“โรคกลัวเกาหลีเกิดจากทักษะที่สู้ไม่ได้ แต่ตอนนี้ช่องว่างมันแคบลงมาก หากสภาพจิตใจเราดีขึ้น ทีมของเราก็จะชนะโรคกลัวเกาหลีได้” ลี่ เสี่ยวหัว ประธานสมาคมฟุตบอลจีน กล่าวให้ขวัญกำลังใจแก่นักเตะทีมชาติจีนก่อนลงสนามเจอ เกาหลีใต้ ในศึก EAFF เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2010 ก่อนแข้งมังกรจะเล่นใหญ่อัดโสมขาวไป 3-0
ผลที่ว่านับเป็นการเอาชนะเกาหลีใต้ได้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมชาติจีน หลังก่อนหน้าตั้งแต่เจอกันครั้งแรกในปี 1978 ทัพโสมขาวชนะไป 16 เสมอ 11 และไร้พ่าย ซึ่งจากวันนั้นกระแสฟุตบอลในจีนก็แรงขึ้นมาแล้วก็ค่อย ๆ จางหายกลับไปเป็นหมูในอวยให้ เกาหลีใต้ ตบคว่ำเหมือนเดิมจนถึงปัจจุบัน
แต่กระนั้นไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ภพชาติ การเจอกันระหว่างฟุตบอลทีมชาติจีน พบ เกาหลีใต้ ก็เดือดทุกครั้งไปกับวลี “โรคกลัวเกาหลี” ที่สื่อจีนคิดค้นมาแซะทีมชาติตัวเองในปี 2006 อย่างไรก็ตาม ชนวนเหตุที่เปลี่ยนให้ลูกหนังสองชาตินี้ไม่เผาผีกันแรงที่สุดนั้นเกิดขึ้นในศึก EAFF 2003 กับเรื่องราวที่มีชื่อว่า “อึล-ยง ทา”
ทัวร์นาเมนต์ปีนั้นจัดแข่งแบบมินิลีก 4 ทีมได้แก่ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, จีน และ ฮ่องกง ซึ่งในแมตช์เดย์ 2 วันที่ 7 ธันวาคม 2003 ทัพโสมขาวที่ชนะมาในเกมแรกโคจรมาเจอกับจีนที่แพ้ในเกมก่อนหน้า ณ สนามไซตามะ 2002 ประเทศญี่ปุ่น
รูปเกมดำเนินไปอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ใบเหลืองปลิวว่อน 4 ใบตลอดครึ่งแรกก่อน เกาหลีใต้ จะได้ประตูนำ 1-0 นาทีที่ 45+1 จาก ยู ซังชอล
กลับกัน เกมครึ่งหลังเตะกันอย่างน่าเบื่อ ทั้งสองทีมจ่ายบอลไปมาราวกับไร้จิตวิญญาณ และเมื่อเกมไม่สนุกนักเตะก็ต้องทำให้มันสนุก นาทีที่ 60 อี อึลยง มิดฟิลด์ของเกาหลีที่กำลังพลิกตัวจ่ายบอลก็โดน หลี่ ยี่ กองหน้าทีมจีนเข้ามาปะทะจากด้านหลัง เขาเข้าบอลช้าไปหนึ่งจังหวะซึ่งมันฟาวล์แต่ อึลยง ที่โดนเตะไม่ฮาด้วยหันมาจัดฝ่ามืออรหันต์โบ๊ะเข้ากบาล หลี่ ยี่ จนลงไปนอน
ณ วินาทีแห่งประวัติศาสตร์ หยาง เฉิน กองหน้าจีนที่ยืนใกล้กับเหตุการณ์ก็รีบเข้ามาผลัก อึลยง จนเกิดเหตุตะลุมบอนยิ่งกว่าศึกคิกบ็อกซิ่งวันลุมพินี จากนั้นผู้ตัดสินชาวมาเลเซีย ฮาลิม ฮามิด ก็วิ่งมาแจกใบแดงให้ อึลยง ส่วน หลี่ ยี่ ก็ไม่รอดโดนใบเหลืองข้อหาเสแสร้งแกล้งนอนเจ็บ
ถึงยุคนั้นจะไม่มีอินเทอร์เน็ตเฟื่องฟูอย่างในปัจจุบัน แต่สื่อของทั้งสองประเทศต่างประโคมข่าวเหตุที่เกิดขึ้นโดยสื่อจีนพุ่งเป้าไปที่ความป่าเถื่อนของ อี อึลยง ส่วนสื่อเกาหลีใต้ก็รายงานโจมตี หลี่ ยี่ ว่านอนเจ็บได้เก่งกว่านักแสดงฮอลลีวูด แถมยังขึ้นพาดหัวหนังสือพิมพ์ตัวโต ๆ กันหลายสำนักเชิดชู อึลยง ว่าเป็นวีรบุรุษปราบพวกจัดฉากสร้างภาพ
เรื่องมันควรจบแค่นั้น แต่ทว่าภาพที่สื่อเกาหลีใต้รายงานคือ อึลยง ยืนกำมือก้มมอง หลี่ ยี่ ที่นอนกุมหัวด้วยแววตาอาฆาตพยาบาท โดยสื่อเอาไปเทียบกับภาพ มูฮัมหมัด อาลี ชนะน็อค ซอนนี่ ลิสตัน ในปี 1965 จนกลายเป็นมีมตลกล้อเลียนในประเทศเกาหลีใต้ในบริบท อึลยง ตบใครสักคนจนศิโรราบ ซึ่งมีมนี้มีชื่อว่า “อึล-ยง ทา (을용타)” แปลเป็นไทยคือ “ตบแบบอึลยง”
แม้ว่าเรื่องจะผ่านไปถึงสองทศวรรษ แต่ภาพ “อึล-ยง ทา” ก็ยังเป็นมีมในโลกอินเทอร์เน็ตของประเทศเกาหลีใต้มากว่า 21 ปีซ้อน จนตัวเขาเองออกมาเผยความรู้สึกต่อเหตุการณ์นั้นหลังประกาศแขวนสตั๊ดในปี 2012 ว่า
“ผมเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปในวันนั้น ผมควรควบคุมอารมณ์ให้สมกับเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่ถ้าถามว่าผมคิดยังไงกับคนเอารูปผมไปตัดต่อทำมีม ผมอยากบอกว่าผมไม่โกรธเลยตราบใดที่ผู้คนหัวเราะมีความสุขเพราะมุกตลก ผมก็ยินดี” อึลยง กล่าวกับสมาคมฟุตบอลเกาหลี
หลังจากวันแห่งความทรงจำ เมื่อใดที่ทีมชาติ เกาหลีใต้ กับ จีน โคตรมาฟาดแข้งกันก็จะมีคนหยิบมีมนี้มาปลุกกระแสล้อเลียนเสมอ และดูเหมือนว่าจะเป็นแค่ฝั่งโสมขาวฮาอยู่ฝ่ายเดียวเพราะผลของสองคู่นี้เป็นเกาหลีใต้ชนะรวด 4 เกมติด ซึ่งไม่แน่ว่าในเกมคัดบอลโลก 11 มิถุนายนนี้จะบวกเป็น 5 เกมติดหรือไม่??