News

“คำโกหก” ในวันนั้น สู่ความสำเร็จกับ อาร์เซน่อล ของ โซล แคมป์เบลล์

พอถึงวันที่ 1 เมษายน หรือ วันโกหก ทีไร สาวกคลับไก่ ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ คงอดที่จะนึกถึง แนวรับตัวเก่ง ยุค 1990s อย่าง โซล แคมป์เบลล์ ไม่ได้ ด้วยคำพูดแบบกลืนน้ำลายตัวเองว่า “ผมจะอยู่กับสเปอร์สต่อไป” ก่อนสร้างวีรกรรมย้ายออกจากถิ่น ไวท์ ฮาร์ท เลน ไปอยู่ที่ ไฮบิวรี่ กับ อาร์เซน่อล คู่ปรับในลอนดอนที่เกลียดชังกันปานจะฉีกไส้

 


อย่างไรก็ดี คำโกหกในวันนั้น ก็ทำให้เส้นทางค้าแข้งของ โซล แคมป์เบลล์ ประสบความสำเร็จอย่างขีดสุด แต่อีกด้าน เขาก็ต้องรับฉายา “จูดาส” ผู้ทรยศ จากเหล่าแฟนบอล และนี่คือเรื่องของคำโกหกในวันนั้น

ย้อนกลับไปฤดูกาล 2000/01 บิ๊กโซล ในวัย 27 ปี กำลังจะหมดสัญญากับต้นสังกัดอย่าง ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ หลังจากที่เจ้าตัวรับใช้สโมสรมายาวนานกว่า 9 ปี ซึ่งก็นับเป็นเวลาที่นานพอควรบวกกับวัยที่กำลังพีก ทำให้หลาย ๆ ทีมในเกาะอังกฤษ หรือกระทั่งสโมสรในยุโรปก็ต่างจับตาให้ความสนใจในกองหลังร่างสูงใหญ่รายนี้ว่าอนาคตของเขาจะเป็นเช่นไร

สำหรับ สเปอร์ส เองก็ทราบดีว่ามีหลายทีมต้องการตัวแนวรับของเขา แต่ด้วยความคิดที่ว่าเดี๋ยวถ้ายื่นสัญญาใหม่ในช่วงท้าย ๆ ฤดูกาล ให้กับ แคมป์เบลล์ เจ้าตัวก็คงเซ็นสัญญาต่อไปออกไป เพราะเชื่อมั่นในความจงรักภักดีที่กองหลังที่เติบโตกับอคาเดมี่รายนี้มีให้กับสโมสรตลอดมา

ทว่า การมีอยู่ของกฎบอสแมน ซึ่งมีใจความสำคัญว่า เมื่อนักฟุตบอลเหลือสัญญากับต้นสังกัดน้อยกว่า 6 เดือนลงไป แข้งรายนั้นจะสามารถติดต่อเรื่องย้ายตัวกับสโมสรอื่น ๆ แบบไม่มีค่าตัวได้ทันที จะเป็นตัวแปรสำคัญของเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต…

อลัน ชูการ์ ประธานสโมสร ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ ในเวลานั้น มีความคิดที่อยากจะขยายสัญญาให้กับ โซล แคมป์เบลล์ ต่อไปแต่เนิ่น ๆ ก่อน 6 เดือนท้ายของสัญญา เพราะกังวลถึงเรื่องของกฎบอสแมนจะมีผลให้กัปตันทีมของเขาต้องย้ายออกไปอย่างไร้ค่าตัว

แต่ผู้อำนวยการกีฬาอย่าง เดวิด พลีท และ จอร์จ เกรแฮม ผู้จัดการทีม ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของกฎบอสแมนมากพอ

“เดวิด พลีท กับ จอร์จ เกรแฮม คือคนฟุตบอลหัวโบราณ และไม่เข้าใจความหมายของกฎบอสแมน ผมบอกพวกเขาไปว่า ‘เจ้าโซล แคมป์เบลล์ คนนี้ กำลังโดน สกาย แอนดรูว์ เอเยนต์ของเขาชักจูง และเขาจะไม่ได้อยู่กับพวกเรา’” อลัน ชูการ์ กล่าว

ความล่าช้าในการต่อสัญญาของ โซล แคมป์เบลล์ เริ่มมีปัญหาออกมาให้เหล่าสาวกสเปอร์สกังวลใจ ถึงเรื่องที่จะเสียกองหลังกัปตันทีมของพวกเขาไปให้กับทีมอื่น หลังยังไม่มีการประกาศการต่อสัญญาใด ๆ บวกกับเรื่องกฎบอสแมนที่ทำให้นักฟุตบอลมีอิสระในการย้ายทีมแบบไม่ต้องสนใจถึงต้นสังกัดว่าจะเห็นเป็นเช่นไร เพราะถ้าหมดสัญญาก็ย้ายได้ทันทีแบบไม่มีค่าตัว

จนเมื่อต้นปี 2001 นักข่าวของ Sky Sports ถาม แคมป์เบลล์ ถึงสถานการณ์การย้ายทีมของเจ้าตัวว่าคืบหน้าเป็นอย่างไร … บิ๊กโซล เงยหน้าขึ้นฟ้าประมาณ 60 องศา ก่อนจะเกาคาง 2-3 ที พร้อมกล่าวคำพูดสุดอมตะว่า “ผมจะอยู่ต่อ”

นั่นเท่ากับว่าปราการหลังของไก่เดือยทองจะจรดปากกาเซ็นสัญญาต่อกับทีมใช่หรือไม่ ?

แต่กลายเป็นว่าความคิดที่จะย้ายออกเพื่อหาความสำเร็จของ บิ๊กโซล ก็เริ่มก่อตัวขึ้น สเปอร์สมีการพูดคุยเรื่องสัญญากับแข้งดังกล่าว มีการพูดคุยอย่างเป็นจริงเป็นจังกับผู้บริหาร

ซึ่งด้วยระยะเวลาของสัญญาที่สั้นลง โซลล์ แคมป์เบลล์ จึงขอค่าเหนื่อยในระดับที่สูงถึง 130,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ ซึ่งในเวลานั้น รอย คีน ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้ชื่อว่ารับค่าเหนื่อยสูงสุดของเกาะอังกฤษยังรับอยู่แค่ 50,000 ปอนด์

ดังนั้นสิ่งที่กองหลังรายนี้ขอมันเป็นไปไม่ได้ แถมยังดูเหมือนการขอย้ายทีมกลาย ๆ อีกต่างหาก

สาวกไก่เดือยทองเตรียมตัวเตรียมใจที่จะยอมปล่อยมือยอดกัปตันที่แสนสำคัญของพวกเขาไปอยู่ทีมอื่น หลังเจ้าตัวยังไม่ได้ต่อสัญญากับต้นสังกัดสักที ที่ถึงแม้เขาจะโกหก แต่ก็เข้าใจว่าฝีเท้าระดับนี้คงไม่อาจอยู่กับสเปอร์สได้อีกต่อไปแล้ว

บิ๊กโซล ได้รับความสนใจจากหลาย ๆ ทีม ทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, อาร์เซน่อล, ลิเวอร์พูล, อินเตอร์ มิลาน รวมถึง บาร์เซโลนา ที่คนมองว่าชื่อทีมหลังสุดนี้แหละ จะเป็นสถานีต่อไปของ โซล แคมป์เบลล์

แต่แล้ว อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือของทัพปืนใหญ่ ก็ได้นัด บิ๊กโซลพร้อมเอเยนต์เข้าไปเจรจาร่วมกันที่บ้านของ เดวิด ดีน รองประธานสโมสรอาร์เซน่อล ถึงสิ่งที่ โซล แคมป์เบลล์ จะได้หากย้ายมาสวมใส่ชุดปืนใหญ่

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโอกาสคว้าถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกในอนาคต, การได้ลงเล่นในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, ได้อาศัยที่กรุงลอนดอน ไม่ต้องย้ายบ้านไปไกล รวมถึงโอกาสที่จะติดทีมชาติไปเล่นฟุตบอลโลก 2002 ก็จะสูงขึ้น เพราะได้ย้ายมาทีมที่ได้อยู่ในแสงเต็มที่

แต่แน่นอน แม้การเจรจาจะไปในทางบวก โซล แคมป์เบลล์ ก็มีความอึดอัดที่จะย้ายไปทีมคู่ปรับในตำนาน

“เห็นได้ชัดว่าโซลวิตกมากจริงๆ เขามีอาชีพที่รุ่งโรจน์ที่สเปอร์สและได้รับการเคารพ เขารู้สึกอึดอัดใจมาก เขินอายที่ต้องจากไป ไม่ว่าจะเป็นกับเราหรือใครก็ตาม เพราะเขาใช้เวลาช่วงที่ดีที่สุดตลอด 10 ปีที่สโมสร” เดวิด ดีน เผย

“ผมพยายามโน้มน้าวเขาว่า เราจะไปจุดไหนในฐานะสโมสร และอาร์เซนอธิบายว่าเขาจะปรับตัวเข้ากับทีมได้อย่างไร และจะพัฒนาอาชีพของเขาได้อย่างไร เมื่อเวลาผ่านไป ผมรู้สึกว่าเคมีระหว่างเราเป็นไปในทางบวก”

อย่างไรก็ดีการพูดคุยก็จบลง และแม้กังวลแค่ไหนก็ตาม ทุกอย่างคงคุ้มที่จะเสี่ยง จนในที่สุดดีลสุดวิปโยคก็เกิดขึ้น เมื่อ 3 กรกฎาคม 2001 โซลล์ แคมป์เบลล์ เปิดตัวต่อสาธารณชนว่าเขาคือนักเตะของ อาร์เซน่อล ร่วมกับ อาร์เซน เวนเกอร์ ผู้จัดการทีมของทัพปืนใหญ่

เท่านั้นแหละ แฟนบอลสเปอร์ส ถึงกับเดือดดาล ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การย้ายทีม แต่ทีมที่เลือกนี่สิ มันเหมือนการหักหน้าสโมสรเก่า และไม่ให้ความเคารพต่อแฟนบอล ซึ่งเมื่อ แคมป์เบลล์ กลับมาที่ ไวท์ ฮาร์ท เลน ในฐานะของแข้งทีมอาร์เซน่อล เมื่อไหร่ เราก็จะได้ยินที่สุดของเสียงโห่ที่กระหึ่มไปทั่วสนาม แสดงถึงความแค้นที่มีต่อยอดอดีตกองหลังของพวกเขา

เพราะมันเป็นการย้ายตัวในตำนานในชนิดที่ทุกคนไม่ลืมเลือน แคมป์เบลล์ เลือกตระบัดสัตย์ และย้ายมา อาร์เซน่อล คู่ปรับตลอดกาลได้ลง

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการ “โกหก” ทำให้แข้งรายนี้ประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพจริง ๆ ด้วยผลงานพา อาร์เซน่อล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย หนึ่งในนั้นคือการเป็นแชมป์แบบ “ไร้พ่าย” ในฤดูกาล 2003/04 และเอฟเอ คัพ อีก 2 สมัย จารึกชื่อเป็นยอดกองหลังของทัพปืนโต

แต่กลับกัน เขาก็ต้องเป็น จูดาส ผู้ทรยศในสายตาของแฟน สเปอร์ส ตลอดไป

 

Author

รณกฤต ตุลยะปรีชา

วัยรุ่นคู้บอน

Graphic

ปฐวี ยอดเนียม

Man u is No.2 But YOU is No.1