ข้อความตอนหนึ่งจากนิตยสาร "Boys Don't Cry" ของ "แฟรงก์ โอเชียน" ศิลปิน/นักร้องอาร์แอนด์บี ชาวอเมริกันที่ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ Tumblr บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตและไลฟ์สไตล์ของเขา พร้อมกับเรื่องคนรอบตัว ครอบครัว เพื่อน มากไปกว่านั้นคือความรักของเขาที่มีต่อรถยนต์
แฟรงก์ โอเชียน ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นศิลปินที่ปรากฏตัวต่อสื่อน้อยที่สุดคนหนึ่ง แต่ความนิยมและฐานแฟนคลับของเขากลับเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว นับตั้งแต่เขาปล่อยอัลบั้มล่าสุดออกมา แต่แฟนเพลงก็ยังคงรอคอยการกลับมาสู่วงการดนตรีของเขาอยู่เสมอ
นอกจากเนื้อหาของเพลงที่มีความลึกซึ้งจนสามารถทำให้ใครหลาย ๆ คนรู้สึกเข้าถึงและเชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเขาได้ แฟรงก์เองยังเป็นคนที่ชอบรถเป็นอย่างมาก ถึงขนาดแต่งเพลงที่มีการอ้างอิงถึงรถอยู่บ่อย ๆ เพราะสำหรับแฟรงก์แล้ว "รถยนต์" เปรียบเสมือนเครื่องบันทึกความทรงจำของเขา ไม่ได้มีไว้แค่อวดไลฟ์สไตล์อันหรูหราแบบแรปเปอร์ทั่วไป
ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างแฟรงก์กับรถคืออะไร ? ทำไมเพลงที่เขาแต่งส่วนใหญ่จึงสามารถทำให้ใครก็ตามรู้สึกหลงไหลไปกับมันได้
Main Stand ขออาสาเล่าให้ฟัง
"แฟรงก์ โอเชียน" หรือชื่อจริงคือ "คริสโตเฟอร์ เอ็ดวิน โบรซ์" เกิดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ปี 1987 เป็นศิลปิน นักร้อง นักแต่งเพลงชาวอเมริกันจากลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนียโดยกำเนิด เขาได้ย้ายไปอยู่ที่นิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา ตั้งแต่อายุ 5 ปี
คริสโตเฟอร์เติบโตมาพร้อมกับเสียงดนตรีมาตั้งแต่เด็ก แม่ของเขามักจะเปิดเพลงของ เซลีน ดิออน, อนิต้า เบเกอร์ และเพลงประกอบละครเวที The Phantom of The Opera ฟังในรถอยู่บ่อย ๆ เพราะเหตุนี้เขาจึงเริ่มสนใจในดนตรีมากขึ้น ในช่วงวัยมัธยม คริสโตเฟอร์เริ่มแต่งเพลงและอัดเพลงด้วยตนเอง เขาหาเงินเข้าห้องอัดจากการทำงานพิเศษอย่างงานล้างรถ พาสุนัขของเพื่อนบ้านไปเดินเล่น และการรับจ้างตัดหญ้าในสวน
Photo : www.last.fm
คริสโตเฟอร์เริ่มมีแรงจูงใจในการตั้งใจทำสิ่งที่เขาต้องการให้สำเร็จ เพราะแม่ของเขามักจะชอบหานิตยสารที่มีภาพของรถหรูราคาแพงมาให้เขาดู เด็กชายคริสโตเฟอร์จึงชอบรถมาตั้งแต่นั้น และมีความฝันว่าวันหนึ่งเขาจะต้องเป็นเจ้าของรถพวกนี้ให้ได้
หลังจากที่เรียนจบในระดับมัธยมศึกษา เขาได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยนิวออร์ลีนส์ ภาควิชาภาษาอังกฤษ แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก ในปี 2005 บ้านของคริสโตเฟอร์ในลุยเซียนาได้รับความเสียหายจากพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา ซึ่งเป็นหนึ่งในพายุที่สร้างความเสียหายร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน พายุลูกดังกล่าวได้พังทลายอุปกรณ์การอัดเพลงของเขาจนเสียหายทั้งหมด ทำให้เขาต้องย้ายกลับไปอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย เมืองลอสแอนเจลิส ในปี 2006 ที่นั่นเองทำให้เขาได้สานต่อเส้นทางดนตรีของตนเอง คริสโตเฟอร์ตัดสินใจหันหลังให้กับการเรียนและมุ่งไปในเส้นทางดนตรีอย่างแน่วแน่นับตั้งแต่นั้น
หลังจากเลือกก้าวเท้าเดินทางบนถนนสายดนตรีอย่างจริงจัง เช่นเดียวกับนักดนตรีหลาย ๆ คน เขาต้องการสร้างชื่อในวงการ คริสโตเฟอร์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์เรื่อง "Ocean's 11" ภาพยนตร์อาชญากรรมที่ออกฉายในปี 1960 นำแสดงโดย "The Rat Pack" หรือวงดนตรีแจ๊ซที่รวมตัวนักร้องแห่งยุคเข้าไว้ด้วยกัน โดยมีสมาชิกได้แก่ แฟรงก์ ซินาตร้า, ดีน มาร์ติน, แซมมี่ เดวิส จูเนียร์, ปีเตอร์ ลอว์ฟอร์ด และ โจอี้ บิชอป
แฟรงก์ ซินาตร้า รับบทเป็น แดนนี่ โอเชียน ชื่อ แฟรงก์ โอเชียน ของเขา จึงเป็นการนำชื่อนักแสดงมาต่อกับชื่อของหนังเรื่องนี้
Photo : warnerbros.fandom.com
แฟรงก์เริ่มมีชื่อเสียงเมื่อเดโม่เพลงของเขาไปเข้าหูโปรดิวเซอร์เพลงคนหนึ่ง ที่มีเส้นสายมากพอที่จะหางานให้เขาหาเลี้ยงตนเองได้ หลังจากนั้นแฟรงก์ได้เริ่มต้นจากการทำงานเป็น "Ghostwriter" หรือนักแต่งเพลงนิรนาม เขามักจะแต่งเพลงให้ศิลปินเบอร์ใหญ่อย่าง บียอนเซ่, จอห์น เลเจนด์ หรือแม้กระทั่ง จัสติน บีเบอร์ โดยที่ไม่ได้รับเครดิต ก่อนที่จะตัดสินใจเริ่มทำเพลงของตนเองอย่างจริงจัง
แฟรงก์ปล่อยมิกซ์เทปของตนเองออกมาในปี 2011 มีชื่อว่า "nostalgia, ULTRA" โดดเด่นด้วยแนวดนตรีที่มีส่วนผสมของป๊อป โซล อาร์แอนด์บี และอิเล็กโทร มิกซ์เทปดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ส่งผลให้เขาได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงฮิปฮอปยักษ์ใหญ่อย่าง Def Jam และเข็นอัลบั้มเดบิวต์ออกมาในชื่อว่า "channel ORANGE" ในปี 2012
ในช่วงเวลาของการโปรโมตอัลบั้มดังกล่าวนี้เอง แฟรงก์ได้เผยข้อความผ่านโน้ตที่โพสต์ในเว็บไซต์ Tumblr ของตนเองว่าเขานั้นเป็นไบเซ็กชวล เรื่องดังกล่าวสร้างความตกใจให้แก่แฟนเพลงและศิลปินในวงการฮิปฮอปจำนวนมาก มีทั้งคนที่สนับสนุนและไม่สนับสนุน อย่างไรก็ตามแฟรงก์ก็ได้รับความเคารพจากแฟนเพลงของเขาอย่างมหาศาล การกระทำของเขานับว่าเป็นเรื่องที่กล้าหาญในสายตาหลาย ๆ คน นอกเหนือไปกว่านั้น "channel ORANGE" ยังได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มแห่งปี อีกทั้งยังคว้ารางวัลอัลบั้มอาร์แอนด์บียอดเยี่ยมประจำปี 2013 ไปครองได้ด้วย
Photo : frankocean.tumblr.com
แฟรงก์ โอเชียน ได้กลายมาเป็นหนึ่งในศิลปินที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่แสดงตัวตนออกมาได้ชัดเจนที่สุด ความจริงใจของเขาที่ถูกส่งผ่านเนื้อหา ทำนอง อารมณ์ของเพลง กลายเป็นคุณสมบัติพิเศษที่สามารถเล่าเรื่องในเพลงออกมาได้แบบฉากต่อฉาก เหมือนกับภาพยนตร์ดราม่าน้ำดีเรื่องหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้เขาเป็นที่รักสำหรับแฟนเพลงจำนวนมาก และส่วนมากในฉากเหล่านั้นมักจะเต็มไปด้วยความทรงจำ ความรัก ที่เกิดขึ้นในรถเสียส่วนใหญ่
"1998, my family had that Acura. Oh, the legend. kept at least six this in the changer"
"ปี 1998 ครอบครัวของฉันมีแอคิวร่า คันนั้นมันเป็นตำนานเลย ต้องมีซีดีอย่างน้อย 6 แผ่นอยู่ในเครื่องเล่นแหละ"
เนื้อเพลงท่อนหนึ่งจากเพลง "Nights" แทร็กที่ 9 จากอัลบั้ม "Blonde" สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 3 ซึ่งในเพลงนี้ แฟรงก์ได้พูดถึงรถแอคิวร่าที่ครอบครัวของเขาเคยมี และพูดถึงเครื่องเล่นซีดีภายในรถที่เขามักจะได้ฟังเพลงกับแม่บ่อย ๆ ช่วงวัยเด็กที่อยู่ในนิวออร์ลีนส์
Photo : www.nytimes.com
เพลงดังกล่าว บอกเล่าเรื่องราวความทรงจำของเขาและความสัมพันธ์ที่ผ่านมาในอดีต รวมไปถึงเรื่องราวความยากลำบากที่เขาเคยเจอในแต่ละคืนที่ผ่านมาสมัยตอนที่ยังเป็นเด็ก และถึงแม้ว่าแฟนเพลงหลายคนของแฟรงก์ที่ได้ฟังเพลงนี้ จะไม่ได้มีภาพวัยเด็กที่เหมือนกันกับแฟรงก์แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เนื้อเพลงของเขาก็มัดทุกคนได้อยู่หมัดเสมือนอยู่ในเหตุการณ์นี้ไปด้วยยังไงอย่างงั้น
แฟรงก์ในวัยเด็กที่เคยฝันถึงรถมากมาย จนถึงตอนนี้เขาสามารถหาเงินมาซื้อรถเหล่านั้นได้ด้วยตนเองแล้ว เขาเป็นหนึ่งในศิลปินที่คลั่งไคล้ในเสน่ห์ของยานยนต์ แต่ความคลั่งไคล้นั้นถูกถ่ายทอดออกมาในฐานะเครื่องบันทึกความทรงจำของตัวเขาเองมากกว่าจะเป็นการนำมาอวดหรือ Flex ความรวยให้คนอื่นเห็นว่าเขามี
ตัวอย่างเช่น ในเพลง Ivy อีกหนึ่งเพลงจากอัลบั้ม Blonde
"We didn't give a fuck back then, I ain't a kid no more. We'll never be those kids again. We'd drive to Syd's, had the X6 back then"
"พวกเราแม่งไม่เคยสนใจอะไรเลย ฉันไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว เราจะไม่มีวันกลับไปเป็นเด็กได้อีก เราขับรถไปที่บ้านของซิด ตอนนั้นยังขับ X6 อยู่เลย"
เนื้อเพลงท่อนนี้พูดถึงเขากับเพื่อน ๆ ตอนที่ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็ก ไม่สนใจเรื่องรอบตัว เป็นวัยรุ่นที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เขาพูดถึงการขับ BMW X6 ไปที่บ้านของซิด นักร้องนำวง The Internet ที่เคยอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับเขาโดยใช้ชื่อว่า "Odd Future" กลุ่มดนตรีฮิปฮอปที่ประกอบไปด้วยสมาชิกหลายคน ซึ่งปัจจุบันก็ประสบความสำเร็จกันอย่างล้นหลาม ไม่ว่าจะเป็น Tyler, the Creator, Earl Sweatshirt, Domo Genesis หรือวง The Internet
Photo : www.latimes.com
ความรักที่มีต่อรถของแฟรงก์นั้น ค่อนข้างต่างออกไปจากศิลปินและแรปเปอร์คนอื่น ๆ ในขณะที่หลายคนมักจะลงเงินไปกับซูเปอร์คาร์ราคาแพงอย่าง แลมโบร์กินี เฟอร์รารี่ แต่แฟรงก์เลือกที่จะลงเงินไปกับรถ BMW วินเทจมากมาย ไม่ว่าจะเป็น 3 Series E30 ตัวถังสี่ประตู หรือ M3 E30 ที่ว่ากันว่าเป็นรถในฝันของเขา รุ่นเดียวกันกับที่อยู่บนหน้าปกของมิกซ์เทป "nostalgia, ULTRA" ผลงานแรกสุดของแฟรงก์ ซึ่งจริง ๆ แล้ว M3 สีส้มจากปกมิกซ์เทปดังกล่าวคันนี้ไม่ใช่รถของแฟรงก์ แต่เป็นรถของสมาชิกเว็บ Bimmerforums เว็บบอร์ดคนรัก BMW คนหนึ่งที่แฟรงก์บังเอิญไปเจอเข้า เป็นผู้ที่ใช้ชื่อว่า "Dricebrug"
แม้จะไม่มีหลักฐานว่า ทำไมแฟรงก์ต้องเลือกรถรุ่นดังกล่าวมาเป็นหน้าปกมิกซ์เทปของตนเอง นอกจากว่ามันเป็น "รถในฝัน" ของเขา แต่ BMW M3 คันนี้ก็อาจจะเป็นหนึ่งในรถที่เขาพบเห็นในนิตยสารที่แม่เขาชอบเปิดให้ดูตอนเด็ก ๆ ก็เป็นได้
BMW E30 เป็นรถยนต์เจเนอเรชั่นที่ 2 ของ BMW 3 Series (หรือที่คนไทยคุ้นหูในชื่อ ซีรีส์ 3) มีการผลิตอยู่ในช่วงปลายทศวรรษ 1980s ไปจนถึงกลางทศวรรษ 1990s เป็นรถเก๋งคลาสสิกที่มีทั้งตัวถังสองประตู, สี่ประตู, และ 5 ประตู
โดยตัวท็อปของ E30 มาในชื่อ M3 กับตัวถังสองประตูเป็นครั้งแรกใน 3 Series (E21 เจเนอเรชั่นแรกของ 3 Series ไม่มีรุ่น M3) ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์รหัส S14 2.3 ลิตร (ในช่วงแรก) และ 2.5 ลิตร (ในช่วงหลัง) เสริมสมรรถนะโดย BMW M แผนกมอเตอร์สปอร์ตใต้ชายคา เพื่อลงสนามแข่งตามกติกา Group A ที่รูปโฉมของรถแข่งต้องเหมือนกับรถที่ออกมาจากสายพานการผลิต แต่สามารถโมดิฟายเครื่องยนต์ ช่วงล่าง หรือเบรกได้
แม้กฎจะระบุว่า ต้องมีการผลิตรถแบบเดียวกันกับรถแข่งออกมาอย่างน้อย 2,500 คัน เพื่อให้ผ่านกฎ Homologation จึงสามารถนำมาลงแข่งได้ แต่ความสำเร็จของ M3 E30 ที่คว้าแชมป์ประจำปีในรายการต่าง ๆ มากมาย ทั้งแชมป์โลกทัวริ่งคาร์ 1 สมัย, แชมป์ทัวริ่งคาร์ยุโรป 2 สมัย, แชมป์ทัวริ่งคาร์สหราชอาณาจักร หรือ BTCC 2 สมัย, แชมป์ทัวริ่งคาร์อิตาลี 4 สมัย, และแชมป์ทัวริ่งคาร์ของเยอรมนี หรือ DTM 2 สมัย ทำให้ตลอดอายุขัยของ M3 E30 มีการผลิตออกมามากถึง 17,970 คัน
มีเรื่องเล่าจากอู่รถยนต์ในแอลแอที่แฟรงก์นำรถไปทำ ที่เปิดเผยกับทาง The New York Times แสดงให้เห็นว่าเขานั้นมีแพชชั่นกับเรื่องรถจริง ๆ เพราะหลังจากที่เขาได้ E30 ตัวถังสี่ประตูมาครอบครอง เจ้าตัวเอารถคันนี้ไปโมดิฟายและแปลงโฉมใหม่หลายอย่าง ตั้งแต่การย้ายตำแหน่งพวงมาลัยจากด้านซ้าย อันเป็นธรรมชาติของรถจากประเทศเยอรมนีถิ่นกำเนิดของ BMW รวมถึงสหรัฐอเมริกาบ้านเกิดของเขามาเป็นด้านขวา ซึ่งเป็นธรรมชาติของรถจากสหราชอาณาจักร, ญี่ปุ่น, และไทย โดยให้เหตุผลว่า "ก็ผมชอบแบบนี้"
ไม่เพียงเท่านั้น แฟรงก์ยังปรับแต่งรถให้มีน้ำหนักเบา และเสียงที่เงียบ ในสไตล์ "Sleeper" กล่าวคือ เป็นรถที่ดูผิวเผินอาจจะไม่มีอะไร แต่ความจริงแล้วคือแรงมากกว่าที่ตาเห็น ด้วยการโมดิฟายเครื่องยนต์ใหม่ให้มีความเงียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งแฟรงก์เองก็ไม่ได้บอกว่าเขาเลือกใช้เครื่องยนต์ตัวไหน สิ่งที่ The New York Times บอกคือ "มีโลหะสีดำขนาดใหญ่" (a piece of black metalwork) เท่านั้น
เขากล่าวกับ The New York Times แบบติดตลกว่า
"คุณจะไม่ได้ยินเสียงรถผมด้วยซ้ำ ผมอยากให้มันเงียบสุด ๆ ขนาดที่ถ้าผมขับรถไปจอดข้าง ๆ คุณก็จะไม่รู้สึกตัว และเมื่อไหร่ที่ไฟเขียว รู้ตัวอีกทีผมก็หายไปแล้ว"
Photo : www.scoopnest.com
แฟรงก์ชื่นชอบ BMW มาก และมีรถยี่ห้อนี้มากกว่า 1 คัน เพราะหลังจากที่เขาโมดิฟาย E30 ตัวถังสี่ประตูของเขาไม่นานนัก แฟรงก์ก็ตามหา M3 E30 มาครอบครองจนได้ และเปลี่ยนสีมันให้เป็นสีส้มเหมือนกับภาพรถของคนแปลกหน้าที่เขาเจอในอินเทอร์เน็ต โดยมีความแตกต่างกันตรงกระจกมองข้าง ที่ในปกอัลบั้มจะเป็นสีดำแต่ของแฟรงก์จะเป็นสีส้ม
หลังจากที่เขาได้รถรุ่นตำนานของ BMW มาครอบครองถึงสองคัน แฟรงก์ยังถอย M3 E90 สีส้มและ M5 F10 สีดำมาอีกอย่างละคัน เขาเคยให้สัมภาษณ์กับ Garagisme เกี่ยวกับความหลงใหลในรถของตนเองในปี 2013 ไว้ครั้งหนึ่งว่า เขายกตำแหน่งรถคันโปรด 3 อันดับแรก ให้แก่ M3 E90, E30 ตัวถังสี่ประตูที่เขาโมดิฟาย และ M5 F10 ซึ่งดูเหมือน M3 E30 ที่เขาได้มาและแต่งให้เป็นแบบเดียวกับปกอัลบั้ม จะเป็นรถคันโปรดอันดับ 4 ด้วยซ้ำ
อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ แทนที่แฟรงก์จะเป็นเพียงนักขับรถแพงคนหนึ่ง ในทางกลับกันเขาได้กลายมาเป็นนักยำรถตัวยง และรถดังกล่าวยังเป็นรถยี่ห้อโปรดของเขาด้วย เพราะสำหรับเขาแล้ว รถนั้นเป็นมากกว่ายานพาหนะ ตัวตนที่ลึกลับของแฟรงก์แทบจะถูกถ่ายทอดออกมาผ่านรถทั้งสิ้น
แฟรงก์ไม่เคยเปิดเผยว่าตัวเองมีรถทั้งหมดกี่คัน เพราะเขาถือเรื่องความเป็นส่วนตัวค่อนข้างสูง แต่ก็มีแฟนเพลงหลายคนที่ให้ความสนใจกับเรื่องดังกล่าว มีการสังเกตจากรูปถ่ายผ่านเพื่อนของเขาหรือรูปภาพเก่า ๆ ว่ากันว่าตอนนี้เขามี BMW ประมาณ 5 คัน อีกทั้งยังมี แม็คลาเรน และ "เฟอร์รารี่สีขาว" ที่ได้กลายมาเป็นชื่อเพลงในอัลบั้มของเขาด้วย ในเพลงชื่อ "White Ferrari" ซึ่งเพลงดังกล่าวก็ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องเช่นเดิม อย่างท่อนที่มีความว่า
"Bad luck to talk on these rides. Mind on the road, your dilated eyes watch the clouds float. White Ferrari, had a good time"
"โชคไม่ค่อยดีที่ต้องมาคุยกันในตอนขับรถ จดจ่ออยู่กับถนน ม่านตาของคุณกำลังขยาย มองไปยังก้อนเมฆที่ล่องลอย เฟอร์รารี่สีขาว เรากำลังมีช่วงเวลาที่ดี"
Photo : urbanislandz.com
เฟอร์รารี่สีขาวของแฟรงก์เป็นเครื่องหมายของความบริสุทธิ์ และในขณะเดียวกันก็หมายถึงโคเคน เขากำลังบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์และความสนุกในอดีต ความรักของแฟรงก์ที่มีต่อรถยังสะท้อนออกมาผ่านโน้ตที่เขาบันทึกไว้ในนิตยสารของตนเองที่ชื่อ Boys Don't Cry อีกมากมาย ซึ่งเป็นข้อความขนาดยาวที่เขาถ่ายทอดออกมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเขา ข้อความตัวอย่างจากนิตยสารได้แก่
"ช่วงชีวิตที่ผ่านมาของผมส่วนใหญ่เกิดขึ้นในรถอย่างงั้นเหรอ ? ผมสงสัยด้วยว่ามันจะมีโอกาสแค่ไหนที่ผมจะตายในรถ ?"
"เราอาศัยอยู่ในรถบ้างในบางเมือง เดินทางข้ามผ่านแต่ละพื้นที่เพื่อทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา เผาผลาญพลังงานฟอสซิลเพื่อความสนุกสนาน"
"เป็นเวลาปีกว่าแล้วที่ผมย้ายมาอยู่ลอนดอน ในขณะที่กำลังเขียนข้อความนี้ผมไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องขับรถในเมือง ผมเพิ่งจะซื้อ GT3 RS ไป แล้วไมล์ของมันก็ยังไม่เยอะเลย แต่ผมคิดว่ามีไว้เผื่อในกรณีฉุกเฉินก็ดีเหมือนกัน"
แม้ส่วนมากจะเป็นการพรรณนาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาไปเรื่อย ๆ โดยมักจะสอดแทรกเรื่องรถเข้ามา แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ข้อความเหล่านั้นมีความลึกซึ้งมากกว่าแค่เรื่องความชอบในรถของเขา และมันยังเป็นภาพแทนของการพยายามที่จะแหกขนบเรื่องเพศที่ถูกสังคมจำกัดเอาไว้ด้วย
Photo : straightfromthea.com
"ครั้งหนึ่ง ราฟ ไซม่อนส์ เคยบอกกับผมว่า การที่ผมหลงใหลในเรื่องรถนั้นเป็นเรื่องสุดจะคลิเช่ (ซ้ำซากน่าเบื่อ) บางทีมันอาจจะเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกส่วนลึกของผม ที่เป็นเด็กผู้ชายเถรตรง ลึก ๆ แล้วผมไม่อยากให้มันเถรตรงแบบนั้น บางทีให้มันโค้งอ่อนบ้างก็ดีเหมือนกัน"
ในข้อความดังกล่าว แฟรงก์ได้พูดถึงตอนที่ ราฟ ไซม่อนส์ ดีไซเนอร์ชื่อดังที่เคยบอกกับเขาเกี่ยวกับเรื่องความหลงใหลของเขาที่มีต่อรถ แฟรงก์ยกเรื่องเพศขึ้นมาเปรียบเทียบกับรถที่เป็นสัญลักษณ์ของของความเป็นชายและเล่นคำกับคำว่า "Straight" ที่มีความหมายว่า "ตรง" หรือสามารถหมายถึงคนที่ชอบเพศตรงข้ามได้เช่นกัน
แฟรงก์พูดว่า เขาไม่อยากให้มันตรง ถ้ามันโค้งบ้างสักหน่อยก็น่าจะดี ซึ่งนั่นมีความหมายแฝงว่า เขาไม่ได้มีความดึงดูดต่อเพศตรงข้าม ในทางกลับกัน การโค้งในที่นี้ของเขาจึงหมายถึงความสนใจต่อผู้คนในเชิงรักใคร่ ที่ไม่จำกัดเพศแต่อย่างใด ซึ่งอัลบั้มและผลงานของเขาก็พูดถึงเรื่องความสนใจทั้งในตัวผู้หญิงและผู้ชาย
หากมองอย่างผิวเผิน แฟรงก์ โอเชียน อาจเป็นเพียงศิลปินที่เป็นเนิร์ดรถยนต์คนหนึ่ง แต่ความจริงแล้วเขาอาจจะเป็นเนิร์ดรถยนต์ที่เป็นศิลปินต่างหาก สิ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นขึ้นมา คือวิธีการที่เขาสื่อสารกับแฟนเพลงและความละเอียดในการทำงานของเขา ที่เปลี่ยนความรักที่มีต่อรถของเขาให้กลายเป็นวัตถุดิบในการเขียนเพลง นี่ยิ่งทำให้ข้อความเหล่านั้นดูมีคุณค่าขึ้นไปอีก
Photo : www.gq.com
การพูดถึงรถของแฟรงก์ไม่ใช่การพูดถึงในเชิงโอ้อวด อาจมีบ้างที่เขาอยากเล่าเรื่องไลฟ์สไตล์ของตนเอง แต่ยานยนต์เหล่านี้คงอยู่กับเขาในฐานะความทรงจำด้วย ยังมีเพลงที่เขาพูดถึงรถอีกมากมายที่เราไม่ได้พูดถึงในที่นี้ คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ เราอยากให้ผู้อ่านลองไปฟังเพลงของเขาดูสักครั้ง แล้วคุณจะทราบได้ถึงความแตกต่างของแฟรงก์กับศิลปินคนอื่นอย่างชัดเจน
ปัจจุบัน แฟรงก์ โอเชียน ยังคงปรากฏตัวต่อสื่อน้อยเช่นเคย แต่เขาก็ได้ไปร่วมงาน Met Gala ประจำปี 2021 เมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา ได้โผล่หน้ามาให้แฟน ๆ หายคิดถึงได้บ้าง อีกทั้งตอนนี้เขายังเริ่มเดินหน้าธุรกิจทำเครื่องประดับหรูหราของตนเองที่มีชื่อว่า "Homer" ด้วย แต่ยังคงไร้วี่แววของอัลบั้มใหม่แต่อย่างใด ตั้งแต่เขาปล่อย "Blonde" อัลบั้มล่าสุดออกมาไปในปี 2016 และมีซิงเกิ้ลเพลงออกมาบ้างประปราย
อย่างไรก็ตาม เป็นที่ยืนยันแล้วว่าแฟรงก์จะหวนคืนสู่วงการดนตรีอีกครั้งในปี 2023 ในฐานะเฮดไลน์ของเทศกาลดนตรี Coalchella จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะปล่อยอัลบั้มใหม่ออกมาให้แฟน ๆ ได้ฟังกันหรือไม่ ? และรถคันไหนจะได้ทำหน้าที่ในการเล่าเรื่องราวสุดลึกซึ้งของเขาอีก เราก็ต้องมาลุ้นกัน
แหล่งอ้างอิง :
https://ateliereaurouge.com/frank-ocean-car-collection/#the-first-cars-of-frank-ocean-car-collection
https://frankocean.tumblr.com/image/26473798723
https://genius.com/10264788
https://genius.com/10267410
https://genius.com/Frank-ocean-white-ferrari-lyrics
https://jalopnik.com/frank-ocean-is-building-a-monstrous-sleeper-bmw-e30-5982896
https://www.allmusic.com/artist/frank-ocean-mn0002592086/biography
https://www.garagisme.com/posts/frank-ocean-tite
https://www.gq.com/story/frank-ocean-is-a-long-time-car-snob
https://www.lamag.com/culturefiles/detailed-analysis-every-single-car-frank-ocean-names-new-albums/
https://www.thefader.com/2016/08/20/frank-ocean-boys-dont-cry-spread-essay
https://www.youtube.com/watch?v=sFvkp18W_Tg