Feature

ศัตรูหรือมิตรภาพ?: ความสัมพันธ์ของสองตำนานลูกหนัง “เปเล่ & มาราโดน่า” | Main Stand

ในแวดวงลูกหนังทวีปอเมริกาใต้ เราจะได้ยินชื่อของ “เปเล่” รวมถึง “ดิเอโก้ มาราโดน่า” เป็นสองตำนานผู้ยิ่งใหญ่ขนาดที่คนไม่ดูฟุตบอลยังรู้จัก และเป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันทั้งสองได้เสียชีวิตลงแล้ว ในรายของมาราโดน่าจากโลกนี้ไปตั้งแต่ช่วงปลายปี 2020 ส่วนเปเล่เพิ่งอำลาโลกไปเมื่อวันที่ 29 ธันวาคมที่ผ่านมา

 


ขณะมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งสองเฉิดฉายในสนามแข่งขันมากแค่ไหน และที่สำคัญได้สร้างคำถามที่ทุกวันนี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนว่าใครเก่งกว่ากัน ส่วนเรื่องนอกสนามก็จะเห็นว่าทั้งสองมีโอกาสพบเจอกันหลายต่อหลายครั้ง พร้อมกับมีข้อคิดเห็นที่หลากหลายว่าความสัมพันธ์ระหว่างตำนานบราซิลเลียนและอาร์เจนไตน์นั้นเป็นแบบไหน

Main Stand ขอชวนผู้อ่านมาติดตามเรื่องราวความสัมพันธ์ของสองตำนานผู้ยิ่งใหญ่แดนละตินว่ามีบทสนทนาใดบ้างที่ทั้งคู่เคยสื่อถึงกันอย่างแซบทะลุทะลวง ตลอดจนกล่าวชวนซึ้งกินใจ

 

สองสตาร์ผู้ยิ่งใหญ่

ถ้าให้เอ่ยชื่อสุดยอดนักฟุตบอลระดับโลกทั้งในอดีตและปัจจุบัน แน่นอนว่านามของ เอ็ดสัน อารันเต้ โด นาสซิเมนโต้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เปเล่” รวมถึง ดิเอโก้ อาร์มานโด “มาราโดน่า” ย่อมเป็นชื่อเบอร์ต้น ๆ ที่ทุกคนคำนึงถึง 

เพราะทั้งสองไม่เพียงแต่จะเป็นไอคอนส์ลูกหนังให้กับประเทศบราซิลและอาร์เจนตินาเท่านั้น แต่ยังเป็นขวัญใจคอลูกหนังทั่วทุกมุมโลกจากฝีเท้าในสนามที่แสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์

ในรายของเปเล่ เขาเคยฝากผลงานทำประตูเป็นสถิติโลกชนิดที่ได้รับการบันทึกจากกินเนส เวิลด์ เรคคอร์ด จากสถิติซัลโว 1,281 ประตูจาก 1,363 นัด ตลอดเส้นทางอาชีพค้าแข้ง 21 ปี 

และหากนับจากการเล่นระดับทีมชาติบราซิลที่เปเล่ติดทีมชาติชุดใหญ่มาตั้งแต่อายุ 17 ปี ตำนานฉายา “ไข่มุกดำ” ก็ฝากสถิติยิงประตูได้ถึง 77 ตุงจากการลงเล่น 92 นัด เป็นเจ้าของสถิติคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกยืนหนึ่งถึง 3 สมัย คือในปี 1958, 1962 และ 1970 นอกจากนี้เขายังเคยถูกรับเลือกให้เป็นนักเตะแห่งศตวรรษของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่า ในปี 2000 มาแล้ว 

ขณะที่มาราโดน่าที่มีอายุห่างจากเปเล่ 20 ปีพอดิบพอดี นั่นทำให้ทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้ดวลแข้งในสนามกันในเกมทางการ ก็เป็นอีกหนึ่งตำนานขวัญใจแฟนลูกหนัง ซึ่งชื่อชั้นและผลงานที่ฝากไว้บนผืนสนามก็ไม่ได้ดูด้อยไปกว่าตำนานแซมบ้าแม้แต่น้อย

อดีตศูนย์หน้าฉายาที่สื่อเรียกว่า “เสือเตี้ย” พิสูจน์ให้เห็นถึงความสุดยอดทั้งกับการเล่นให้ทีมชาติอาร์เจนตินา อย่างการพาทีมผงาดแชมป์ฟุตบอลโลก 1986 รวมถึงรักษามาตรฐานการเล่นไม่มีตกในระดับสโมสรยุโรป 

โดยเฉพาะช่วงที่ค้าแข้งอยู่กับนาโปลี ที่ก่อนหน้าที่เจ้าตัวจะมาเล่นยังไม่เคยก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุดเลย ทว่าการมาของมาราโดน่าก็เนรมิตรให้ทีมดังจากเนเปิลส์ได้แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ไปถึงสองสมัย ในปี 1988 และ 1990 เช่นเดียวกับการถูกเลือกให้เป็นนักเตะแห่งศตวรรษของฟีฟ่าเหมือนกับเปเล่

ในเมื่อเป็นตำนานลูกหนังแดนละตินอเมริกาทั้งคู่ จึงไม่แปลกใจที่ทั้งเปเล่และมาราโดน่าจะมีโอกาสได้พบเจอกันอยู่บ่อย ๆ และนั่นก็มาพร้อมกับบทสัมภาษณ์ที่สร้างอิมแพ็กต์ต่อวงการฟุตบอลอยู่เสมอ

 

วิจารณ์กันไปมา

มีหลายปัจจัยที่ทำให้อดีตสองซูเปอร์สตาร์อเมริกาใต้คอมเมนต์ถึงกันอยู่บ่อย ๆ เช่น เปเล่เป็นคนบราซิล ส่วนมาราโดน่าเป็นคนอาร์เจนตินา แน่นอนว่าทั้งสองชาติชิงดีชิงเด่นในเรื่องของการเป็นเต้ยของทวีปมาโดยตลอด รวมถึงเรื่องที่เปเล่เป็นคนเงียบขรึม ส่วนมาราโดน่าเป็นสายปาร์ตี้ เป็นต้น

First impression หรือความประทับใจแรกของทั้งคู่เริ่มต้นด้วยเรื่องดี ว่ากันว่าเปเล่และมาราโดน่ามีโอกาสเจอกันครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 เมษายน ปี 1979 เป็นการผลิตรายการข่าวที่จัดโดยนิตยสาร El Gráfico ในริโอ เดอ จาเนโร ประเทศบราซิล โดยความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นเปี่ยมไปด้วย “ความจริงใจ”

เปเล่แจกลายเซ็นให้กับดิเอโก้พร้อมให้คำแนะนำนักเตะรุ่นน้องที่อายุห่างกันสองทศวรรษว่า “ดูแลร่างกายของคุณให้ดี มันเป็นเรื่องสำคัญ คุณมีคนในครอบครัวหลายคนที่พร้อมจะช่วย” 

แน่นอนว่ามาราโดน่าก็น้อมรับแต่โดยดี เพราะนี่คือการได้รับแรงผลักดันจากหนึ่งในไอดอลวัยเด็กของเขา ดังที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น La Nación ระบุว่าในสมัยเป็นดาวรุ่ง มาราโดน่าเคยบอกว่าหนึ่งในความฝันของเขาก็คือการได้พบกับเปเล่

ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทั้งสองยังคงอยู่มาเป็นเวลาหลายปี เปเล่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็น “พี่ดูแลน้อง” หรืออาจจะมองว่าเป็นสถานะ “เพื่อนเตือนเพื่อน” อย่างช่วงที่มาราโดน่าคิดจะเลิกเล่นฟุตบอลในปี 1981 อดีตแข้งแชมป์โลก 3 สมัยก็เคยส่งจดหมายถึงเขาเป็นการส่วนตัว โดยขอให้ดาวยิงรุ่นน้องล้มเลิกความคิดนี้เสีย

แต่จากนั้นการสื่อสารถึงกันก็เริ่มออกรสชาติมากขึ้น อย่างบทสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งของเปเล่ที่วิจารณ์ช่วงที่มาราโดน่าเผชิญกับเรื่องลบ ๆ ของตัวเอง ทั้งการติดสิ่งเสพติดที่หนักถึงขั้นโดนแบนจากวงการลูกหนัง 

“มาราโดน่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับคนรุ่นใหม่ เขาเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดาย คุณต้องมาดูเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขา” เปเล่ ติง

พอมาราโดน่าได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเหมือนโดนจี้จุดอยู่เหมือนกัน และในช่วงหลาย ๆ ประเด็นต่อจากนั้นก็เริ่มมีบทสัมภาษณ์ กอปรกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทวี “ความแซบ” อยู่บ่อย ๆ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

หนังสืออัตชีวประวัติมาราโดน่าที่ชื่อ “El Diego” มีช่วงหนึ่งของเนื้อหาในหนังสือที่วิจารณ์บทบาทและอิทธิพลของเปเล่ในบราซิลที่ตัวเขามีสถานะเป็น “สมบัติของชาติ” ที่มีต่อการ์รินช่า อดีตเพื่อนร่วมทีมชาติที่คว้าแชมป์โลกมาด้วยกัน แถมยังเป็นอีกหนึ่งเพชรเม็ดงามของวงการลูกหนังเซเลเซา ทว่ากลับต้องมาจบชีวิตด้วยวัยแค่ 49 ปีด้วยโรคตับแข็งจากพฤติกรรมเชิงลบในช่วงบั้นปลายชีวิต

"ในฐานะผู้เล่น เขา (เปเล่) มีทุกอย่าง แต่กลับไม่ได้ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อยกระดับสถานะของวงการฟุตบอล ผมอยากเห็นเขาก้าวไปข้างหน้าในฐานะประธานสหพันธ์ (ฟุตบอลบราซิล) เพื่อปกป้องสิทธิ์ของผู้เล่น ผมอยากเห็นเขาดูแลการ์รินช่าและไม่ปล่อยให้เขาตายด้วยความทุกข์ทรมาน ผมอยากเห็นเขาต่อสู้กับพวกคนรวยและผู้มีอำนาจที่สร้างความเสียหายให้กับวงการฟุตบอล" มาราโดน่า กล่าว

ขณะที่หนังสือประวัติเปเล่ที่ชื่อ “Pele: His Life and Times” ก็มีช่วงตอนที่เล่าว่าเปเล่เคยโดนมาราโดน่าโจมตีพฤติกรรมทางเพศ และคนที่ให้ข้อมูลนี้คือ เซลโซ่ เกรลเลต เพื่อนของเปเล่ โดยเกรลเลตบอกในหนังสือว่าเปเล่เลือกที่จะไม่ตอบโต้เรื่องนี้ เพราะในระหว่างที่ประเด็นนี้ถูกจุดขึ้น แข้งฉายาไข่มุกดำก็มีปัญหาเรื่องสุขภาพ และเลือกที่จะปล่อยวาง

"มาราโดน่าเคยพูดว่าเปเล่มีประสบการณ์รักร่วมเพศ มันไม่เคยเป็นความจริง และเปเล่ตัดสินใจว่าจะไม่ตอบโต้ เปเล่คิดว่าเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ตอบ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามาราโดน่ากล่าวหาในเรื่องน่าตลก เรื่องเพศของเปเล่เป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากความอิจฉาริษยา (ของมาราโดน่า)"

ประเด็นที่ว่า “ใครเก่งกว่าใคร” ก็ถูกพูดถึงเช่นกัน อย่างในช่วงการประกาศนักเตะแห่งศตวรรษของฟีฟ่า ในปี 2000 ซึ่งทั้งคู่ได้รางวัลนี้ ทว่ารางวัลดังกล่าวมีการจัดอันดับว่าใครคือเบอร์หนึ่งของโลกและใครคือเบอร์สองเบอร์สาม

ผลปรากฏว่าผลการลงคะแนนรอบแรกที่มีกฎให้ลงคะแนนผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นมาราโดน่าที่เอาชนะเปเล่ไปด้วยคะแนนโหวต 53.60% ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากคนที่เห็นต่างว่าคนโหวตอาจจะยังไม่รู้จักเปเล่ดีพอ เนื่องด้วยสื่อในเวลานั้นไม่ได้มีไฮไลท์การเล่นของเปเล่ให้เห็นมากนัก ผิดกับมาราโดน่าที่เพิ่งจะแขวนสตั๊ดมาไม่ถึง 5 ปี (แขวนสตั๊ดปี 1997)

นั่นทำให้ฟีฟ่าตัดสินใจเพิ่มโพลสำเร็จความเห็นกันใหม่ คราวนี้ไม่ใช้เสียงจากทางบ้านแต่เป็นการโหวตจากคณะกรรมการที่เป็นนักข่าวฟุตบอล เจ้าหน้าที่ ตลอดจนโค้ชฟุตบอล และเปเล่ชนะในรอบนี้ที่ 72.75% แถมมาราโดน่ายังตกไปอยู่ที่สาม (อันดับสองเป็น อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่)

กลายเป็นว่ารางวัลดังกล่าวแบ่งเบอร์หนึ่งให้กับทั้งเปเล่และมาราโดน่า ซึ่งช่วงเข้าพิธีรับรางวัลมาราโดน่าก็แสดงอาการไม่พอใจเท่าไร ว่ากันว่าช่วงที่ต้องกล่าวต่อหน้าแขกผู้มีเกียรติทันที่ที่พูดเสร็จ “เสือเตี้ย” ก็เดินลงจากเวทีทันที โดยไม่ได้รอพิธีการอื่นแต่อย่างใด

 

แล้วเจอกัน … เพื่อน

แม้จะเคยกล่าวถึงกันละกันตามมุมมองของตัวเอง แต่ลึก ๆ แล้วทั้งสองตำนานผู้ล่วงลับต่างก็ไม่เคยลืมความรู้สึกฉันมิตรและมิตรภาพที่ดีต่อกัน

ในปี 2005 รายการทีวี “La noche del 10” ที่มี ดิเอโก้ มาราโดน่า เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งตอนหนึ่งของรายการมีชื่อแปลเป็นไทยว่า “ค่ำคืนหมายเลขสิบ” มีการชวนเปเล่มาเป็นแขกรับเชิญ โดยไฮไลท์สำคัญคือช่วงท้ายรายการ เมื่อทั้งสองมีโอกาสได้โชว์สกิลโหม่งฟุตบอลร่วมกันเป็นเวลา 1 นาที 

“ความฝันอย่างหนึ่งของผม คือการได้โหม่งลูกฟุตบอลกับคุณ” - มาราโดน่า เกริ่น

“มาเริ่มกันเลย!” - เปเล่ ว่าต่อ

11 ปีต่อจากนั้น ยังมีเครื่องการันตีเรื่องมิตรภาพที่ดีระหว่างทั้งสองยิ่งขึ้นไปอีก กับการมาพบกันที่ปารีส โดยในเวลานั้นเปเล่เพิ่งผ่านกระบวนการผ่าตัดสะโพกมาหมาด ๆ 

“เป็นเรื่องดีจริง ๆ ที่ได้เห็นเขาเป็นแบบนี้ ได้เห็นเขากลับมามีสุขภาพแข็งแรง” มาราโดน่า พูดถึงเปเล่

“อย่าทะเลาะกันอีกเลย” คือคำที่ทั้งสองพูดเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นดิเอโก้ก็สวมกอดเปเล่ พร้อมกล่าวต่อว่า “ผมอยากจะขอบคุณเปเล่เป็นพิเศษสำหรับการเป็นแบบอย่างให้นักเตะหลาย ๆ คน เราต้องการต้นแบบเช่นเขา”

"เพื่อน" เปเล่กล่าวถึงดิเอโก้ " เราล้อเล่นกันเสมอครับ ผมมักจะพูดกับเขาว่า 'มาราโดน่า คุณจะเทียบเท่ากับเปเล่ได้ก็ต่อเมื่อคุณยิงได้มากกว่า 1,000 ประตู' และเขาพูดว่า 'ตอนนี้ผมทำไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก! '"

มิตรภาพที่มีระหว่างกันยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าครั้งนี้ฝ่ายหนึ่งอาจจะรับรู้จากสถานที่แสนไกลแล้วก็ตาม 

ในช่วงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2020 โลกได้สูญเสีย ดิเอโก้ มาราโดน่า จากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หลังจากเข้ารับการผ่าตัดอาการเลือดคั่งในสมอง และจากไปในวัย 60 ปี

"นี่เป็นข่าวที่เศร้าที่สุด ผมได้สูญเสียเพื่อนที่แสนดี และโลกลูกหนังได้สูญเสียตำนานไปแล้ว มีเรื่องมากมายที่อยากจะพูด แต่สำหรับตอนนี้พระเจ้าจะมอบความเข้มแข็งให้กับครอบครัวของเขาทุก ๆ คน” 

“แน่นอนว่าสักวันหนึ่งเราจะได้ร่วมเตะฟุตบอลด้วยกันบนสวรรค์" ประโยคอำลามาราโดน่าจากเปเล่

และอย่างที่ทุกคนทราบกันดี สองปีต่อจากนั้นโลกก็ได้สูญเสียเปเล่ไปอีกคน ในวันที่ 29 ธันวาคม 2022 ด้วยวัย 82 ปี หลังจากต่อสู้กับอาการป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มานาน 

ถึงแม้ว่าบทสัมภาษณ์ตลอดจนการกระทำที่สื่อถึง “มิตรภาพ” ระหว่าง เปเล่ กับ ดิเอโก้ มาราโดน่า บนโลกความจริงจะ “ไม่ได้” เกิดขึ้นอีกแล้ว 

แต่เชื่อเหลือเกินว่าทุก ๆ เรื่องราวที่สองตำนานผู้ล่วงลับได้สร้างเอาไว้จะยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้คนตลอดไป

 

แหล่งอ้างอิง

https://newsrebeat.com/sports/130612.html 
https://www.dailystar.co.uk/sport/football/pele-dead-diego-maradona-feud-28838626 
https://www.thenewsminute.com/article/pele-vs-maradona-rivalry-found-peace-bitterness-138565 
https://en.wikipedia.org/wiki/FIFA_Player_of_the_Century 
https://news.trenddetail.com/middleeast/310455.html 
https://www.voanews.com/a/pele-or-maradona-debate-will-continue-raging-over-who-was-greater-/6896933.html 
https://www.marca.com/en/football/2022/12/29/63ae00cb268e3e83158b45bf.html 
https://24hoursworlds.com/sports/326529 

Author

พชรพล เกตุจินากูล

แฟนคลับเชลซี ติดตามฟุตบอลเอเชีย ไก่ทอดและกิมจิเลิฟเวอร์

Photo

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1

Graphic

อรรนพ สะตะ

graphic design ผู้ชื่นชอบกีฬาฮอกกี้, เกมส์, เดินเขา เป็นชีวิตจิตใจ