เป็นเวลากว่าทศวรรษแล้วที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องเผชิญกับช่วงเวลาอันยากลำบากในการกลับมาครองแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้ง หลังจากการอำลาของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในปี 2013 สโมสรที่เคยเป็นมหาอำนาจของฟุตบอลอังกฤษ ต้องดิ้นรนเพื่อกลับไปสู่จุดสูงสุด และนี่คือที่มาของคำว่า "Mission 21" หรือ ภารกิจล่าแชมป์ลีกสมัยที่ 21
"Mission 21" เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "Project 150" ซึ่งเป็นแผนพัฒนา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในระยะยาวเพื่อเตรียมฉลองครบรอบ 150 ปีของสโมสรในปี 2028 ไม่เพียงแต่ทีมชายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทีมหญิงด้วย โดยเป้าหมายของทีมหญิง คือการคว้าแชมป์ Women’s Super League ให้ได้เป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อโครงการ "Mission 1"
ในแผนการ "Mission 21" ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการพาทีมกลับไปล่าแชมป์อีกครั้ง และแน่นอนว่า นั่นคือสิ่งที่ทุกคนหวังและใฝ่ฝัน แต่ในโลกฟุตบอล สิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้คือผลการแข่งขันหรือความสำเร็จในสนาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องพึ่งพาหลายปัจจัย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สโมสรสามารถควบคุมได้อย่างเต็มที่ และสามารถเห็นผลได้ในระยะยาวคือการปรับปรุงและพัฒนาภายในสโมสรในหลายด้านที่สำคัญ ทั้งในแง่ของการบริหาร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกกระบวนการที่
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เริ่มต้นปรับปรุง Carrington Training Complex ศูนย์ฝึกซ้อมหลักของสโมสรให้ทันสมัย และพร้อมรองรับการพัฒนาศักยภาพของนักเตะอย่างเต็มที่ มีการติดตั้งเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น GPS tracking systems, AI-driven analytics, และ recovery pods เพื่อช่วยในการวิเคราะห์และปรับปรุงการฝึกซ้อมของนักเตะได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้ยังมีการวางแผนพัฒนา โอลด์ แทรฟฟอร์ด สนามแข่งขัน ให้มีมาตรฐานสูงขึ้นและสามารถรองรับการเติบโตของสโมสรในอนาคต โดยจะมีการอัปเกรดที่นั่งและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของแฟนบอลและให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ระดับโลกของสโมสร ซึ่งแนวโน้มตอนนี้ คือการสร้างสนามแข่งใหม่ในพื้นที่เดิม
เบื้องหลังของภารกิจนี้คือ เซอร์ เดฟ เบรลส์ฟอร์ด ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬาของ INEOS ผู้ซึ่งเข้ามากำหนดแนวทางการพัฒนาทีม นับตั้งแต่ที่ เซอร์ จิม แรทคลิฟฟ์ ประธาน INEOS เข้ามาซื้อหุ้นของสโมสร โดยก่อนหน้านี้ เบรลส์ฟอร์ด สร้างชื่อเสียงในวงการจักรยานระดับโลก ด้วยปรัชญา "Marginal Gains" หรือ "การพัฒนาทีละเล็กละน้อยแต่ต่อเนื่อง" ซึ่งเป็นแนวคิดที่นำมาใช้ในการยกระดับมาตรฐานของ แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยเช่นกัน
เบรลส์ฟอร์ด นำแนวคิดการพัฒนาทีละเล็กละน้อยแต่ต่อเนื่อง เข้ามาเป็นหัวใจของ "Mission 21" โดยครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น
- โภชนาการและสมรรถภาพร่างกาย
- การฝึกซ้อมที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
- เทคโนโลยีการวิเคราะห์ข้อมูล
- การปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทันสมัย
เพื่อให้ "Mission 21" มีประสิทธิภาพสูงสุด เซอร์ เดฟ เบรลส์ฟอร์ด ได้ดึงตัว เจมส์ มอร์ตัน ศาสตราจารย์ด้านเมแทบอลิซึมการออกกำลังกายจาก มหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล จอห์น มัวร์ส มาร่วมเป็นที่ปรึกษาหลักด้านสมรรถภาพและโภชนาการ โดยเขาเป็นอดีตหัวหน้าฝ่ายโภชนาการและสมรรถภาพทางกายของ Team Sky ในช่วงที่พวกเขาครองความยิ่งใหญ่บนเวที ตูร์ เดอ ฟรองซ์ และเคยร่วมงานกับ ลิเวอร์พูล คู่ปรับของปีศาจแดงมาด้วยเช่นกัน
เบรลส์ฟอร์ด ยังมีเหล่าทีมผู้บริหารมือฉมังที่จะร่วมมือกันทำ Mission 21 ให้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น
- โอมาร์ เบอร์ราดา (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร) อดีตผู้บริหารมือดีจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้
- เจสัน วิลค็อกซ์ (ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค) ผู้เคยสร้างระบบพัฒนาเยาวชนที่แข็งแกร่งให้เซาธ์แฮมป์ตัน
- โคเล็ตต์ โรช (ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ) ที่ดูแลเรื่องการบริหารจัดการโครงสร้างสโมสร
ทั้งหมดกำลังเดินหน้าปรับโครงสร้างใหม่ เพื่อให้ยูไนเต็ดกลับมายิ่งใหญ่เหมือนในยุคทองของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
แม้ว่าผลงานของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2024-25 อาจยังไม่เป็นไปตามความคาดหวัง แต่ "Mission 21" แสดงให้เห็นว่าสโมสรไม่ได้มองแค่การแก้ปัญหาระยะสั้น พวกเขากำลังสร้างรากฐานที่มั่นคงเพื่อให้ความสำเร็จกลับมาอย่างยั่งยืน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทีมบริหาร และแนวทางพัฒนานักเตะเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเจ้าของใหม่ที่ต้องการคืนสิ่งที่ควรจะเป็นให้กับสโมสร
ไม่ใช่แค่การลุ้นพื้นที่ท็อปโฟร์หรือแชมป์บอลถ้วย แต่เป็นการกลับมาทวงบัลลังก์พรีเมียร์ลีกที่พวกเขาเคยครองมายาวนาน หากทุกอย่างดำเนินไปตามแผนที่วางไว้ ยูไนเต็ด อาจไม่ต้องรอนานเกินไปที่แฟนบอลจะได้เห็นทีมรักของพวกเขากลับมายืนบนจุดสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษอีกครั้ง
