ก่อนจะก้าวสู่จุดสูงสุด ลูก้า โมดริช เริ่มต้นจากศูนย์ เขาเปรียบเสมือนนักรบผู้ไม่เคยยอมแพ้ และเป็นหนึ่งในบุคคลซึ่งเติบโตท่ามกลางไฟสงครามอันแสนป่าเถื่อน ไม่ต่างจากชาวโครเอเชียคนอื่น ๆ เขาเผชิญหน้ากับความสิ้นหวังมาตั้งแต่ยังเด็ก และกระเสือกกระสนลี้ภัยสงครามไปอยู่ต่างถิ่นนานถึง 7 ปี รวมถึงต้องเผชิญกับความลำบากในชีวิตมาสารพัดจนยากที่เราจะจินตนาการได้ออก
แต่สงครามก็ไม่อาจพรากหัวใจที่เข้มแข็งไปจากเขาได้ โมดริชเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่ยังเด็ก เขาฝึกฝนอย่างหนักทุกวันราวกับฟุตบอลคือส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา จนพ่อของเขาเริ่มเห็นแววและสนับสนุนให้เล่นฟุตบอลอย่างเต็มที่
นี่คือเรื่องราวของ ลูก้า โมดริช ชายผู้เปรียบได้กับพระเจ้าแห่งวงการลูกหนังของประเทศโครเอเชีย ผู้เอาชนะความสิ้นหวังด้วยฟุตบอลชั้นสูงของเขา ติดตามกับ Main Stand ได้ที่นี่
กำเนิดยอดนักเตะท่ามกลางสงคราม
ช่วงวัยเด็ก เสียงที่โมดริชได้ยินทุกวันไม่ใช่เสียงดนตรี แต่เป็นเสียงปืนที่ดังสนั่นหวั่นไหวจากทั่วทุกสารทิศ ปะปนกับเสียงระเบิดและเสียงเตือนภัยต่าง ๆ เพราะเขาถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงสงครามการประกาศเอกราชโครเอเชีย ซึ่งประชาชนทุกคนต้องอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว
สงครามประกาศเอกราชโครเอเชีย เป็นสงครามที่โครเอเชียต้องการแยกตัวออกจาก ยูโกสลาเวีย ซึ่งมีความขัดแย้งภายในที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวียอย่างดุเดือดระหว่าง โครเอเชีย กับ เซอร์เบีย จนเป็นชนวนเหตุนำมาสู่การทำสงครามของทั้งสองชาติในที่สุด
ณ เมืองซาดาร์ (Zadar) ที่ถูกโอบล้อมด้วยภูเขาเวเลบิต ที่นี่อยู่ห่างจากชายฝั่งดัลเมเชียน (ทะเลเอเดรียติก) ไม่ไกลนัก มีหมู่บ้านเล็ก ๆ นามว่า โมดริซี (Modrici) มันคือบ้านเกิดของ ลูก้า โมดริช ซึ่งในเดือนกันยายน ปี 1991 ได้ถูกกองกำลังเซิร์บยึดครองระหว่างสงครามเพื่อปลดปล่อยโครเอเชีย
และที่นี่เป็นสถานที่เดียวกันกับที่โมดริชได้เห็นปู่ของเขาถูกกองกำลังเซิร์บยิงตายต่อหน้า จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่โมดริชไม่มีวันลืมไปตลอดชั่วชีวิต
ครอบครัวของโมดริชจึงต้องมาอยู่ท่ามกลางความโกลาหลครั้งใหญ่ พ่อและแม่ของเขาจำเป็นต้องพาครอบครัวระหกระเหินลี้ภัยสงครามออกจากบ้านหลังเดิมโดยทันที
"ตอนนั้นผมอายุหกขวบ มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากจริง ๆ ผมจำได้เต็มตา แต่มันไม่ใช่สิ่งที่คุณอยากจะจำหรือคิดถึงมันนักหรอก" โมดริช กล่าว
พวกเขาเข้าไปพักในโรงแรมผู้อพยพใกล้ ๆ กับเมืองซาดาร์ ที่ชื่อ โคโลวาเร (Kolovare) ที่นี่เต็มไปด้วยผู้อพยพที่ยากไร้ ชาวโครเอเชียผู้สิ้นหวัง และผู้ที่หวาดกลัวสงคราม อันเปรียบได้กับไฟบรรลัยกัลป์ที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งให้วอดวายลงไปต่อหน้า
โมดริชเริ่มเล่นฟุตบอลครั้งแรกในลานจอดรถของโรงแรมโคโลวาเร เขาฝึกทักษะผ่านพื้นปูนขรุขระ โกล์รูหนู และรองเท้าผ้าใบขาด ๆ ซึ่งบ่อยครั้งเขาก็เล่นคนเดียวในห้องพักริมระเบียง เขาฝึกฝนอย่างหนักทุกวันจนร่างกายเป็นส่วนหนึ่งกับฟุตบอล มันทำให้ฝีเท้าของเขาโดดเด่นกว่าเด็กทุกคนที่อยู่ในโคโลวาเรอย่างรวดเร็ว
ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย โมดริชยังคงเล่นฟุตบอลทุกวัน เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้เล่นฟุตบอล มันช่วยให้เขาผ่อนคลายจากความเครียดและความวิตกกังวลต่าง ๆ ได้อย่างน่าประหลาด
Marijan Buljat เพื่อนวัยเด็กที่เคยฝึกซ้อมด้วยกันกับโมดริช เล่าให้ฟังว่า
"มันเกิดขึ้นเป็นล้านครั้ง ขณะที่เรากำลังฝึกซ้อมฟุตบอลแล้วมีลูกกระสุนตกลงมากลางสนาม พวกเราต้องวิ่งหนีไปที่กำบังอย่างรวดเร็วที่สุด รอให้เสียงปืนหายไป แล้วคอยกลับมาเล่นกันใหม่"
ส่วนหนึ่งที่ฝีเท้าของโมดริชพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นเพราะเขาได้รับคำแนะนำอย่างดีจาก โตมิสลาฟ บาซิช หนึ่งในโค้ชฟุตบอลที่ลี้ภัยอยู่ในโรงแรมเดียวกัน
บาซิชเห็นโมดริชเล่นฟุตบอลไปทั่วโรงแรมทั้งวันจึงสอนวิธีเล่นฟุตบอลเบื้องต้นให้แก่โมดริชอย่างละเอียด เขาเปรียบได้กับพ่อคนที่สองของโมดริชเลยก็ว่าได้ นอกจากจะสอนฟุตบอลแล้วเขายังคอยให้กำลังใจโมดริชทุกครั้งที่ท้อแท้ และเป็นคนแรก ๆ ที่เห็นแววว่าสักวันหนึ่งเจ้าหนูโมดริชจะต้องเติบโตขึ้นเป็นนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ของโลกได้อย่างแน่นอน
บาซิชได้ชักชวนโค้ชท้องถิ่นที่ชื่อ โยซิป บายิโล (Josip Bajlo) ให้เข้ามาดูฟอร์มของโมดริช และด้วยความพยายามกับเซนส์ในการจ่ายบอลที่แม่นยำจึงกลายเป็นใบเบิกทางให้เขาถูกดึงตัวเข้าร่วมทีมท้องถิ่น เอ็นเค ซาดาร์ (NK Zadar) ในที่สุด
อุปสรรคมีไว้ทดสอบชีวิต
ในทีมเอ็นเค ซาดาร์ ทุกสิ่งไม่ง่ายดายเหมือนกับการเตะลูกบอลที่ลานจอดรถอีกแล้ว โมดริชต้องสู้กับนักเตะที่เป็นดาวรุ่งเช่นเดียวกับเขา และยังมีนักเตะระดับซีเนียร์ของทีมที่พร้อมเฉิดฉายได้ทุกเวลา แต่ปัญหาหลักที่โมดริชต้องพบจริง ๆ คือเขาถูกทุกคนสบประมาทเนื่องจากมีร่างกายที่เล็กเกินไป
ฟุตบอล เป็นกีฬาที่ต้องใช้พละกำลัง รวมถึงต้องมีร่างกายที่แข็งแรงสำหรับการแข่งขัน เมื่อคุณเป็นคนตัวเล็ก สิ่งแรกที่ผู้คนจะคิดคือเขามองว่าคุณไม่เหมาะที่จะเล่นฟุตบอล
โมดริชเข้าใจปัญหาข้อนี้ดี และมีบางครั้งที่เขารู้สึกท้อแท้จนอยากล้มเลิกความฝันที่จะเป็นนักฟุตบอลไป แต่ทุกครั้งที่เดินออกนอกสนาม เขารู้สึกราวกับพื้นสนามได้เรียกร้องให้เขากลับมาอีกครั้ง
จนกระทั้งวันหนึ่งเขาคิดได้ว่าฟุตบอลคือสิ่งเดียวที่ช่วยให้หลีกหนีจากความเจ็บปวดที่สิ้นหวังได้ เขาจึงเปลี่ยนจุดอ่อนของตัวเองให้เป็นจุดแข็งด้วยการฝึกให้หนักขึ้นและทำเป็นประจำทุกวัน
เขารู้ว่าแม้เขาจะมีร่างกายที่ไม่สูงใหญ่เหมือนนักเตะคนอื่น แต่เขายังมีความเร็วที่ไม่เป็นสองรองใคร รวมถึงทักษะในการครองบอลของเขาก็ยอดเยี่ยมจนหาตัวจับได้ยาก หลายครั้งที่เขาแสดงให้เพื่อนร่วมทีมได้เห็นเทคนิคชั้นสูงที่กลั่นออกมาจากมันสมองของเขาจนตกตะลึง และเขาก็ทำมันครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับมีเวทมนตร์
จากความพยายามในส่วนนี้เองทำให้โมดริชก้าวเข้ามาเป็นผู้เล่นตัวหลักในตำแหน่งแดนกลางของทีมเอ็นเค ซาดาร์ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่ง โยซิป บายิโล เฮดโค้ชของทีมผู้เฝ้ามองการเติบโตของโมดริช รู้ดีว่าทีมจากท้องถิ่นทีมนี้เล็กเกินไปแล้วสำหรับผู้เล่นอย่างโมดริช
โมดริชในวัย 17 ปีถูกยอดทีมแห่งโครเอเชียอย่าง ดินาโม ซาเกร็บ (Dinamo Zagreb) เรียกให้ไปทดสอบฝีเท้าในปี 2002 ก่อนที่ในอีก 3 ปีต่อมาจะถูกดึงตัวไปร่วมทีมด้วยสัญญาถาวร สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ครอบครัวของโมดริชอย่างยิ่ง
เขาลงเล่นให้กับซาเกร็บไป 94 เกม ชัดประตูรวมกันถึง 26 ประตู และมีส่วนช่วยให้ซาเกร็บคว้าแชมป์ลีกถึง 3 สมัย รวมถึงแชมป์บอลถ้วยอีก 3 ครั้ง ซึ่งในฤดูกาล 2006-07 เขายังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของลีกประจำปีนั้นด้วย
ในปี 2008 เขาได้รับการติดต่อจากทั้ง อาร์เซนอล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ บาร์เซโลน่า แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเลือก ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ เพราะเชื่อว่าที่นี่เหมาะกับเขามากกว่า
โมดริชเล่นในถิ่นไวท์ฮาร์ตเลนถึง 4 ฤดูกาลติดต่อกัน และสามารถพาสเปอร์สคว้าพื้นที่หัวตารางไปเล่นฟุตบอลยุโรปได้สำเร็จ
จนในปี 2012 เรอัล มาดริด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งลา ลีกา ตัดสินใจคว้าตัวเขามาจากสเปอร์ส ด้วยค่าตัวราว ๆ 30 ล้านปอนด์ และเขาก็เล่นให้มาดริดนับแต่นั้นเป็นต้นมา
วันแรกที่ตัดสินใจย้ายสู่ถิ่นซานติอาโก เบร์นาเบว ผู้คนคิดว่านักเตะแบบโมดริชอาจมาเพื่อเป็นอะไหล่ของทีมเท่านั้น บางคนถึงกับแสดงความคิดเห็นในเชิงลบ ถึงขั้นโหวตให้การคว้าโมดริชมาร่วมทีมของเรอัล มาดริด คือการเซ็นสัญญาที่ล้มเหลวที่สุดของลาลีกาในปีนั้น
แต่โมดริชก็ผ่านอะไรมามากเกินกว่าจะสนใจคำพูดของไม่กี่คน เขาทำงานอย่างเงียบ ๆ ในตำแหน่งห้องเครื่องของราชันชุดขาว เขาเป็นคนคอยคุมจังหวะในแดนกลางร่วมกับ โทนี่ โครส และ คาเซมิโร่ ซึ่งก็มีหลายครั้งที่เขาเป็นคนกำหนดทิศทางของเกมด้วยการจ่ายบอลที่แม่นยำและมีคิลเลอร์พาสสวย ๆ ให้เห็นบ่อย ๆ เขารักษามาตรฐานระดับสูงของตัวเองไว้ได้ตลอดทั้งเกม นี่คือคุณสมบัติเลือดนักสู้ที่โมดริชใช้เพื่อกลบเสียงนินทาได้อย่างหมดจด
ความยอดเยี่ยมของโมดริชช่วยให้ทัพราชันชุดขาวสามารถครองแชมป์ยุโรปได้ 3 สมัยติดต่อกัน เขากลายเป็นนักเตะที่โค้ชทุกคนอยากร่วมงานด้วยในทันที
ซีเนดีน ซีดาน ก็เคยออกมากล่าวถึงโมดริชว่า
"เขาคือกองกลางที่จับคู่กับ โทนี่ โครส แล้วลงตัวมาก ทั้งสองคนคือระดับโลก"
แม้กระทั้ง โยซิป บายิโล อดีตประธานสโมสรเอ็นเค ซาดาร์ ที่โมดริชเคยเล่นสมัยเด็ก ก็ยังออกมากล่าวชื่นชมโมดริชว่า
"มีเด็กคนหนึ่งที่เที่ยวเตะฟุตบอลไปทั่วโรงแรมตลอดทั้งวัน เขาตัวผอมและเล็กมากสำหรับเด็กในวัยนั้น แต่เราสามารถมองเห็นได้ทันทีว่ามีบางสิ่งที่พิเศษเกิดขึ้นกับเขา แต่เอาเข้าจริงในเวลานั้นไม่มีใครสักคนที่คิดฝันว่าวันหนึ่งเขาจะกลายเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ในแบบที่เขาเป็นอยู่ในทุกวันนี้"
อย่างไรก็ดี ปี 2018 คือปีที่โมดริชประสบความสำเร็จสูงสุดในฐานะนักฟุตบอล ไม่ใช่เพียงสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการพาทีมชาติโครเอเชียเข้าชิงฟุตบอลโลกได้สำเร็จเป็นหนแรกเท่านั้น แต่เขายังเป็นนักเตะคนแรกที่สามารถชิงรางวัลบัลลงดอร์ออกมาจากการผูกขาดของสองนักเตะอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 อีกด้วย
ชายผู้ทำให้คนทั้งโลกหลงรักฟุตบอลโครเอเชีย
โมดริชสามารถสร้างสิ่งอัศจรรย์ในโลกฟุตบอลครั้งแล้วครั้งเล่า และมีบ่อยครั้งที่เขานำพาทีมชาติเล็ก ๆ อย่างโครเอเชียสร้างเซอร์ไพรส์ได้อย่างพลิกความคาดหมาย เช่นในปี 2018 ที่เขานำทัพทีมตราหมากรุกเข้าชิงฟุตบอลโลกเป็นหนแรกได้สำเร็จ และแม้จะพ่ายให้ฝรั่งเศสในรอบชิงชนะเลิศไป 4-2 แต่เขาก็เล่นอย่างเต็มที่สมกับเป็นคู่ชิงในมหกรรมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก
หรือในครั้งล่าสุดคือฟุตบอลโลกปี 2022 ที่เพิ่งจบไป โมดริชก็ยังคงนำทีมชาติโครเอเชียทำผลงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการจบอันดับที่ 3 จากการชนะ โมร็อกโก ด้วยสกอร์ 2-1 แบบคุมค่าคนดูทั่วโลก
และอีกหลาย ๆ ครั้งที่โมดริชนำพาทีมชาติเล็ก ๆ อย่างโครเอเชียสร้างปาฏิหาริย์ในทัวร์นาเมนต์ต่าง ๆ ได้อย่างเหลือเชื่อ เขาและเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ ร่วมกันสร้างโครเอเชียให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก จากเป็นทีมนอกสายตาสู่การเป็นทีมที่ไม่อาจประมาทได้ ทั้งหมดล้วนมาจากการวิ่งไม่เคยหมดของพวกเขาชาวโครแอตที่มีหัวใจนักสู้อยู่ในทุกอณูของร่างกาย
โมดริชกลายเป็นที่รักของทุกคน เขามอบความสุขและความหวังให้ชาวโครแอตที่กำลังทุกข์ใจเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจที่ถดถอย รวมถึงการเมืองภายในประเทศที่เพิ่งได้รับเอกราชจากสงครามปลดแอกโครเอเชียเมื่อปี 1991
แต่ถึงจะยิ่งใหญ่เพียงใดแต่โมดริชก็ยังคงถ่อมตัวเสมอ เขาไม่เคยออกมาโอ้อวดถึงความสำเร็จที่ได้รับ และยังคงฝึกซ้อมอย่างหนักทุกวัน ซึ่งเขาจะแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาก็ต่อเมื่ออยู่ในสนามแข่งเท่านั้น แต่เมื่ออยู่นอกสนามเขาก็จะทำตัวปกติ ไม่หวือหวา หรือทำอะไรให้เป็นที่สนใจของสื่อมากนัก
จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะพบว่าชีวิตของโมดริชผาดโผนราวกับเทพนิยาย เขาถือกำเนิดขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่มีใครเล่นฟุตบอลสักคนเดียว มีชีวิตท่ามกลางความสิ้นหวัง และเติบโตจากคำดูถูกสารพัด แต่เขาก็ไม่เคยยอมจำนนต่อโชคชะตา และยังเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้เป็นแรงบัลดาลใจไปสู่ชัยชนะได้อย่างเข้มแข็งและหนักแน่น
ด้วยความเชื่อมั่นในกีฬาฟุตบอลทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในยอดนักเตะได้อย่างไร้ข้อกังขา อย่างที่ครั้งหนึ่งโมดริชเคยกล่าวไว้ว่า
"สิ่งสำคัญที่สุดคือการไม่ยอมแพ้ คุณต้องศรัทธาในตัวเอง จงสู้เพื่อความฝันและความสำเร็จของตัวคุณเอง"
และนี่คือเรื่องราวของ ลูก้า โมดริช ชายผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา แต่ตอนนี้เรื่องราวของเขายังไม่จบลงเพียงเท่านี้ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้นี้เราอาจได้เห็นชายร่างเล็กวัย 37 ปีผู้นี้สร้างความมหัศจรรย์ให้กับโลกฟุตบอลอีกครั้งก็เป็นได้
แหล่งอ้างอิง
Jon Boon.(2022). MOD ALMIGHTY Croatia legend Luka Modric is an ex-refugee whose granddad was shot dead when he was just six but still became an icon. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://www.thesun.co.uk/sport/football/6730206/world-cup-croatia-luka-modric-refugee-granddad-shot/
rahul jangid.(2021). The untold story of Luka Modric. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://www.sportsbignews.com/football/the-untold-story-of-luka-modric/
Faisal Caesar .(2020). The story of Luka Modric. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://www.cricketsoccer.com/2020/12/18/the-story-of-luka-modric/
บุศรินทร์ เลิศชวลิตสกุล.(2018). สงครามอดีตยูโกสลาเวีย ให้อภัย…แต่ไม่ลืม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : https://waymagazine.org/yugoslav-wars/