News

เปิดประวัติ และความสำคัญ “ซีเกมส์” มหกรรมกีฬาชาวอาเซียน

การแข่งขันซีเกมส์ มหกรรมกีฬาที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดของภูมิภาคอาเซียน เดินทางมาถึงครั้งที่ 33  พร้อมบรรยากาศความคึกคักที่กลับมาสู่แผ่นดินไทยอีกครั้งในรอบหลายปี พิธีเปิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมาได้ประกาศให้ทั่วทั้งภูมิภาครู้แล้วว่ากีฬาที่หลายคนเฝ้ารอในทุก ๆ สองปี ได้กลับมาเปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม ยังมีแฟนกีฬาจำนวนไม่น้อยที่อาจยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว “ซีเกมส์คืออะไร” ทำไมจึงมีความสำคัญต่ออาเซียน และเหตุใดทุกประเทศจึงอยากเป็นเจ้าภาพ และลุ้นคว้าเหรียญทองในทุกสมัย Main Stand จะพาคุณไปหาคำตอบ…

 

จุดกำเนิด “ซีเกมส์”

หากย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2502 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คำว่า “อาเซียน” ยังไม่ถือกำเนิด ประเทศไทย เวียดนามใต้ (เวียดนาม) ลาว (สปป.ลาว) พม่า (เมียนมา) กัมพูชา และมลายา (มาเลเซียในปัจจุบัน) ได้ร่วมกันจัดตั้ง “สหพันธ์กีฬาแหลมทอง” และตกลงว่าจะจัดการแข่งขันกีฬาระหว่างภูมิภาคขึ้นทุกสองปี ในชื่อ “กีฬาแหลมทอง” หรือ “เซียปเกมส์”

การแข่งขันครั้งแรกจัดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 12–17 ธันวาคม พ.ศ. 2502 ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ และนักกีฬาจากประเทศไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม สปป.ลาว และเมียนมา รวมทั้งสิ้น 527 คน เข้าร่วมแข่งขันใน 12 ชนิดกีฬา แม้ไม่ใหญ่โตมากนัก แต่ก็เพียงพอที่จะวางรากฐานให้กับมหกรรมกีฬาของชาวอาเซียน ก่อนที่กัมพูชาจะเข้าร่วมเป็นครั้งแรกในกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ. 2504

ต่อมาในปี พ.ศ. 2520 กีฬาแหลมทองได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ซีเกมส์” หรือชื่อเต็มว่า Southeast Asian Games (SEA Games) พร้อมมีมติรับ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน เข้าเป็นสมาชิกและกรรมการสมาพันธ์อย่างเป็นทางการ ทั้ง 3 ประเทศ จึงได้เข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรกในซีเกมส์ครั้งที่ 9 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และในปี พ.ศ. 2546 สมาพันธ์ฯ ยังมีมติรับติมอร์–เลสเต เข้าร่วมการแข่งขันเป็นครั้งแรกในซีเกมส์ครั้งที่ 22 ที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม

จากนั้น ซีเกมส์ก็ได้รับการจัดแข่งขันมาอย่างต่อเนื่อง ทั้ง 11 ชาติ วนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ ซึ่งประเทศไทย เคยรับเป็นเจ้าภาพมาแล้ว 7 ครั้ง ประกอบด้วย ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2502 ครั้งที่ 4 พ.ศ. 2510 ,ครั้งที่ 8 พ.ศ. 2518 ,ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2528, ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2538 ,ครั้งที่ 24 พ.ศ. 2550 และในปัจจุบัน ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568

 

เอกลักษณ์ มหกรรมกีฬาชาวอาเซียน

แต่เดิมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์จัดขึ้นด้วยจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน และยกระดับมาตรฐานกีฬาในภูมิภาค แต่ในเมื่อ “กีฬา = การแข่งขัน” ซีเกมส์จึงกลายเป็นอีกหนึ่งเวทีที่ทุกชาติอยากก้าวขึ้นเป็นที่หนึ่ง และใช้โอกาสนี้ในการแสดงศักยภาพ ความพร้อม และภาพลักษณ์ของประเทศต่อสายตาชาวภูมิภาค

ด้วยเหตุนี้ เมื่อประเทศใดได้รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ ก็ย่อมเต็มที่กับทุกองค์ประกอบของการจัดงาน ไม่ยอมน้อยหน้าใคร เช่นเดียวกับการกำหนดชนิดกีฬาที่จะบรรจุลงแข่งขัน โดยเฉพาะ “กีฬาพื้นบ้าน” ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญของซีเกมส์ และมักเป็นชนิดกีฬาที่เปิดโอกาสให้เจ้าภาพได้ลุ้นเหรียญรางวัลมากเป็นพิเศษ

อย่างเช่น กีฬาชัตเติลค็อก กีฬาที่ผสมผสานกันระหว่าง เซปักตะกร้อ กับ แบดมินตัน ด้วยการใช้เท้าเตะ และทำแต้มด้วยการส่งลูก “ขนไก่” ลงไปยังแดนของอีกฝั่ง เพื่อได้แต้ม กีฬาชนิดนี้บรรจุในโควตากีฬาพื้นบ้านของ สปป. ลาว ในซีเกมส์ปี 2009 หรือจะเป็นกีฬาอาร์นิส เป็นการแข่งขัน ที่คนสองคนถืออุปกรณ์คล้ายไม้คนละอัน จากนั้นก็ไล่เคาะหัวกันไปมา ซึ่งจัดขึ้นที่ซีเกมส์ 2019 ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งหากดูจากชื่อและรูปแบบการเล่น หลายคนในไทยอาจไม่คุ้นเคยเลยด้วยซ้ำ แต่นี่คือเสน่ห์ และเอกลักษณ์ของซีเกมส์ มหกรรมที่เปิดพื้นที่ให้แต่ละชาติได้แสดงตัวตนผ่านกีฬาพื้นบ้านของตัวเองอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ ซีเกมส์ยังเป็นเวทีสะท้อน ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของอาเซียน ผ่านการจัดการแข่งขัน และที่เด่นชัดคือช่วงพิธีเปิด–ปิดที่ทุกชาติต่างนำศิลปะ ประเพณี และอัตลักษณ์ของตัวเองมาโชว์อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงพื้นเมือง ดนตรีประจำชาติ หรือสัญลักษณ์ความเชื่อของแต่ละประเทศ ทำให้ซีเกมส์เป็นมากกว่าการแข่งขันกีฬา แต่เป็น “วัฒนธรรมโชว์เคส” ของทั้งภูมิภาค

 

ความสำคัญ และเวทีแจ้งเกิดนักกีฬา

การแข่งขันซีเกมส์ถือเป็นมหกรรมกีฬาที่มีความสำคัญ เพราะนี่คือเวทีแจ้งเกิดของนักกีฬาในภูมิภาค เป็นสนามแรก ๆ ที่เปิดโอกาสให้นักกีฬาหน้าใหม่ได้พิสูจน์ฝีมือเก็บประสบการณ์กับมหกรรมกีฬา ก่อนก้าวไปสู่ในระดับต่อไป อย่างเช่น เอเชียนเกมส์หรือโอลิมปิก

อย่างที่หลายคนทราบดีว่าซีเกมส์เป็นการแข่งขันที่ไม่จำเป็นต้องมีรอบคัดเลือก หรือการควอลิฟายเหมือนเอเชียนเกมส์ หรือโอลิมปิก ทำให้เวทีนี้กลายเป็น “จุดเริ่มต้นที่แท้จริง” ของเหล่านักกีฬาจากทุกชาติในอาเซียน และเป็นพื้นที่ที่เปิดกว้างให้ผู้เล่นรุ่นใหม่ได้สัมผัสประสบการณ์ระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริง

ยกตัวอย่างเช่น สมจิตร จงจอหอ อดีตนักกีฬามวยสากลทีมชาติไทย ที่ใช้เวทีซีเกมส์เป็นเวทีแจ้งเกิด ด้วยการคว้าเหรียญทองมากมาย ก่อนจะก้าวไปคว้าเหรียญทองในเอเชียนเกมส์และโอลิมปิกเกมส์ จนกลายเป็นที่รู้จักของคนไทยอย่างกว้างขวาง หรือจะเป็น พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ อดีตนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย เจ้าของ 2 เหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ ก็มีซีเกมส์ เป็นมหกรรมกีฬาแรกที่เธอคว้าเหรียญทอง เช่นกัน

อีกหนึ่งสิ่งสำคัญของซีเกมส์คือ การแสดงรากฐานของกีฬาประเทศนั้น ๆ เวทีนี้ชี้ชัดว่าประเทศใดมีนักกีฬาที่พร้อมมากเพียงใด ทั้งในด้านทักษะและประสบการณ์ ก่อนจะต่อยอดสู่การแข่งขันในระดับที่สูงขึ้น รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการ และความพร้อมของแต่ละประเทศในการเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาที่ใหญ่ขึ้นอย่างเอเชียนเกมส์ และโอลิมปิกเกมส์อีกด้วย

ซึ่งทั้งหมด คือ ซีเกมส์ มหกรรมกีฬาของชาวอาเซียน ที่มีเรื่องราว และความสำคัญมากกว่าการแข่งขันเพื่อชิงเหรียญทอง มันยังเป็นเวทีที่สะท้อนศักยภาพของนักกีฬา แสดงรากฐานกีฬา และเผยให้เห็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของแต่ละชาติในภูมิภาค ที่แฟนกีฬาจะได้เฝ้าติดตามเชียร์ทุก ๆ สองปี

Author

ดิถดนัย สิริประทีปสุข

อดีตนักบอล ปัจจุบันนักข่าว

Graphic

สรัช สวัสดีแป้น

ออกแบบภาพ กราฟิก Main Stand