News

ทำไม? "ตะกร้อชายไทย" ล้มเหลวบนเวที "ซีเกมส์ 2025" | Main Stand

จากการคว้าเพียง 1 เหรียญเงิน จากทีมชุดชาย กับ 2 เหรียญทองแดง จาก ทีม 4 คนชาย และ ทีมเดี่ยวชาย นับเป็นความล้มเหลวของ "ทีมเซปักตะกร้อชายทีมชาติไทย" แบบที่ยากจะปฏิเสธได้

 


ตลอด 2 ทศวรรษ ที่ผ่านมา การพลาดทุกเหรียญทองในกีฬาซีเกมส์ ของทัพเซปักตะกร้อชายไทย เกิดขึ้นครั้งสุดท้าย ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในซีเกมส์ 2005 ที่ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เพราะครั้งนั้นมีชิงชัยแค่ "ทีมเดี่ยวชาย" เหรียญเดียวเท่านั้น

จากผลงานดังกล่าว สะท้อนออกมาแล้วว่า "ความยิ่งใหญ่ในอดีต" ไม่อาจปกป้อง "ปัจจุบัน" ได้อีกต่อไป แม้ว่าที่ผ่านมา "ซีเกมส์" คือเวทีที่ทีมเซปักตะกร้อชายไทย ยืนอยู่บนจุดสูงสุดมาอย่างยาวนาน และ "เหรียญทอง" แทบถูกประทับตราจองไว้ล่วงหน้ามาโดยตลอดในทุกอีเวนต์

ขณะเดียวกัน ผลงานใน ซีเกมส์ 2025 ไม่ได้สะท้อนแค่ฟอร์มในสนาม แต่ทำให้เกิดคำถามมากมายในวงกว้างว่า เกิดอะไรขึ้นกับ "ตะกร้อไทย"?

 

ยึดติดกับความสำเร็จ มากกว่า การพัฒนา

ที่ผ่านมา "ทีมเซปักตะกร้อชายไทย" ทำผลงานสร้างความสำเร็จมาอย่างยาวนานต่อเนื่องหลายทศวรรษ เป็นรากฐานของความภาคภูมิใจ จนทำให้เกิดหลุมพลางที่ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงขั้นมีคนเคยพูดว่า "ตะกร้อชายไทย ใครคุมก็ได้ 'แชมป์'"

ทำให้ "สมาคมกีฬาตะกร้อฯ" ยังคงเชื่อว่า วิธีเดิม ๆ ยังใช้ได้ นั่นคือการดึง "นักกีฬาหัวกะทิ" มาอยู่ในแคมป์เก็บตัวนาน ๆ 6-9 เดือน และใช้เวที "คิงส์คัพ" เป็นตัวชี้วัดมาตรฐานของนักกีฬาตัวเองเท่านั้น

ทว่าในทางกลับกัน บรรดาชาติต่างๆ ที่เป็นคู่แข่งสำคัญอย่าง มาเลเซีย, เวียดนาม หรือ กระทั่ง ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ไม่เคยหยุดนิ่งในการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็น การมีเวทีให้กับนักกีฬาได้ลงแข่งขันมากมาย หรือ การนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยพัฒนานักกีฬาอย่างต่อเนื่อง

และนี่คือเหตุประการแรกของความล้มเหลวในซีเกมส์หนนี้

 

ตะกร้อลีกที่หายไป … ทำให้ไทยขาดบุคลากรนักตะกร้อขึ้นมาต่อยอด

แน่นอน "หัวใจ" ของกีฬายุคใหม่ ไม่ใช่แค่ "ทีมชาติ" แต่คือ "ระบบกีฬาอาชีพ" ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา ประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะ "มาเลเซีย" สร้างลีกอาชีพที่มีการแข่งขันจริง ทั้งมีถ่ายทอดสด มีผู้ชม และมีเงินหมุนเวียน จนสามารถพัฒนานักกีฬา

แต่ในขณะเดียวกัน เวทีการแข่งขัน "ตะกร้อไทยแลนด์ลีก" ลีกอาชีพของไทยขาดความต่อเนื่อง หยุดแข่งขันไปหลายปี ทำให้ "นักกีฬาไทย" ไม่มีเวทีแข่งขันระดับสูงให้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ จนทำให้ฟอร์มการเล่น ความสด และการรับมือกับแรงกดดันในเกมการแข่งขันระดับสูง ย่อมด้อยกว่า ชาติคู่แข่งสำคัญแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหลายคน ต้องไปค้าแข้งในลีกมาเลเซียแทน

ดังนั้นการหายไปของ "ตะกร้อไทยแลนด์ลีก" จึงกลายเป็นรูโหว่ช่องใหญ่ … จนทำให้นักตะกร้อไทยขาดการพัฒนา

 

นักกีฬาเยอะ แต่ระบบพัฒนา “เยาวชน” ที่ไม่ชัดเจน

คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่า ประเทศไทย มีบุคลากรนักกีฬาตะกร้อในระดับเยาวชนมากกว่าทุกชาติ แต่ทว่าที่ผ่านมา สมาคมกีฬาตะกร้อฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ ไม่เคยมีแผนการพัฒนานักกีฬาเยาวชนที่ชัดเจน

ทั้งเรื่องรายการแข่งขันที่แทบไม่มี โดย นักกีฬาเยาวชน จะได้มีโอกาสแข่งขันเกมระดับประเทศ ก็ต้องรอการแข่งขัน กีฬาเยาวชนแห่งชาติ หรือ กีฬานักเรียน เท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องงบประมาณในการพัฒนาเยาวชน เพราะ โรงเรียน หรือ สโมสรสมาชิก ของสมาคมฯ ที่มี นักกีฬาเยาวชน แทบไม่เคยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงาน หรือ องค์กร ที่ดูแลเท่าที่ควร

ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อนักกีฬาเยาวชนเหล่านี้ไม่มีเวทีที่จะไปต่อยอด เพราะไม่มีลีกอาชีพ ทำให้หลายคนต้องเลิกเล่นไปก่อน ที่ผ่านมา ไทยจึงแทบไม่มีนักกีฬาขึ้นมาต่อยอด ขณะเดียวกัน ปัจจุบันเรายังเห็นนักกีฬาอายุ 30 ปลาย ๆ เล่นอยู่ในทีมชาติไทย ชุดปัจจุบัน

 

รู้แต่เรา ... ไม่รู้เขา แถมเขาดันรู้เรา … แบบหมดไส้หมดพุง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา วงการกีฬาตะกร้อ มีการยกระดับขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาช่วยในการพัฒนา โดยเฉพาะคู่แข่งสำคัญอย่าง มาเลเซีย ที่มีการเริ่มเก็บข้อมูลนักกีฬาของ "ตัวเอง" และ "คู่แข่ง" ทุกชาติในทุกการแข่งขันระดับนานาชาติ

มาเลเซีย ยอมลงทุนสร้างทีมสเกาต์กว่า 10 ชีวิต พร้อมใช้เทคโนโลยีเพื่อเก็บข้อมูลและศึกษาวิธีการเล่นของไทย แบบละเอียดยิบในทุกมิติ จนทำให้กลายเป็นข้อได้เปรียบของมาเลเซีย ที่มีเหนือไทย แบบชัดเจน

ผิดกับฝั่งไทย ที่ยังชะล่าใจ … และยึดติดกับความสามารถนักกีฬาเป็นหลักเท่านั้น

 

กติกาใหม่ ทำให้การแข่งขันสูสีมากขึ้น

เมื่อ สหพันธ์ตะกร้อนานาชาติ หรือ ISTAF นำกติกาใหม่มาใช้ คือ ระบบ 15 คะแนน ผลัดกันเสิร์ฟทีละลูก (จากเดิม 21 คะแนน ผลัดกันเสิร์ฟทีมละ 3 ครั้ง) ทำให้การแข่งขันสั้นลง เกมเสิร์ฟ และ เกมรับ มีความสำคัญเท่ากัน ทุกทีมสามารถสร้างจุดเปลี่ยนเพียงแค่ชั่วพริบตา

นอกจากนี้ "ไหวพริบ" ของ "ผู้ฝึกสอน" ในการแก้เกมยังสำคัญมาก เพราะเมื่อเกมสั้น การตัดสินใจจึงต้องรวดเร็ว นอกจากนี้เทคโนโลยีระบบชาเลนจ์ต่าง ๆ ของกีฬาตะกร้อ ยังช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงของเกมได้ หากแม่นกติกา ก็ สามารถ รักษาผลประโยชน์ของทีมได้ไม่ยากอีกด้วย

สะท้อนกลับไปอีกว่า การที่มีเวทีการแข่งขันน้อย และไม่มีเกมการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักกีฬาไม่สามารถสร้างความคุ้นเคย ให้เข้ากับกติกาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

 

บทสรุป : ความล้มเหลวที่ไม่ควรมองข้าม

จากทุกเรื่องราวที่เอ่ย ทีมเซปักตะกร้อไทย คงต้องยอมรับว่า "ความล้มเหลว" ที่เกิดขึ้นในซีเกมส์ 2025 นั้นไม่ได้ล้มเหลวเพราะนักกีฬาไม่เก่ง แต่ล้มเหลว เพราะระบบที่ไม่เอื้อมากกว่า

ฉะนั้น เราจงยอมรับความจริง และเปลี่ยนโครงสร้างวันนี้ หรือจะรอให้ความล้มเหลว กลายเป็นเรื่องปกติในอนาคตต่อไป

เพราะในโลกกีฬา ไม่มีความยิ่งใหญ่ใด … อยู่ได้ด้วยอดีตเพียงอย่างเดียว

Author

Main Stand

Stand ForAll สื่อกีฬาที่เข้าถึงทุกคน