือกว่าคู่แข่ง นั่นคือสิ่งที่เขาทำกับนักเตะของ เรอัล มาดริด" วิคเกอรี่ ยืนยันว่างานสร้างจิตวิญญาณของผู้ชนะให้บราซิล ต้องเป็น อันเช่ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นั่นคือสิ่งที่อยู่ในอนาคตที่คาดเดาไม่ได้ และไม่สามารถมองเห็น ดังนั้นสิ่งที่น่าสนใจก็คือ ถ้าบราซิลไม่เจอสิ่งที่เรียกว่า "ระบบที่ลงตัว" อะไรจะเกิดขึ้น ?
เวลาที่งวดเข้ามา กำลังบีบให้ อันเช่ ต้องรีบยกระดับงานชิ้นนี้ของเขาให้ได้ นี่ไม่ใช่การคุมทีมสโมสรที่ระยะเวลา 5-6 เดือน จะมีเกมให้เล่นมากมาย อย่างน้อย ๆ ก็ 30 เกมขึ้นไป แต่กับทีมชาติ โปรแกรมจะงวดลงมาก อาจจะเหลือเพียง 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 เท่านั้นเมื่อเทียบกับสโมสร
คาร์โล อันเชล็อตติ จะทำอะไรก็ต้องรีบทำ รีบตัดสินใจ เพราะตอนนี้ เมื่อเราเหลือบมองเต็งแชมป์จากยุโรปเช่น สเปน หรือ ฝรั่งเศส ดูเหมือนว่าทีมเหล่านั้นจะพร้อมสำหรับฟุตอบโลก 2026 มากกว่า บราซิล ในเวลานี้อย่างเห็นได้ชัด
การทดสอบครั้งใหม่กับทีมชาติจากทวีปอเมริกาใต้ของ อันเชล็อตติ เริ่มเข้มข้นและกดดันขึ้นในตอนนี้ ... ที่เหลือเราต้องรอดูกันว่าประสบการณ์คุมทีมอันโชกโชน และเขี้ยวเล็บในการทีมเพื่อเป็นแชมป์ที่เขาสั่งสมมานาน จะสามารถปรับมาใช้กับทีมชาติบราซิล ที่แตกต่างจากทุก ๆ ทีมที่เขาเคยคุมมาตลอดอาชีพกุนซือได้หรือไม่
แหล่งอ้างอิง
https://www.beinsports.com/en-us/soccer/la-liga/articles-video/does-carlo-ancelotti-regret-not-signing-with-brazil-here-s-what-he-said-2024-11-08
https://www.bbc.com/sport/football/articles/c8072kvmd23o
https://playingfor90.com/understanding-all-the-details-about-carlo-ancelotti-s-arrival-in-brazil-01jv2hw275g3
https://onefootball.com/en/news/how-carlo-ancelottis-selection-of-rodrygo-goes-won-them-el-clasico-37140654
https://en.as.com/soccer/rodrygo-i-dont-like-playing-as-a-number-9-but-i-do-it-because-i-believe-in-ancelotti-n/
https://www.theguardian.com/football/blog/2022/apr/12/carlo-ancelotti-champions-league-real-madrid
https://www.independent.co.uk/sport/football/japan-brazil-live-stream-score-result-friendly-b2844546.html
https://theathletic.com/5266454/2024/02/11/vinicius-jr-bellingham-rodrygo-real-madrids-front-line-is-something-special/